สวนนงนุชพัทยาโดยนายกัมพล ตันสัจจาประธานสวนนงนุชพัทยา จัดโปรโมชั่นสุดพิเศษให้กับทุกท่านที่เกิดในเดือนตุลาคม เพียงแสดงบัตรประชาชนหรือหลักฐานยืนยันตัวตน รับสิทธิ เข้าชมสวนนงนุชฟรี พร้อม เข้าชมพิพิธภัณฑ์พระพุทธคุณฟรีได้โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย ตั้งแต่วันที่ 1 ถึง 31 ตุลาคมนี้เท่านั้น!
ไม่เพียงเท่านี้ สวนนงนุชยังจัดเต็มด้วยสิทธิพิเศษสำหรับทุกวัย
เด็กสูงไม่เกิน 140 เซนติเมตร และผู้พิการ เข้าฟรีทุกวัน
ผู้สูงอายุ 60 ปีขึ้นไป เข้าฟรีทุกวันศุกร์
และสุดพิเศษ! สำหรับผู้สูงอายุ 80 ปีขึ้นไป เข้าฟรีตลอดทั้งปี
สำหรับเด็ก ๆ และครอบครัว ต้องไม่พลาด! การพบกับไดโนเสาร์ขนาดเท่าจริงกว่า 1,700 ตัว ที่จะพาย้อนเวลากลับไปสู่โลกดึกดำบรรพ์สุดตื่นตา และชมสวนที่ได้รับการจัดอันดับให้เป็น 1 ใน 10 สวนที่สวยที่สุดในโลก พร้อมสิ่งอำนวยความสะดวกครบครันสำหรับผู้สูงอายุและผู้ใช้วีลแชร์ ไม่ว่าจะเป็นทางลาด รถชมสวน ลิฟต์ในสวนลอยฟ้า และห้องน้ำสำหรับผู้พิการ
นักท่องเที่ยวที่สนใจการแสดงสุดอลังการ “นงนุชโชว์” และการแสดงน้องช้างแสนรู้ ที่โรงละครสกาลา วันละ 4 รอบ และอีกหลายไฮไลท์คือ ชมพีระมิดและรูปปั้นองค์ตัวแทนพระพุทธศาสนาจากทั่วโลก, พิพิธภัณฑ์พระพุทธคุณ แหล่งเรียนรู้ที่รวบรวมพระพุทธรูป เหรียญ และวัตถุมงคลอันทรงคุณค่าอายุนับร้อยปี ที่พร้อมถ่ายทอดความงดงาม และเป็นสื่อกลางที่ทำให้เด็กรู้สึกชอบในเรื่องของพระพุทธศาสนาได้เรียนรู้และซึมซับอย่างลึกซึ้ง
สวนนงนุชพัทยาเปิดให้บริการทุกวัน เวลา 08.00 น. – 18.00 น. รายละเอียดเพิ่มเติมที่ www.nongnoochpattaya.
