ครบเครื่อง
ญ. อมตะ



จากอัมพฤกษ์ อัมพาต สู่ชีวิตใหม่ การฟื้นฟูหลัง Stroke ที่เริ่มได้ตั้งแต่วันนี้

อัมพฤกษ์ อัมพาต เป็นสิ่งที่เกิดจากโรคหลอดเลือดสมอง หรือ Stroke เป็นภัยร้ายที่ไม่มีใครอยากให้เกิด เพราะมันพรากความสามารถในการใช้ชีวิตประจำวันไปจากเดิม ผู้ป่วยอาจพูดไม่ได้ พูดไม่ชัด กลืนลำบาก มีอาการชา ร่างกายอ่อนแรง ขยับตัวไม่ได้ ซึ่งนอกเหนือจากการรักษาจากแพทย์แล้ว การฟื้นฟูหลังการรักษา โดย “เวชศาสตร์ฟื้นฟูและกายภาพบำบัด” คือความหวังสำคัญของทั้งผู้ป่วยและครอบครัวในการพาผู้ป่วยกลับมาช่วยเหลือตัวเองและมีคุณภาพชีวิตที่ดีอีกครั้ง

แนวทางการฟื้นฟูอัมพฤกษ์ อัมพาตหลัง Stroke ได้แก่

1. การออกแบบโปรแกรมฟื้นฟูเฉพาะบุคคล

การฟื้นฟูผู้ป่วย Stroke ไม่ใช่แค่การทำกายภาพทั่วไป แต่ต้องอาศัยการประเมินอาการ ความรุนแรง และความต้องการของผู้ป่วยแต่ละคน

ทีมฟื้นฟูประกอบด้วยแพทย์เวชศาสตร์ฟื้นฟู นักกายภาพบำบัด นักกิจกรรมบำบัด และนักเวชศาสตร์การสื่อความหมาย

โปรแกรมการฟื้นฟูออกแบบให้เหมาะกับอาการและเป้าหมายเฉพาะบุคคล พร้อมประเมินและติดตามอย่างต่อเนื่อง

2. กายภาพบำบัด คือหัวใจของการฟื้นฟู

การฟื้นฟูที่ได้ผลดีที่สุดคือตั้งแต่เริ่มป่วยจนถึงระยะเวลา 6 เดือน โดยเฉพาะช่วง 3 เดือนแรกจะมีการฟื้นตัวค่อนข้างเร็ว เพราะสมองและกล้ามเนื้อยังตอบสนองได้ดี และจะค่อยเริ่มชะลอลง แต่ยังสามารถพัฒนาได้ ให้เน้นการฝึกซ้ำๆ บ่อยๆ ในลักษณะเดิม เพื่อกระตุ้นการเรียนรู้ของสมองและร่างกาย

การฝึกแขน จะฝึกเพื่อให้เกิดการเคลื่อนไหวและทิศทางการเหยียดของแขน เพราะผู้ป่วยมักมีปัญหาการขยับแขนและเหยียดได้ยาก

การฝึกเดิน จะฝึกในท่าเดินที่ถูกต้อง เน้นการทำซ้ำจำนวนครั้งมากๆ เพื่อให้ร่างกายจดจำและพัฒนา

3. อุปกรณ์และเทคโนโลยีช่วยฟื้นฟู

การทำกายภาพบำบัดในบางกรณีอาจต้องใช้อุปกรณ์ช่วย เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการฟื้นฟู เช่น

จักรยานปั่นขา

เครื่องพยุงช่วยเดินหรือสลิงยกตัว

ระบบ Biofeedback วิเคราะห์การก้าวเท้า การลงน้ำหนัก การกระจายน้ำหนักฝ่าเท้า เพื่อปรับท่าทางให้ถูกต้อง

กิจกรรมบำบัด

นักกิจกรรมบำบัดมีความสำคัญในการบำบัดและฟื้นฟูผู้ป่วยอัมพฤกษ์ อัมพาต โดยฝึกให้ผู้ป่วยกลับมาทำกิจวัตรประจำวันพื้นฐานตามศักยภาพได้ เช่น

