ครบเครื่อง
ญ. อมตะ



ทำพาสปอร์ต 2567 ใช้อะไรบ้าง กี่วันได้ สถานที่ทำพาสปอร์ต อัปเดตล่าสุด

หนังสือเดินทาง หรือพาสปอร์ต เป็นเอกสารสำคัญที่นักท่องเที่ยวจะต้องมีติดตัว ทั้งนี้ก็เพื่อยืนยันตัวตน สัญชาติ และข้อมูลอื่นๆ ของตัวเอง ใครที่กำลังวางแผนเดินทางไปยังต่างประเทศ พาสปอร์ตหมดอายุ หรือจะต้องทำพาสปอร์ตใหม่ สามารถติดตามข้อมูลการทำพาสปอร์ต 2567 ได้ที่นี่

ราคาทำพาสปอร์ต 2567 กี่บาท อยู่ได้กี่ปี

ค่าธรรมเนียมการทำพาสปอร์ต 2567 นั้นแตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับอายุการใช้งานของเล่มและเวลาในการทำ ดังนี้

พาสปอร์ตธรรมดา

• พาสปอร์ตราคา 1,000 บาท ระยะเวลาเล่ม 5 ปี

• พาสปอร์ตราคา 1,500 บาท ระยะเวลาเล่ม 10 ปี

การทำพาสปอร์ตในรูปแบบธรรมดา สามารถทำได้ทุกสำนักงาน โดยสามารถรอรับที่บ้านได้หลังจากวันทำการ 2-5 วัน ขึ้นอยู่กับแต่ละพื้นที่ คิดค่าส่งไปรษณีย์ราคา 40 บาทเท่านั้น

ทำพาสปอร์ตด่วนพิเศษ

• พาสปอร์ตราคา 3,000 บาท ระยะเวลาเล่ม 5 ปี

• พาสปอร์ตราคา 3,500 บาท ระยะเวลาเล่ม 10 ปี

ในกรณีที่ทำพาสปอร์ตราคาพิเศษ สำหรับเล่มด่วน สามารถทำได้ทุกสำนักงานก่อนเวลา 11.00 น. โดยสามารถรับได้ที่กรมการกงสุลภายใน 1 วัน

เอกสารประกอบการทำพาสปอร์ต 2567 มีอะไรบ้าง

ผู้ที่บรรลุนิติภาวะ 20 ปีขึ้นไป

• บัตรประชาชน

• หลักฐานการเปลี่ยนชื่อ-นามสกุล (กรณีไม่ตรงกับบัตรประชาชน)

• พาสปอร์ตเล่มเก่า (ถ้ามี)

ผู้ที่อายุยังไม่ถึง 20 ปีบริบูรณ์

• บัตรประจำตัวประชาชนฉบับจริง

• สูติบัตรฉบับจริง

• บัตรประจำตัวประชาชนฉบับจริงของบิดา มารดา หรือผู้ปกครอง

หากพ่อหรือแม่พามาคนเดียวจะต้องเตรียมเอกสารเพิ่ม ดังนี้

• บัตรประจำตัวประชาชนฉบับจริง

• สูติบัตรฉบับจริง

• ทะเบียนบ้าน

• บัตรประจำตัวประชาชนฉบับจริงของบิดา มารดา หรือผู้ปกครอง

• กรณีไม่ว่างให้เตรียม หนังสือยินยอม หรือสำเนาบัตรประชาชนของอีกฝ่ายมาด้วย

• กรณีพ่อ/แม่เลี้ยงเดี่ยว ให้เตรียมทะเบียนหย่าหรือคำสั่งศาล

• กรณีพ่อ/แม่เสียชีวิต ให้เตรียมมรณบัตรของอีกฝ่ายมาด้วย

• กรณีญาติพามา จะต้องมีหนังสือยินยอม สำเนาบัตรประชาชน หนังสือมอบอำนาจของพ่อและแม่ และบัตรประชาชนตัวจริงของญาติ

ผู้ที่ทำพาสปอร์ตหาย

• บัตรประชาชนตัวจริง

• ใบแจ้งความฉบับจริง (ต้องไปแจ้งความก่อน)