ตำรวจสหรัฐฯ งงหนัก! เรียก ‘รถไร้คนขับ’ จอดกลางถนนข้อหาเลี้ยวผิดกฎ แต่สุดท้ายต้องเดินวนอยู่รอบรถ เพราะไม่มีใครให้ยื่นใบสั่ง! เจ้าหน้าที่ตำรวจในแคลิฟอร์เนียเหนือถึงกับงง! หลังเรียก “รถแท็กซี่ไร้คนขับ” จอดฐานเลี้ยวผิดกฎหมาย แต่กลับพบว่าไม่มีคนขับอยู่ในรถ จึงไม่สามารถออกใบสั่งได้
สถานีตำรวจเมืองแซนบรูโน ได้โพสต์เรื่องราวสุดฮาในโซเชียลมีเดียเมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา ซึ่งกลายเป็นไวรัลอย่างรวดเร็ว โดยระบุว่า “เจ้าหน้าที่กำลังปฏิบัติหน้าที่ตั้งด่านตรวจเมาแล้วขับในช่วงเช้ามืดวันเสาร์ ก่อนที่รถไร้คนขับคันหนึ่งจะเลี้ยวกลับรถผิดกฎหมายต่อหน้าพวกเขา”
เจ้าหน้าที่จึงเรียกให้รถจอด แต่เมื่อตรวจสอบก็พบว่าไม่มีใครอยู่หลังพวงมาลัย และสุดท้ายก็ไม่ได้ออกใบสั่ง โดยระบุในโพสต์ว่า สมุดใบสั่งของเราไม่มีช่องสำหรับติ๊กคำว่า ‘หุ่นยนต์’
ข้อความในโพสต์ยังกล่าวติดตลกว่า “ใช่เลย ไม่มีคนขับ ไม่มีมือ และไม่มีเบาะแส” พร้อมกับภาพที่แสดงให้เห็นเจ้าหน้าที่ตำรวจส่องเข้าไปในรถ
หลังเกิดเหตุ เจ้าหน้าที่ได้ติดต่อบริษัทผู้ผลิตรถเพื่อแจ้งปัญหาที่เรียกว่า “ข้อบกพร่อง” และหวังว่าการปรับปรุงซอฟต์แวร์จะช่วยป้องกันไม่ให้เกิดเหตุการณ์เช่นนี้อีก
โพสต์ของสถานีตำรวจได้รับความสนใจอย่างมากในโลกออนไลน์ มีผู้แสดงความเห็นมากกว่า 500 ความคิดเห็น หลายคนไม่พอใจที่ตำรวจไม่ออกใบสั่งให้บริษัท บางคนก็สงสัยว่าตำรวจทำอย่างไรให้รถยอมจอด?
สก็อต สมิทมาตุงโกล จากสถานีตำรวจแซนบรูโน ระบุว่า ปัจจุบันเจ้าหน้าที่สามารถออกใบสั่งให้ “คนขับหรือผู้ควบคุม” เท่านั้นในกรณีที่ทำผิดกฎจราจรระหว่างขับขี่ ซึ่งต่างจากกรณีจอดรถผิดที่ ที่สามารถออกใบสั่งแล้วทิ้งไว้บนรถได้เลย
อย่างไรก็ตาม มีกฎหมายฉบับใหม่ในรัฐแคลิฟอร์เนียที่จะเริ่มบังคับใช้ในปีหน้า โดยจะเปิดทางให้เจ้าหน้าที่ตำรวจสามารถรายงานการกระทำผิดบนท้องถนนของรถไร้คนขับไปยังกรมยานยนต์ เพื่อพิจารณาโทษ ซึ่งขณะนี้ยังอยู่ระหว่างการกำหนดรายละเอียด
ทางด้านโฆษกของบริษัทผู้พัฒนาระบบขับเคลื่อนอัตโนมัติให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าวท้องถิ่นว่า “ระบบขับเคลื่อนอัตโนมัติของเราถูกควบคุมดูแลโดยหน่วยงานกำกับอย่างใกล้ชิด เรากำลังตรวจสอบเหตุการณ์นี้ และมุ่งมั่นที่จะพัฒนาความปลอดภัยบนท้องถนนผ่านประสบการณ์และการเรียนรู้อย่างต่อเนื่อง”
รถยนต์ขับเคลื่อนอัตโนมัติของบริษัทนี้ให้บริการอยู่ในเมืองฟินิกซ์ ลอสแอนเจลิส ซานฟรานซิสโก และพื้นที่ทางตอนใต้ของเมือง รวมถึงเมืองแซนบรูโนด้วย
สำหรับเมืองแซนบรูโน มีประชากรประมาณ 40,000 คน และมีเจ้าหน้าที่ตำรวจประจำการอยู่ราว 50 นาย ทั้งนี้ บริษัทผู้ให้บริการรถไร้คนขับนี้เป็นบริษัทย่อยที่อยู่ภายใต้ Alphabet ซึ่งเป็นบริษัทแม่ของ Google...