การกลืน การฝึกหายใจ

การอาบน้ำ การแต่งตัว การใช้ชีวิตประจำวัน

เวชศาสตร์การสื่อความหมาย

นักเวชศาสตร์การสื่อความหมายถือเป็นนักแก้ไขการพูด จะเข้ามามีส่วนช่วยในเรื่องการสื่อสารในชีวิตประจำวัน เช่น

การฝึกเรื่องการกลืน สำหรับผู้ที่กลืนไม่ได้ หรือกลืนลำบาก

การฝึกเรื่องพูดสื่อสาร พูดไม่ออก นึกคำพูดไม่ได้ พูดไม่ชัด พูดไม่รู้เรื่อง ฟังคนอื่นพูดไม่เข้าใจ

การฝึกเรื่องการเขียน เขียนไม่ได้ อ่านไม่ได้ มีปัญหากับตัวเลข จำนวนและการคำนวณ

การฝึกเรื่องการปฏิบัติตนในชีวิตประจำวัน

การฟื้นฟูร่างกาย เยียวยาจิตใจ ครอบครัวคือพลังสำคัญ เพราะ Stroke ไม่เพียงสร้างผลกระทบต่อร่างกายและจิตใจของผู้ป่วย แต่ยังส่งผลต่อครอบครัว ที่ต้องดูแลผู้ป่วยและเผชิญความกังวล การฟื้นฟูที่ดีจึงช่วยแบ่งเบาภาระ ลดความเครียด และสร้างความหวังให้ผู้ป่วยและคนที่รัก เพราะการฟื้นฟูคือการเริ่มต้นใหม่ ไม่ใช่เพียงการรักษาร่างกาย แต่คือการฟื้นหัวใจของทั้งผู้ป่วยและครอบครัว

ข้อมูลโดย : ศูนย์เวชศาสตร์ฟื้นฟูและกายภาพบำบัด โรงพยาบาลพญาไท 3


กินยาอย่างไรให้ไตยืนยาว

จากข้อมูลของสมาคมโรคไตแห่งประเทศไทย พบว่า สาเหตุของโรคไตเรื้อรังในประเทศไทย 2 อันดับแรก ได้แก่ โรคเบาหวานและโรคความดันโลหิตสูง การควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดและระดับความดันเลือดไม่ได้ตามเป้าหมาย ทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนต่าง ๆ ได้ รวมถึงโรคไต นอกจากนี้ การเกิดพิษต่อไตจากยาเป็นหนึ่งในสาเหตุของโรคไตเรื้อรังได้เช่นกัน

ยาแต่ละชนิดมีคุณสมบัติทำให้เกิดอาการไม่พึงประสงค์จากยาได้แตกต่างกันไป ไม่ใช่ยาทุกชนิดจะทำให้เกิดพิษต่อไต มีเพียงบางชนิดเท่านั้นที่ทำให้เกิดได้ ซึ่งยาสามารถทำให้เกิดพิษต่อไตได้ผ่านกลไกต่าง ๆ เช่น ยาทำให้เลือดไปเลี้ยงไตลดลง ยาเป็นพิษต่อไตโดยตรง หรือยาตกตะกอนบริเวณท่อไต ความสามารถในการทำให้เกิดพิษต่อไตจากยานั้นยังต้องอาศัยปัจจัยอื่นที่ส่งเสริมอีก เช่น อายุที่เพิ่มขึ้น ภาวะตับหรือไตเสื่อม ภาวะขาดน้ำ ระบบภูมิคุ้มกันบกพร่อง อิเล็กโทรไลต์ผิดปกติ การได้รับยาในขนาดสูงหรือนานเกินไป ได้รับยาที่เป็นพิษต่อไตร่วมกันหลายตัว มีปฏิกิริยาต่อยาที่ได้รับร่วมกันทำให้ระดับยาสูงขึ้นจนเกิดพิษต่อไตได้ ตัวอย่างกลุ่มยาที่สามารถทำให้เกิดพิษต่อไตได้ เช่น