ขั้นตอนการทําพาสปอร์ต 2567

วิธีทําพาสปอร์ตมีขั้นตอนง่ายๆ ดังนี้

1. รับบัตรคิว หรือลงทะเบียนจองคิวออนไลน์ล่วงหน้า

2. แสดงบัตรประชาชน และเอกสารอื่นๆ

3. วัดส่วนสูงและเก็บลายนิ้วมือ

4. ถ่ายรูปหน้าตรง

5. ชำระค่าทำเนียม และรอรับพาสปอร์ต

จองคิวทำพาสปอร์ต 2567 ออนไลน์ ประหยัดเวลา

หากใครที่มีเวลาจำกัด หรือไม่สะดวก Walk-In ไปยังสถานที่ให้บริการ สามารถจองคิวล่วงหน้าผ่านช่องทางออนไลน์ได้ ดังนี้

1. คลิกเข้าเว็บไซต์ https://www.qpassport.in.th

2. สำหรับผู้ที่เป็นสมาชิกอยู่แล้วให้กดเข้าสู่ระบบ ผู้ที่ยังไม่เคยเป็นสมาชิกให้กดสมัครสมาชิกใหม่เพิ่ม

3. เลือกเข้ารับบริการสำนักงานในประเทศไทย จากนั้นเลือกประเภทการเข้ารับบริการ กรอกข้อมูลและรายละเอียดอื่นๆ ให้เรียบร้อย

4. เลือก "จองคิวสำหรับตนเอง” หรือ “จองคิวเป็นกลุ่ม” เลือกสำนักงานที่ต้องการเข้าไปรับบริการ วันที่ และเวลา

5. เลือกวิธีรับเล่มหนังสือเดินทาง หากเลือกแบบส่งไปรษณีย์จะต้องกรอกข้อมูลที่อยู่เพิ่ม

6. ตรวจสอบข้อมูลให้ถูกต้อง จากนั้นกดยืนยันข้อมูล ถือว่าการจองเสร็จสิ้น

ชี้พิกัดทำ "พาสปอร์ต" ที่ไหนได้บ้าง

กรมการกงสุล กระทรวงการต่างประเทศได้ระบุสถานที่ทำหนังสือเดินทางพาสปอร์ตไว้ทั่วประเทศ ยกตัวอย่างเช่น

กรุงเทพและปริมณฑล

• กรมการกงสุล

• ศูนย์ราชการฯ

• ศรีนครินทร์

• สายใต้ใหม่-ตลิ่งชัน

• MRT คลองเตย

• มีนบุรี

• ปทุมวัน

• ธัญบุรี

• บางใหญ่

ภาคเหนือ

• เชียงราย

• เชียงใหม่

ภาคกลาง

• พิษณุโลก

• นครสวรรค์

ภาคใต้และตะวันตก

• เพชรบุรี

• สุราษฎร์ธานี

• นครศรีธรรมราช

• ภูเก็ต

• สงขลา

• ยะลา

ภาคตะวันออก

• สระแก้ว

• จันทบุรี

• เมืองพัทยา

ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ

• อุดรธานี

• ขอนแก่น

• นครราชสีมา

• อุบลราชธานี

• บุรีรัมย์

• หนองคาย

ทั้งนี้ ผู้ที่สนใจพาสปอร์ตสามารถติดตามสาขาและเวลาทำการอื่นๆ ได้ที่นี่

อย่างไรก็ดี หากใครที่มีข้อสงสัยเกี่ยวกับการทำพาสปอร์ต 2567 สามารถติดต่อสอบถามคอลเซ็นเตอร์กองหนังสือเดินทางตลอด 24 ชั่วโมงได้ที่ 0 2572 8442 หรือโทร 0 2572 8442 และ 0 2203 5000 ต่อ 32301


เรื่อง “มะเร็งต่อมลูกหมาก รู้ทัน รู้เร็ว รักษาได้”

ต่อมลูกหมากเป็นส่วนหนึ่งของอวัยวะสืบพันธุ์เพศชาย ซึ่งอยู่ภายในร่างกายบริเวณใต้กระเพาะปัสสาวะ และอยู่หน้าลำไส้ใหญ่ส่วนปลาย โดยจะห่อหุ้มท่อปัสสาวะส่วนต้นไว้ ถือเป็นอวัยวะภายใน ซึ่งไม่สามารถมองเห็นจากภายนอกร่างกายได้