วันที่ 7 ตุลาคม ของทุกปี เป็นวันมะเร็งเต้านมสากล (World Breast Cancer Day) จัดขึ้นเพื่อรณรงค์ให้สตรีหันมาใส่ใจดูแลสุขภาพเต้านม ตรวจเต้านมด้วยตนเองอย่างสม่ำเสมอ และเข้ารับการตรวจคัดกรองจากแพทย์เป็นประจำ เพื่อให้สามารถค้นพบและรักษาโรคมะเร็งเต้านมตั้งแต่ระยะเริ่มต้น ซึ่งจะช่วยเพิ่มโอกาสในการรักษาให้หายขาดได้
มะเร็งเต้านมยังคงเป็นภัยร้ายและเป็นมะเร็งอันดับหนึ่งที่พบในผู้หญิงไทย จากข้อมูลของสถาบันมะเร็งแห่งชาติ พบผู้ป่วยใหม่กว่า 20,000–22,000 รายต่อปี หรือคิดเป็นผู้หญิงไทยโดยเฉลี่ย 1 ใน 8 ที่มีโอกาสตรวจพบมะเร็งเต้านมในช่วงชีวิต และมีผู้เสียชีวิตสูงถึง 4,800 คนต่อปี อย่างไรก็ตาม ข่าวดีคือ "ยิ่งพบเร็ว โอกาสรักษาหายยิ่งสูง" การตระหนักรู้และการดูแลตัวเองอย่างสม่ำเสมอจึงเป็นกุญแจสำคัญ
แพทย์หญิงวิภาวี นิยมในธรรม นายแพทย์ชำนาญการ จากสถาบันมะเร็งแห่งชาติ ได้ชี้ให้เห็นถึงปัจจัยเสี่ยงที่ควรเฝ้าระวัง ได้แก่
อายุที่มากขึ้น
มีประวัติญาติสายตรงเป็นมะเร็งเต้านม
เคยเป็นเนื้องอกหรือมะเร็งที่เต้านม
มีประจำเดือนเร็ว (ก่อนอายุ 12 ปี) หรือหมดหลังอายุ 55 ปี
เคยได้รับรังสีที่เต้านม หรือทรวงอก
มีภาวะอ้วนน้ำหนักเกิน
ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์
แม้มะเร็งเต้านมจะเป็นมะเร็งอันดับหนึ่งของสตรีไทยแต่ “ยิ่งพบเร็ว โอกาสรักษาหายยิ่งสูง” การตรวจคัดกรองสม่ำเสมอจึงสำคัญเพราะยิ่งทำการรักษาเร็วยิ่งช่วยรักษาชีวิตได้มากขึ้น
“มะเร็งเต้านมในระยะแรกมักไม่มีอาการเจ็บ ทำให้หลายคนชะล่าใจ แต่ถ้าเจอในระยะศูนย์ ก็ทำให้รักษาง่าย ไม่สูญเสียเต้านม มีทางเลือกในการรักษามาก เช่น กินยาต้านฮอร์โมน ยาพุ่งเป้า ก็ช่วยให้ไม่ต้องไปถึงขั้นการทำเคมีบำบัด และผู้ป่วยหลายรายไม่ต้องผ่าตัดเอาเต้านมออก”
ด้านคนดังในวงการบันเทิงที่เคยมีประสบการณ์ป่วยโรคมะเร็งเต้านมอย่าง แจง - วราพรรณ หงุ่ยตระกูล, นุ่น - ดารัณ ฐิตะกวิน และแหวนแหวน - ปวริศา เพ็ญชาติ ต่างให้ความเห็นในทิศทางเดียวกันว่า การตรวจเช็กร่างกายอย่างสม่ำเสมอ คือการป้องกันมะเร็งเต้านมที่ดีที่สุด เพราะสิ่งที่น่ากลัวกว่าการไปตรวจ คือการมีโรคอยู่แล้วแต่ไม่รู้ตัว