● ยาแก้ปวดกลุ่มต้านการอักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ (ยากลุ่ม NSAID) เช่น ไอบูโพรเฟน มีเฟนนามิกแอซิด

● ยาต้านไวรัสอะไซโคลเวียร์ แกนไซโคลเวียร์

● ยาฆ่าเชื้อแบคทีเรีย ไตรม็อกซาโซล

● สารทึบรังสีใช้ในการวินิจฉัยทางการแพทย์

สามารถป้องกันการเกิดภาวะไตเสื่อมจากยาได้โดยหลีกเลี่ยงการใช้ในผู้ป่วยกลุ่มเสี่ยง ปรับขนาดยาให้เหมาะสม ปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรก่อนใช้ยา และควรนำรายการยาทั้งหมดที่กินอยู่มาด้วย เพื่อประกอบการพิจารณา

ยาที่ควรระวัง

นอกจากยาแผนปัจจุบันที่เป็นพิษต่อไตที่กล่าวไปข้างต้นแล้ว ควรระมัดระวังการกินยาดังต่อไปนี้

1. หลีกเลี่ยงการกินยาชุด ซึ่งประกอบด้วยตัวยาหลายชนิดรวมอยู่ในซองเดียวกัน เพื่อรักษาอาการที่แตกต่างกันไป เช่น ยาชุดแก้ปวดเมื่อย อาจมียาแก้ปวดหลายชนิดซ้ำซ้อนกัน มีสารสเตียรอยด์ผสมอยู่ ทำให้เพิ่มความเสี่ยงในการเกิดโรคไตได้ ทั้งนี้ ยาชุดยังเสี่ยงต่อยาเสื่อมคุณภาพ และไม่ได้มาตรฐานอีกด้วย

2. การกินอาหารเสริมหรือสมุนไพร

ควรเลือกกินอาหารเสริมหรือสมุนไพรที่มีกระบวนการผลิตที่ได้มาตรฐานจากแหล่งผลิตที่เชื่อถือได้ เพราะหากกระบวนการผลิตไม่ได้มาตรฐานอาจมีสารปนเปื้อน หรืออาจตั้งใจเติมยาแผนปัจจุบัน เช่น ยาแก้ปวดเอ็นเสด สเตียรอยด์ เป็นอันตรายต่อร่างกายได้ อีกทั้งยาสมุนไพรบางชนิด หากได้รับในปริมาณมากเกินไป ทำให้เกิดพิษต่อไตได้ เช่น น้ำมะเฟือง แครนเบอร์รี การกินลูกเนียงดิบมากเกินไป

นอกจากนี้ ผู้ป่วยโรคไตบางระยะยังต้องหลีกเลี่ยงอาหารเสริมหรือสมุนไพรบางชนิด เนื่องจากอาจทำให้เกิดการสะสมของสารดังกล่าว เพราะขับออกทางไตได้ลดลงจนเกิดอันตรายได้ เช่น อาหารเสริมหรือสมุนไพรที่มีโพแทสเซียมในปริมาณสูงมีผลต่อการเต้นของหัวใจ เช่น น้ำลูกยอ หญ้าหนวดแมว อัลฟัลฟ่า

3. ยาบางชนิดจำเป็นต้องหลีกเลี่ยงในผู้ป่วยโรคไตบางระยะ ยาบางชนิดจำเป็นต้องปรับขนาดยาตามการทำงานของไตที่ลดลง เพื่อไม่ให้ระดับยาในเลือดสูงเกินขนาดการรักษาจนเกิดอาการข้างเคียงต่อไต หรืออวัยวะอื่น ๆ ได้เช่นกัน ดังนั้นควรแจ้งแพทย์หรือเภสัชกรให้ทราบ หากมีภาวะการทำงานของตับหรือไตบกพร่อง

ยาที่ใช้ในการรักษาโรคไตเรื้อรัง

กลุ่มยาที่ใช้รักษาโรคไตเรื้อรังมีเป้าหมายในการชะลอความเสื่อมของไต และใช้ยาเพื่อป้องกันและรักษาภาวะแทรกซ้อนที่เกิดจากโรคไตเรื้อรัง