มีหน้าที่ในการสร้างน้ำหล่อลื่นระหว่างมีเพศสัมพันธ์และสารเลี้ยงอสุจิ เมื่อผู้ชายมีอายุมากขึ้นเรื่อย ๆ โดยปกติต่อมลูกหมากจะขยายขนาดโตขึ้นตามอายุที่เพิ่มขึ้น แต่สำหรับมะเร็งต่อมลูกหมากจะมีเซลล์ต่อมลูกหมากที่มีการขยายตัวเติบโตขึ้นอย่างผิดปกติ โดยจะเติบโตอย่างรวดเร็วและมีความสามารถในการลุกลามไปอวัยวะอื่นได้ ในมะเร็งต่อมลูกหมากระยะแรก ผู้ป่วยมักจะไม่มีอาการผิดปกติ จนกว่าเซลล์มะเร็งจะขยายขนาดจนเกิดการเบียดท่อปัสสาวะ ทำให้เกิดอาการปัสสาวะที่ผิดปกติ โดยอาการดังกล่าวอาจคล้ายกับโรคต่อมลูกหมากโตที่สามารถพบได้บ่อยในชายสูงอายุ อาทิเช่น ปัสสาวะลำบาก ปัสสาวะไม่ออก ปัสสาวะบ่อย ปัสสาวะแสบขัด หรือปัสสาวะมีเลือดปน เป็นต้น ซึ่งหากมีอาการดังกล่าว ควรไปพบแพทย์เพื่อตรวจวินิจฉัยเพิ่มเติม

การตรวจคัดกรองมะเร็งต่อมลูกหมากตั้งแต่ยังไม่มีอาการ หรือเริ่มมีอาการเพียงเล็กน้อย จะสามารถทำให้เพิ่มโอกาสพบมะเร็งต่อมลูกหมากตั้งแต่ระยะเริ่มต้น ซึ่งสามารถรักษาให้หายขาดได้ โดยในปัจจุบัน แนะนำให้ตรวจคัดกรองมะเร็งต่อมลูกหมากในเพศชาย ตั้งแต่อายุ 50 – 75 ปี แต่ในผู้ป่วยที่มีประวัติญาติสายตรง คือ บิดา พี่ชาย หรือน้องชาย เป็นมะเร็งต่อมลูกหมาก ควรได้รับการตรวจคัดกรองที่เร็วขึ้น กล่าวคือควรเริ่มตรวจตั้งแต่อายุ 45 ปี จนถึงอายุ 75 ปี เพราะการเกิดมะเร็งต่อมลูกหมากในผู้ป่วยบางรายสามารถถ่ายทอดทางพันธุกรรมได้

สำหรับการตรวจคัดกรองมะเร็งต่อมลูกหมาก เริ่มตั้งแต่การตรวจร่างกายด้วยวิธีคลำต่อมลูกหมากทางทวารหนัก เพื่อหารอยโรคที่เกิดขึ้นในต่อมลูกหมาก ร่วมกับการตรวจระดับสารคัดกรองมะเร็งต่อมลูกหมากในเลือด (serum PSA) โดยค่าปกติ ควรจะน้อยกว่า 4 ng/ml ถ้าค่า serum PSA อยู่ระหว่าง 4 ng/ml แต่ไม่เกิน 10 ng/ml จะสามารถพบผู้ป่วยมะเร็งได้ประมาณ 1 ใน 3 แต่ถ้ามากกว่า10 ng/ml จะสามารถพบผู้ป่วยได้มากขึ้นถึง 2 ใน 3 จะเห็นได้ว่าความเสี่ยงในการเป็นมะเร็งต่อมลูกหมากจะเพิ่มขึ้นตามค่า serum PSA ที่สูงขึ้น แต่ลำพังการตรวจร่างกายและการตรวจ serum PSA ที่ผิดปกติ ก็ยังไม่เพียงพอที่จะวินิจฉัยว่าเป็นมะเร็งต่อมลูกหมากได้ ซึ่งถ้าการตรวจดังกล่าวมีความผิดปกติกล่าวคือ พบว่ามีความเสี่ยงในการเป็นมะเร็งต่อมลูกหมาก การเจาะเก็บชิ้นเนื้อต่อมลูกหมากทางทวารหนักจึงเป็นขั้นตอนถัดไป เพื่อที่จะนำชิ้นเนื้อมาตรวจว่ามีลักษณะของเนื้อมะเร็งหรือไม่ โดยจะใช้วิธีการเจาะชิ้นเนื้อแบบสุ่ม (Random Transrectal Ultrasound prostate biopsy) ซึ่งจะมีการใช้เครื่องมือขนาดประมาณนิ้วโป้งเข้าไปทางทวารหนัก และทำการเจาะเก็บชิ้นเนื้อจำนวน 10 ถึง 12 ชิ้น เพื่อนำไปตรวจหาเชลล์มะเร็งต่อไป