ทั้งนี้ เอสเต ลอเดอร์ คอมพานีส์ (Estée Lauder Companies - ELC) จัดแคมเปญ ‘รวมพลังช่วยกันหยุดยั้งมะเร็งเต้านม - Beautifully United to Help End Breast Cancer’ มายาวนานกว่า 30 ปี ได้ระดมทุนทั่วโลกไปแล้วกว่า 108 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (ข้อมูล ณ ปี 2565) เพื่อสนับสนุนงานวิจัย การศึกษา และบริการทางการแพทย์ โดยมอบเงินจำนวนมากให้แก่ มูลนิธิวิจัยมะเร็งเต้านม (BCRF)
ในประเทศไทยได้ร่วมมือกับสถาบันมะเร็งแห่งชาติ จัดกิจกรรมต่างๆ เพื่อสร้างความตระหนักรู้เกี่ยวกับมะเร็งเต้านม ผ่านงานเสวนา นิทรรศการ เพื่อให้ความรู้ที่ถูกต้อง รวมทั้งสนับสนุนบริการตรวจคัดกรองมะเร็งเต้านม โดยจัด "รถตรวจมะเร็งเต้านมเคลื่อนที่" เพื่อลงพื้นที่ส่งมอบบริการให้กับสตรีผู้ขาดโอกาสและกลุ่มเสี่ยงตามชุมชนและพื้นที่ต่างๆ โดยไม่มีค่าใช้จ่าย
นอกจากนี้ยังมีการระดมทุนจำหน่ายผลิตภัณฑ์ริบบิ้นสีชมพู (Pink Ribbon Items) ของแบรนด์ในเครือ โดยนำรายได้ส่วนหนึ่งไปสมทบทุนเพื่อบริจาคในการซื้ออุปกรณ์ทางการแพทย์หรือสนับสนุนการดำเนินงานของสถาบันมะเร็งแห่งชาติ
เมื่อไม่นานนี้ บริเวณเชิงเขาล้อมหมวกกองบิน 5 อ.เมือง จ.ประจวบคีรีขันธ์ บรรยากาศเป็นไปด้วยความคึกคัก นักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติต่างทยอยเดินทางมาลงทะเบียนในกิจกรรมพิชิตยอดเขาล้อมหมวกความสูง 902 ฟุต ในช่วงวันหยุดยาว
แต่ที่เป็นไฮไลต์ดาวเด่นในกิจกรรมนี้และเป็นจุดที่นักท่องเที่ยวสนใจเป็นพิเศษคือ “ค่างแว่นถิ่นใต้” ที่อาศัยอยู่บริเวณเขาล้อมหมวก โดยเฉพาะลูกค่างแว่นตัวสีทอง หรือสีออกส้ม ออกมาเล่นซุกซนอวดโฉมความน่ารักให้นักท่องเที่ยวเห็น โดยมีพ่อแม่คอยนั่งประกบอยู่อย่างใกล้ชิด
พฤติกรรมของลูกค่างแว่นตัวสีทองนี้จะกระโดดปีนป่ายไต่ตามกิ่งไม้และตัวของพ่อแม่ ทำให้นักท่องเที่ยวตื่นตาตื่นใจ อดไม่ได้ที่จะยกโทรศัพท์มือถือขึ้นถ่ายภาพพร้อมกับเซลฟี่เก็บไว้เป็นที่ระลึก ก่อนเดินเท้าขึ้นสู่ยอดเขาเพื่อพิสูจน์ความแข็งแกร่งของตนเอง พร้อมกราบไหว้สักการะรอยพระพุทธบาทจำลองที่ประดิษฐานอยู่บนยอดเขาล้อมหมวก เมื่อพิชิตยอดเขาล้อมหมวกจนถึงจุดสูงสุดและกลับลงมาถึงด้านล่าง นักท่องเที่ยวจะได้รับใบประกาศของกิจกรรมนี้กลับบ้านเก็บไว้เป็นที่ระลึก