1. การใช้ยาเพื่อชะลอความเสื่อมของไต ดังที่ได้กล่าวไปข้างต้นแล้วว่า โรคเบาหวานและโรคความดันโลหิตสูงเป็นสาเหตุอันดับต้น ๆ ของโรคไตเรื้อรังในประเทศไทย การใช้ยาลดระดับน้ำตาลในเลือดและใช้ยาลดความดันเลือด เพื่อควบคุมระดับน้ำตาลและความดันเลือดให้ได้ตามเป้าหมายสามารถช่วยชะลอไตเสื่อมได้ นอกจากนี้ ยังมียาบางกลุ่มที่สามารถช่วยชะลอไตเสื่อมได้ โดยการลดการรั่วของโปรตีนในปัสสาวะ ได้แก่

1.1 ยาลดความดันเลือดกลุ่มเอ ซี อี ไอ, เออาร์บี เช่น อีนาลาพริล โลซาร์แทน

1.2 ยากลุ่มยับยั้งเอสจีแอลทีทู เช่น ดาพากลิโฟลซิน เอ็มพากลิโฟลซิน

1.3 ยากลุ่มยับยั้งตัวรับมินเนอราโลคอร์ติคอยด์ หรือที่เรียกว่ากลุ่มเอ็มอาร์เอ ได้แก่ ไฟเนอรีโนน (finerenone)

2. ยาที่ใช้ป้องกันและรักษาภาวะแทรกซ้อนของโรคไต โรคไตเรื้อรังในระยะท้าย ทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนระบบต่าง ๆ ของร่างกายเช่น ทำให้เกิดโรคความดันโลหิตสูงและภาวะบวมน้ำ ภาวะเลือดเป็นกรด ภาวะเลือดจาง ภาวะความผิดปกติของสมดุลแร่ธาตุและกระดูก นำไปสู่ภาวะกระดูกบาง โรคหัวใจและหลอดเลือด ภาวะโพแทสเซียมในเลือดสูง ซึ่งมีผลทำให้หัวใจเต้นผิดปกติ จึงจำเป็นต้องใช้ยาเพื่อรักษาอาการดังกล่าว

คำแนะนำเพิ่มเติมอื่น ๆ

ในวันที่ไม่สบายมาก มีอาการคลื่นไส้อาเจียน ถ่ายเหลว เบื่ออาหาร ทำให้ไม่สามารถดื่มน้ำหรือกินอาหารได้ตามปกติ น้ำหนักลด 3 กิโลกรัมในช่วง 2 วัน ปัสสาวะออกลดลง ควรหยุดกินยาบางชนิดชั่วคราว ได้แก่ ยากลุ่มยับยั้งเอสจีแอลทีทู ยาลดน้ำตาลเมทฟอร์มิน ยาลดความดันกลุ่ม เอ ซี อี ไอ, เออาร์บี เพื่อป้องกันภาวะไตวายเฉียบพลัน ภาวะเลือดเป็นกรดชนิดรุนแรงจากยาเมทฟอร์มิน เมื่ออาการหายเป็นปกติแล้วจึงกลับมากินยาในขนาดเดิม

แหล่งข้อมูล

ภญ.วันทนี อภิชนาพงศ์ ฝ่ายเภสัชกรรม คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี


ภัยเงียบใกล้ตัว! ‘สโตรกสมอง’ คร่าชีวิตคนไทย รู้ทัน BEFAST ลดพิการ-ตาย

โรคหลอดเลือดสมอง ภัยเงียบ คร่าชีวิต ความพิการ ตลอดกาล การรู้สัญญาณเตือน BEFAST แนะรีบรักษาภายใน 4.5 ชั่วโมง ช่วยเพิ่มโอกาสฟื้นตัว ลดความรุนแรง