แต่ในปัจจุบันมีทางเลือกในการตรวจวินิจฉัยที่มากยิ่งขึ้น ก็คือการทำเอกซเรย์คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าบริเวณต่อมลูกหมาก (multiparametric MRI prostate) ถ้าพบว่ามีบริเวณที่น่าสงสัยว่ามีมะเร็งต่อมลูกหมาก จะนำภาพเอกซเรย์ดังกล่าวเป็นแผนภาพนำทางในการเจาะชิ้นเนื้อต่อมลูกหมาก (MRI fusion-targeted prostate biopsy) ทำให้ช่วยลดจำนวนชิ้นเนื้อที่ต้องเจาะเก็บ ลดการเจาะชิ้นเนื้อในรายที่ความเสี่ยงต่ำและเพิ่มโอกาสที่จะเจอมะเร็งต่อมลูกหมากอย่างมีนัยสำคัญมากยิ่งขึ้น

สำหรับการรักษามะเร็งต่อมลูกหมากนั้นขึ้นอยู่กับระยะและความรุนแรงของตัวโรค พิจารณาร่วมกับอายุและสุขภาพโดยรวมของผู้ป่วย เริ่มตั้งแต่การตรวจติดตามหรือเฝ้าระวังเชิงรุกในผู้ป่วยสูงอายุ หรืออยู่ในกลุ่มที่มะเร็งมีความสามารถในการลุกลามต่ำไปจนถึงการผ่าตัดนำต่อมลูกหมากออกทั้งหมด (radical prostatectomy) การใช้ยาลดฮอร์โมนเพศชาย การฉายแสง การฝังแร่ การให้ยาเคมีบำบัด การผ่าตัดตัดอัณฑะ รวมถึงการให้ภูมิคุ้มกันบำบัด (immunotherapy)

ในแง่ของการผ่าตัดในการรักษามะเร็งต่อมลูกหมาก จะมีความแตกต่างจากการผ่าตัดส่องกล้องรักษาต่อมลูกหมากโตโดยทั่วไป ที่จะนำเฉพาะเนื้อต่อมลูกหมากบางส่วนเฉพาะที่เบียดท่อปัสสาวะออก แต่ในมะเร็งต่อมลูกหมากมีความจำเป็นที่ต้องผ่าตัดนำต่อมลูกหมากออกทั้งหมด โดยวิธีการผ่าตัด ในปัจจุบันที่นิยมมีอยู่ 2 วิธีคือ การผ่าตัดต่อมลูกหมากออกทั้งหมดผ่านกล้อง (laparoscopic radical prostatectomy) และการผ่าตัดต่อมลูกหมากออกทั้งหมดโดยใช้หุ่นยนต์ช่วย (robotic-assisted laparoscopic radical prostatectomy) ซึ่งเป็นการใช้แขนกลหุ่นยนต์ที่ควบคุมโดยศัลยแพทย์ ทำให้มีความแม่นยำในการเก็บเส้นประสาทที่ช่วยเรื่องการแข็งตัวของอวัยวะเพศได้ดีมากยิ่งขึ้น