กิจกรรมพิชิตยอดเขาล้อมหมวกในรอบนี้ กองบิน 5 เปิดให้นักท่องเที่ยวท้าทายความสามารถพิชิตยอดเขาล้อมหมวกความสูง 902 ฟุต ซึ่งในช่วงหน้าฝนสภาพอากาศจะมีแสงแดดอ่อนๆ ไม่รุนแรงมากนัก ทำให้บรรยากาศการปีนเขาเป็นไปแบบสบายๆ อากาศกำลังพอดีไม่ร้อนเกินไป แต่ต้องสวมใส่รองเท้าหุ้มส้นสำหรับปีนเขาและสวมถุงมือเพื่อความปลอดภัย หากนักท่องเที่ยวไม่ได้เตรียมมา ที่จุดบริการมีจำหน่ายในราคาถูก เช่น ถุงมือ หมวก และของที่ระลึกรวมถึงอาหารและเครื่องดื่ม
เจริญ อาจประดิษฐ์
กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข เปิดเผยความคืบหน้าสถานการณ์โควิด 19 พบว่า สายพันธุ์ “XFG” หรือที่เรียกว่า สเตรตัส (Stratus) กำลังกลายเป็นสายพันธุ์หลักที่แพร่ระบาดทั่วโลก โดยมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง แม้ยังไม่มีหลักฐานยืนยันว่าทำให้ผู้ป่วยมีอาการรุนแรงมากกว่าสายพันธุ์อื่น นพ.ยงยศ ธรรมวุฒิ อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ เปิดเผยว่า ประเทศไทยตรวจพบสายพันธุ์ XFG ครั้งแรกเมื่อเดือนเมษายน 2568 และจนถึงวันที่ 24 กันยายน 2568 มีรายงานสะสมแล้ว 33 ราย ส่วนใหญ่อยู่ในเขตสุขภาพที่ 13 จำนวน 23 ราย โดยผู้ป่วยส่วนใหญ่มีอาการไม่รุนแรง เช่น ไข้ ไอ เจ็บคอ มีน้ำมูก และปวดศีรษะ และยังไม่มีรายใดต้องเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล
ขณะเดียวกัน กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ได้ถอดรหัสพันธุกรรมเชื้อโควิด 19 อย่างต่อเนื่อง โดยในช่วง 1 เมษายน – 24 กันยายน 2568 ได้ทำการถอดรหัสแล้ว 608 ตัวอย่าง พบว่าเป็น สายพันธุ์ NB.1.8.1* ร้อยละ 73.7 สายพันธุ์ XEC* ร้อยละ 8.7 สายพันธุ์ JN.1* ร้อยละ 6.4 สายพันธุ์ XFG* ร้อยละ 5.4 สายพันธุ์อื่น ๆ รวมร้อยละ 5.7 นับตั้งแต่เริ่มการระบาดในประเทศไทยเมื่อเดือนมกราคม 2563 จนถึงปัจจุบัน ประเทศไทยได้เผยแพร่ข้อมูลจีโนมของเชื้อโควิด-19 เข้าสู่ฐานข้อมูลสากล GISAID แล้วกว่า 48,865 ราย เพื่อสนับสนุนระบบเฝ้าระวังโรคระดับโลก
นพ.ยงยศ เน้นย้ำว่า แม้สายพันธุ์ XFG ยังไม่ก่อให้เกิดอาการรุนแรง แต่ประชาชนควรป้องกันตนเองอย่างสม่ำเสมอ โดยล้างมือบ่อยๆ หลีกเลี่ยงสถานที่แออัด และหากมีอาการผิดปกติ เช่น ไข้ ไอ หรือหายใจลำบาก ควรรีบพบแพทย์เพื่อรับการวินิจฉัยและรักษาที่เหมาะสม