“โรคหลอดเลือดสมอง” หรือ Stroke กำลังทวีความรุนแรงอย่างน่าตกใจ ทั้งในประเทศไทยและทั่วโลก ข้อมูลล่าสุดจากกระทรวงสาธารณสุขระบุว่า ในปี 2566 ประเทศไทยมีผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองกว่า 349,000 ราย และมีผู้เสียชีวิตสูงถึง 50,000 รายต่อปี ขณะที่ผู้รอดชีวิตมากกว่า 60% ต้องเผชิญกับ ความพิการ ส่งผลกระทบต่อชีวิตประจำวันของผู้ป่วย

สถิติจากองค์การอัมพาตโลก (World Stroke Organization) ในปี 2021 พบว่ามีผู้ป่วยสโตรกใหม่สูงถึง 11.9 ล้านราย มีผู้เสียชีวิตกว่า 7.3 ล้านราย และผู้ที่ยังมีชีวิตอยู่ต้องทนทุกข์จากภาวะแทรกซ้อนและความพิการมากกว่า 93.8 ล้านราย โรคหลอดเลือดสมองเป็นสาเหตุการเสียชีวิตอันดับ 2 ของโลก และเป็นสาเหตุของความพิการระยะยาวอันดับ 3 โดยคาดว่า ภายในปี 2050 จำนวนผู้เสียชีวิตทั่วโลกอาจเพิ่มขึ้นกว่า 50% หรือมากถึง 9.7 ล้านรายต่อปี

นพ.สิทธิ เพชรรัชตะชาติ ผู้ชำนาญการด้านประสาทวิทยา โรคพาร์กินสัน และโรคทางการเคลื่อนไหวผิดปกติ โรงพยาบาลพระรามเก้า อธิบายว่า “โรคหลอดเลือดสมองเกิดจากสมองขาดเลือดไปเลี้ยง เนื่องจากหลอดเลือดตีบ อุดตัน หรือแตก ทำให้เนื้อเยื่อสมองบางส่วนทำงานผิดปกติ อาการมักเกิดขึ้นอย่างเฉียบพลันและไม่ทันตั้งตัว”

โรคหลอดเลือดสมองแบ่งเป็น 2 ประเภทหลัก ได้แก่ 1. หลอดเลือดสมองตีบหรืออุดตัน (Ischemic Stroke) – เกิดจากหลอดเลือดตีบจากไขมันหรือมีลิ่มเลือดอุดตัน ทำให้สมองขาดเลือดและเนื้อเยื่อตาย 2. หลอดเลือดสมองแตกหรือฉีกขาด (Hemorrhagic Stroke) – เกิดจากความเปราะบางของหลอดเลือดในผู้ที่มีความดันโลหิตสูงหรือหลอดเลือดเสียความยืดหยุ่น ทำให้เกิดเลือดออกในสมอง

นอกจากนี้ยังมี ภาวะสมองขาดเลือดชั่วคราว (Transient Ischemic Attack – TIA) ซึ่งมีอาการคล้ายสโตรก แต่หายได้เองภายใน 24 ชั่วโมง อย่างไรก็ตาม ภาวะนี้ถือเป็นสัญญาณเตือนสำคัญ เพราะประมาณหนึ่งในสามของผู้ที่มี TIA อาจกลายเป็นโรคหลอดเลือดสมองภายใน 7 วัน

นพ.สิทธิ ให้ข้อมูลต่อว่า ปัจจัยเสี่ยงสำคัญ ได้แก่ ความดันโลหิตสูง เบาหวาน ไขมันในเลือดสูง โรคไต ภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะ การสูบบุหรี่ ดื่มสุรา และการใช้สารเสพติด ส่วนปัจจัยที่ควบคุมไม่ได้ ได้แก่ อายุที่มากขึ้น ประวัติครอบครัว และการเคยมีโรคหลอดเลือดอุดตันในอวัยวะอื่น

เพื่อช่วยลดความสูญเสีย แพทย์แนะนำให้สังเกตอาการเบื้องต้นตามหลัก BEFAST คือ B: balance เดินทรงตัวไม่ดี เวียนศีรษะ E : eye ตามองไม่เห็น หรือเห็นภาพซ้อน F (Face): ใบหน้าเบี้ยว ปากตก ยิ้มไม่เท่ากัน A (Arms): แขนขาอ่อนแรง ยกไม่ขึ้น S (Speech): พูดไม่ชัด พูดไม่ออก ฟังไม่เข้าใจ T (Time): เวลาเป็นปัจจัยสำคัญที่สุด ต้องรีบนำผู้ป่วยส่งโรงพยาบาลทันที