เนื่องจากมีการรณรงค์ในการตรวจคัดกรองมะเร็งต่อมลูกหมากโดยการเจาะหาสารคัดกรองมะเร็งต่อมลูกหมากในเลือด (serum PSA) ในเพศชายกลุ่มเสี่ยง หรือมีอาการของมะเร็งต่อมลูกหมากดังที่กล่าวมา ทำให้ปัจจุบันมีการตรวจพบผู้ป่วยมะเร็งต่อมลูกหมากเพิ่มขึ้น และยังสามารถทำให้ตรวจพบมะเร็งต่อมลูกหมากตั้งแต่ระยะเริ่มต้นได้มากยิ่งขึ้น ซึ่งเป็นการเพิ่มโอกาสในการรักษาให้ตัวโรคหายขาดได้ แต่ทั้งนี้การดูแลสุขภาพโดยทั่วไปให้แข็งแรง งดการสูบบุหรี่ งดการดื่มแอลกอฮอล์ หลีกเลี่ยงการบริโภคเนื้อสัตว์ติดมันที่ไหม้เกรียม ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ ก็จะทำให้ห่างไกลจากโรคมะเร็งร้าย และมีสุขภาพทั้งทางร่างกายและจิตใจที่สมบูรณ์แข็งแรง

หากท่านมีข้อสงสัยหรือต้องการหาความรู้เพิ่มเติม ท่านสามารถศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมได้จาก สถาบันมะเร็งแห่งชาติ ผ่านทางเว็บไซต์ส่งเสริมความรอบรู้สู้ภัยมะเร็ง https://allaboutcancer.nci.go.th/ เว็บไชต์ต่อต้านข่าวปลอมโรคมะเร็ง https://thaicancernews.nci.go.th/_v2/ เฟสบุ๊ค: สถาบันมะเร็งแห่งชาติ National Cancer Institute และ Line : NCI รู้สู้มะเร็ง

ข้อมูลจาก โดย นายแพทย์พร้อมวงศ์ งามวุฒิวงศ์ แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านศัลยศาสตร์มะเร็งทางเดินปัสสาวะ สถาบันมะเร็งแห่งชาติ...


เด็กไทยคว้าเหรียญทองโลก การดูแลผู้สูงอายุและผู้ป่วย

มูลนิธิเอสซีจี มุ่งมั่นสนับสนุนเยาวชนไทยในการพัฒนาทักษะและประสบการณ์ในสายอาชีพ เพื่อตอบโจทย์การใช้ชีวิตในโลกยุคที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วตลอดเวลา ล่าสุดร่วมสนับสนุนการแข่งขันฝีมือแรงงานระดับนานาชาติ 3 สาขาคือ สาขาการดูแลผู้สูงอายุและผู้ป่วย สาขาการประกอบอาหาร และสาขาบริการอาหารและเครื่องดื่ม โดยกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน กระทรวงแรงงาน จัดส่งผู้แทนเยาวชนไทยจำนวนทั้งสิ้น 22 คน ไปร่วมแข่งขันทักษะฝีมือแรงงานนานาชาติ 19 ทักษะฝีมือ ในการแข่งขัน “WorldSkills Lyon 2024” ที่เมืองลียง สาธารณรัฐฝรั่งเศส เมื่อวันที่ 10-15 ก.ย.ที่ผ่านมา

ผลปรากฏว่า น.ส.อริยพร ลิ้มกมลทิพย์ หรือ น้องแก้ม พยาบาลวิชาชีพจากโรงเรียนพยาบาลรามาธิบดี คณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี ผู้เข้าแข่งขันในสาขาการดูแลผู้สูงอายุและผู้ป่วย (Health and Social Care) คว้ารางวัลเหรียญทอง เหรียญเดียวของไทยในปีนี้ และรางวัล Best of Nation หลังจากทำคะแนนรวมเป็นลำดับที่ 1 ของโลกจาก 19 ประเทศที่เข้าร่วมการแข่งขัน