สำหรับการรักษา แบ่งออกเป็น 1. การรักษาช่วงเฉียบพลับ เช่น การให้ยาสลายลิ่มเลือด(rtPA) การเกี่ยวลากลิ่มเลือดจากหลอดเลือดสมอง(Mechanical thrombectomy) 2. การป้องกันการเป็นซ้ำ ได้แก่การให้ยาต้านเกร็ดเลือดหรือละลายลิ่มเลือด การผ่าตัดไขมันออกจากหลอดเลือดใหญ่ที่คอหากมีการตีบหรืออุดตัน(carotid endarterectomy) 3. การฟื้นฟู ได้แก่ การกายภาพบำบัด กิจกรรมบำบัด และการฝึกพูดและการสื่อสาร

นพ.สิทธิ กล่าวปิดท้ายว่า “สำหรับการป้องกัน “โรคหลอดเลือดสมอง” สิ่งสำคัญคือการปรับพฤติกรรมการใช้ชีวิต เลือกรับประทานอาหารที่ดีต่อสุขภาพ ลดไขมันอิ่มตัวและคอเลสเตอรอลสูง เพิ่มผัก ผลไม้ ธัญพืชไม่ขัดสี และโปรตีนที่ดี ออกกำลังกายสม่ำเสมอ ควบคุมน้ำหนักและสุขภาพหัวใจ งดสูบบุหรี่ จำกัดการดื่มแอลกอฮอล์ ควบคุมโรคประจำตัว และจัดการความเครียด พร้อมพักผ่อนให้เพียงพอ การตรวจสุขภาพประจำปียังช่วยเฝ้าระวังและจัดการปัจจัยเสี่ยงได้ทันเวลา และหากสงสัยว่าตนเองหรือคนใกล้ชิดมีอาการสโตรก ต้องรีบไปพบแพทย์ทันที เพราะการรักษาอย่างรวดเร็วภายใน 4.5 ชั่วโมง จะช่วยลดความรุนแรงและเพิ่มโอกาสฟื้นตัวสูงสุด”

“โรคหลอดเลือดสมองเป็นภัยเงียบที่อาจพรากชีวิตหรือทิ้งความพิการไว้ตลอดกาล การรู้เท่าทันอาการและเข้ารับการรักษาอย่างรวดเร็ว พร้อมปรับพฤติกรรมสุขภาพและควบคุมปัจจัยเสี่ยง จะช่วยปกป้องชีวิตของเราและคนที่เรารัก พร้อมรักษาคุณภาพชีวิตของสังคมอย่างยั่งยืน”... สามารถติดตามต่อได้ที่ : https://www.dailynews.co.th/news/5084273/


เทคนิคการฝึกสัตว์เลี้ยงง่าย ๆ ฉบับ Gen Z

การเป็น Pet Parent ในยุคนี้ ไม่ได้จบแค่การถ่ายรูปลูก ๆ ทำคอนเทนต์สุดคิ้วท์ แต่คือการเลเวลอัป พัฒนาทักและสกิลความเป็นพ่อ แม่ และลูกให้สมบูรณ์แบบ

ชวนมาอัปเกรดลูกรักสี่ขาของเราให้กลายเป็นเด็กดีแสนรู้ ด้วยทริคการฝึกที่ทำตามได้ง่าย ๆ ใช้เวลาไม่นาน ด้วยองค์ความรู้ใหม่ ๆ และเทคโนโลยีก็สามารถเปลี่ยนน้องตัวป่วนให้กลายเป็นระเบียบได้จริงที่ใครเห็นก็ต้องชม 5 เทคนิคการฝึกสัตว์เลี้ยงแบบรวบรัดฉบับคน Gen Z