พร้อมกันนี้ น.ส.กนกวรรณ อินทะ นักศึกษาชั้นปีที่ 3 วิทยาลัยอาชีวศึกษาชลบุรี ผู้เข้าแข่งขันสาขาการประกอบอาหาร รับรางวัลเหรียญฝีมือยอดเยี่ยมจากการแข่งขัน “WorldSkills Lyon 2024” และนายธนกร ช่วงรัตนาวรรณ นักศึกษาชั้นปีที่ 2 วิทยาลัยดุสิตธานี ผู้เข้าแข่งขันสาขาบริการอาหารและเครื่องดื่ม รับรางวัล เหรียญความทุ่มเทเสียสละ จากกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน กระทรวงแรงงาน

นอกจากมูลนิธิสนับสนุนเยาวชนทั้ง 3 สาขา ในการเก็บตัวฝึกซ้อม พร้อมมอบทุนการศึกษาจนจบปริญญาตรี มูลค่ารวม 3,000,000 บาท ไปแล้วนั้น ยังพิจารณาจัดมอบเงินรางวัลพิเศษ จำนวน 100,000 บาท แก่ผู้ที่ได้รับเหรียญทอง เงินรางวัลจำนวน 30,000 บาท แก่ผู้ได้รับเหรียญฝีมือยอดเยี่ยม และเงินจำนวน 10,000 บาท แก่ผู้ที่ได้รับเหรียญความทุ่มเทเสียสละในครั้งนี้

นอกจากการสนับสนุนทุนการศึกษาและการเรียนรู้ให้เด็กและเยาวชนเพื่อลดความเหลื่อมล้ำในสังคมแล้ว มูลนิธิเอสซีจียังมุ่งสร้างโอกาสและมุ่งแสวงหาเวทีให้เด็กและเยาวชนไทยมีพื้นที่แสดงศักยภาพ ไม่ว่าจะเป็นทักษะเชิง Hard Skill หรือ Soft Skill ด้วยการส่งเสริมให้เกิดการสั่งสมความรู้ ทักษะ และประสบการณ์ตามแนวคิด LEARN TO EARN เรียนรู้ เพื่ออยู่รอด นำมาพัฒนาทักษะตนเองให้ดียิ่งขึ้นเพื่อต่อยอดสู่ความเป็นเลิศในสายวิชาชีพต่อไป...


เปิดวิธีทำความสะอาด "กระทะ" ที่เป็นสนิมให้สะอาดใสปิ๊งเหมือนใหม่

เปิดวิธีทำความสะอาด "กระทะ" ที่เป็นสนิมให้สะอาดใสปิ๊งเหมือนใหม่ สามารถทำตามได้ไม่ยาก อาศัยเพียงของใช้บางอย่างในครัวเรือน

สนิมเกิดจากการที่ปฏิกิริยาไฟฟ้าเคมีของเหล็กเมื่อสัมผัสกับน้ำและความชื้นในอากาศในสภาพแวดล้อมที่มีมลพิษในอากาศอย่างฝนกรดหรือมีไอเกลืออย่างริมทะเลก็จะยิ่งเร่งปฏิกิริยานี้ โดยเมื่อเกิดขึ้นแล้วก็สามารถลุกลามเป็นวงกว้างได้อย่างรวดเร็ว และหากกินลึกลงไปถึงเนื้อเหล็กก็จะทำให้เกิดการผุกร่อน

1.น้ำมะนาวผสมเกลือ

ผสมน้ำมะนาวและเกลือในอัตราส่วน 1 ต่อ 1 แล้วใช้ช้อนคนให้ทั้ง 2 ส่วนผสม ละลายเป็นเนื้อเดียวกัน หลังจากนั้นนำผลิตภัณฑ์ที่ได้ทาลงไปบนผิวของกระทะที่มีสนิม แล้วทิ้งไว้ประมาณ 30 นาที - 1 ชั่วโมง ก่อนใช้แปรงสีฟัน หรือฟองน้ำเนื้อนุ่มขัดคราบสนิมออก และทำการล้างออกด้วยน้ำอุ่น

โดยเกลือ และน้ำมะนาวมีฤทธิ์เป็นกรด ซึ่งจะช่วยทำหน้าที่กัดกร่อนชั้นสนิมให้หลุดออกจากผิวกระทะ แต่ควรเลี่ยงการทาลงบนผิวกระทะไม่มีสนิม เพราะอาจทำให้ผิวกระทะเสียหายได้

2.น้ำส้มสายชู

เทน้ำส้มสายชูลงไปบนชั้นสนิมของผิวกระทะ หลังจากนั้นทิ้งไว้ประมาณ 30 นาที - 1 ชั่วโมง แล้วใช้แปรงสีฟัน หรือฟองน้ำเนื้อนุ่มขัดคราบสนิมออก ก่อนล้างออกด้วยน้ำอุ่น หากคราบสนิมฝังแน่นสามารถทิ้งไว้ข้ามคืนได้

โดยน้ำส้มสายชูมีฤทธิ์เป็นกรด และจะช่วยกัดกร่อนชั้นสนิมให้หลุดออกจากผิวกระทะ ทั้งนี้ ควรเลี่ยงการเทน้ำส้มสายชูลงบนผิวกระทะที่ไม่มีสนิม เพราะอาจทำให้ผิวกระทะเสียหาย และควรสวมถุงมือทุกครั้ง เพื่อป้องกันน้ำส้มสายชูกัดกร่อนผิวหนัง

3.ผลมันฝรั่ง

นำผลมันฝรั่งมาหั่นครึ่ง แล้วนำไปถูกับผิวกระทะในบริเวณที่เป็นสนิม ก่อนทิ้งไว้สักครู่หนึ่ง และขัดออกด้วยแปรงสีฟัน หรือฟองน้ำเนื้อนุ่ม หลังจากนั้นให้ล้างออกด้วยน้ำอุ่น

โดยในมันฝรั่งมีกรดที่ชื่อว่า กรดออกซาลิก (Oxalic Acid) ซึ่งจะทำปฏิกิริยากับสนิม ส่งผลให้ชั้นสนิมอ่อนตัวลง และสามารถขัดออกได้ง่ายขึ้น นอกจากนี้ยังมีอีกหลากหลายวิธีที่สามารถขจัดคราบสนิมออกจากผิวกระทะได้ ขึ้นอยู่กับความสะดวกของแต่ละบุคคล

วิธีแก้กระทะที่เป็นสนิม ให้สะอาดเหมือนใหม่

1. ใช้ทรายผสมขี้เถ้าประมาณ 1-2 กำมือ

2. ใส่ลงไปในกระทะที่เป็นสนิม

3. จากนั้นนำขึ้นตั้งไฟ (ไม่ต้องใส่น้ำ)เเล้วคนไปเรื่อยๆ ประมาณ 20 - 30 นาที

4. พอเสร็จนำกระทะไปขัดด้วยผงซักฟอก

5. ล้างทำความสะอาดอีกครั้งเเค่นี้ก็เหมือนได้กระทะใหม่เเล้ว

สำหรับวิธีขจัดสนิมบนเหล็ก ก็สามารถใช้วิธีเดียวกันกับการกำจัดสนิมบนสแตนเลสได้เลย ในส่วนของกระป๋องอาหารที่มีการขึ้นสนิม หากขึ้นบริเวณพื้นผิวตื้นๆ ที่แปรงออกได้ ก็ยังสามารถกินของข้างในได้ แต่หากสนิมกัดกินเนื้อกระป๋องเข้าไปลึก อาจทำให้มีรูและแบคทีเรียหรือเชื้อโรคเข้าไปได้ จึงควรนำไปทิ้งทันทีก่อนที่จะเกิดสนิม


เปิดข้อควรรู้ กฎหมาย สมรสเท่าเทียม สิทธิทางกฎหมายที่ "คู่สมรส" จะได้รับ และข้อห้ามของการสมรสเท่าเทียม สามารถจดทะเบียนสมรสเท่าเทียมได้ตั้งแต่วันไหน

สมรสเท่าเทียม เป็นกฎหมายซึ่งมีเนื้อหารับรอง การสมรสระหว่าง "บุคคล" โดยไม่จำกัดเพียง "ชาย-หญิง" ซึ่งจะมีผลบังคับใช้ 120 วัน หลังการประกาศราชกิจจานุเบกษา ซึ่งจะตรงกับวันที่ 22 มกราคม 2568 เป็นต้นไป กฎหมายแพ่งใหม่จึงจะมีผลใช้บังคับ สามารถไปจดทะเบียนสมรสตามกฎหมายแพ่งใหม่ที่รับรองสิทธิสมรสเท่าเทียม