ฝึกด้วยแอปพลิเคชัน

ปัจจุบันมีเทคโนโลยีมากมายที่เข้าเป็นตัวช่วย และแบ่งเบาการฝึกให้กับเหล่าทาส โดยใช้แอปพลิเคชันที่ออกแบบมาเพื่อการฝึกให้กับสัตว์เลี้ยงโดยเฉพาะ ยิ่งคน Gen Z มักจะคุ้นเคยกับการใช้เทคโนโลยีในทุกด้านของชีวิต และการฝึกสัตว์เลี้ยงก็เช่นกัน ซึ่งมีหลายแบบให้เลือก ทั้งแอปที่ช่วยบันทึกการฝึก, แอปที่ใช้เสียง หรือแอปที่แนะนำวิธีฝึกตามสายพันธุ์ ทำให้การฝึกเป็นเรื่องง่ายและสนุกเหมือนเล่นเกม

2. คลิปวิดีโอสั้นและโซเชียลมีเดีย

ปัจจุบันแทนที่จะต้องอ่านหนังสือเล่มหนา ๆ Gen Z เลือกเรียนรู้จากคลิปวิดีโอสั้นใน TikTok, Instagram Reels หรือ YouTube Shorts ซึ่งเป็นเรื่องเล่าที่เข้าใจง่าย และนำไปทำตามแบบใช้ได้ทันที คอนเทนต์เหล่านี้มักจะนำเสนอเทคนิคที่เจาะลึกและตรงประเด็น ทำให้การฝึกมีประสิทธิภาพ และไม่น่าเบื่อ แถมมีตัวอย่างให้เห็นอีกด้วย

3. การฝึกแบบ Positive Reinforcement หรือการให้รางวัลเชิงบวก

เทคนิคนี้จะเน้นการให้รางวัลเมื่อสัตว์เลี้ยงทำพฤติกรรมที่เราต้องการ และมีแนวคิดในการไม่ลงโทษเมื่อทำผิด เพราะชาว Gen Z มองว่าการสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับสัตว์เลี้ยงเป็นเรื่องสำคัญ และทำให้สัตว์เลี้ยงไม่ก้าวร้าว หรือหวาดกลัว ซึ่งการให้ขนม ของเล่น หรือการชื่นชมจะช่วยให้สัตว์เลี้ยงเรียนรู้และจดจำได้อย่างรวดเร็ว และมีพัฒนาที่ดีกว่า

4. การฝึกแบบ Fun and Playful

Gen Z ไม่ได้มองการฝึกสัตว์เลี้ยงเป็นหน้าที่ที่ต้องทำ แต่เป็นการทำกิจกรรมร่วมกันกับเหล่าสัตว์สี่ขา ที่เน้นความสนุกสนาน เช่น การฝึกให้สัตว์เลี้ยงเล่นเกมต่าง ๆ หรือทำทริคเล็ก ๆ น้อย ๆ เพื่อให้เจ้าของและสัตว์เลี้ยงได้ใช้เวลาคุณภาพร่วมกัน และทำให้การเรียนรู้เป็นไปอย่างธรรมชาติ และมีพัฒนาการที่น่าสนใจ

5. เรียนรู้จากชุมชนออนไลน์สำหรับคนรักสัตว์

แน่นอนว่าในยุคปัจจุบันชาว Gen Z และคนในทุกเจนเนอเรชัน ใช้แพลตฟอร์มออนไลน์เพื่อแบ่งปันประสบการณ์และขอคำปรึกษากันในหลายวงการ วงการสัตว์เลี้ยงก็เช่นกัน ซึ่งการเข้าร่วมกลุ่มชุมชนออนไลน์ บน Facebook, Reddit หรือ Discord ทำให้พวกเขาได้แลกเปลี่ยนเทคนิคการฝึก, สอบถามปัญหา และได้รับกำลังใจจากคนที่มีความสนใจเดียวกัน ซึ่งมีทั้งเคสตัวอย่าง การแก้ปัญหาได้ตรงจุด และวิธีที่น่าสนใจอย่างหลากหลายความคิดเห็นที่มาจากประสบการณ์ตรง