กฎหมายสมรสเท่าเทียม มีการเปลี่ยนแปลงแก้ไขใจความหลักของการสมรสจากชาย-หญิง เป็น บุคคล เปลี่ยนถ้อยคำที่บ่งชี้เพศอย่างคำว่า สามี-ภริยา เป็น คู่สมรส ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ (ป.พ.พ.) ฉบับแก้ไขใหม่เพื่อรับรองสิทธิสมรสเท่าเทียม

นอกจากนี้ ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์แก้ไขใหม่ สมรสเท่าเทียม ยังได้แก้ไขอายุขั้นต่ำสำหรับการหมั้นและการสมรส จาก 17 ปีบริบูรณ์ เป็น 18 ปีบริบูรณ์ และกำหนดรับรองสิทธิของคู่สมรสที่จดทะเบียนตามกฎหมายใหม่ มีสิทธิตามกฎหมายอื่นๆ ที่รับรองสิทธิของสามี-ภริยา ตามกฎหมายแพ่งเดิม

เปลี่ยนอายุของคู่หมั้น คู่สมรส

• อายุขั้นต่ำสำหรับการหมั้นและการสมรส ต้องครบ 18 ปีบริบูรณ์

เปลี่ยนถ้อยคำที่บ่งชี้เพศ

• เปลี่ยนจากคำว่า สามี-ภริยา เป็นคำว่า "คู่สมรส"

• แก้ไขคำว่า ชาย-หญิง-สามี-ภริยา เป็นคำว่า บุคคล-ผู้หมั้น-ผู้รับหมั้น และคู่สมรส

สิทธิและความคุ้มครองทากฎหมายที่ คู่สมรส จะได้รับหลังการจดทะเบียนสมรสเท่าเทียม

• สิทธิประโยชน์และสวัสดิการจากรัฐในฐานะคู่สมรส เช่น รักษาพยาบาล, ประกันสังคม

• สิทธิจัดการทรัพย์สินของคู่สมรส

• สิทธิเป็นผู้จัดการแทนในทางอาญาเช่นเดียวกับสามี-ภรรยา

• สิทธิรับมรดกหากอีกฝ่ายเสียชีวิต

• สิทธิรับบุตรบุญธรรม

• สิทธิรับมรดกในฐานะทายาทโดยธรรม

• สิทธิเซ็นยินยอมให้รักษาพยาบาลอีกฝ่าย

• สิทธิจัดการศพ

• สิทธิรับบุตรบุญธรรมร่วมกันได้

• ให้บุตรบุญธรรมใช้นามสกุลคู่สมรสได้ โดยคู่สมรสจะต้องมีอายุแก่กว่าบุตรบุญธรรมอย่างน้อย 15 ปี

• สิทธิประโยชน์ทางด้านภาษา

สำหรับข้อห้ามเกี่ยวกับการสมรส ยังคงไว้ตามเดิม คือ

• บุคคลวิกลจริตหรือบุคคลที่ศาลสั่งเป็นคนไร้ความสามารถ ไม่สามารถสมรสได้ (มาตรา 1449)

• ห้ามสมรสกับญาติสืบสายโลหิตโดยตรงขึ้นไปหรือลงมา พี่น้องร่วมบิดามารดา หรือร่วมแต่บิดาหรือมารดา ความเป็นญาตินี้คำนึงตามสายโลหิต ไม่คำนึงว่าจะเป็นญาติโดยชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ (มาตรา 1450)

• ห้ามผู้รับบุตรบุญธรรมสมรสกับบุตรบุญธรรม (มาตรา 1451) หากผู้รับบุตรบุญธรรมสมรสกับบุตรบุญธรรม การรับบุตรบุญธรรมย่อมเป็นอันยกเลิกไป (มาตรา 1498/32)

• ห้ามบุคคลสมรสขณะที่มีคู่สมรสอยู่แล้ว (ห้ามสมรสซ้อน) (มาตรา 1452)