สัตว์ตระกูลปลาหมึก (Cephalopods) มีความฉลาดไม่น้อย เพราะมันมีระบบประสาทที่ซับซ้อน โดยนักวิจัยได้ทำการศึกษาด้วยการถ่ายภาพด้วยคลื่นสนามแม่เหล็ก ทำให้เห็นว่าสมองของปลาหมึกนั้นมีการเชื่อมโยงกันสมบูรณ์ขนาดที่ ปลาหมึกมีความฉลาดเท่าสุนัข ก็มีความเป็นไปได้ โดยนักวิจับใช้ MRI (Magnetic Resonance Imaging) ที่มีความละเอียดสูง พร้อมด้วยการใช้เทคนิคการย้อมสี ทำให้นักวิจัยสามารถค้นพบ และอธิบายถึงการเชื่อมโยงของสมอง ที่ไม่สามารถวิเคราะห์ได้ในปลาหมึกก่อนหน้านี้
ตระกูลปลาหมึก นั้นประกอบด้วย ปลาหมึกหลากหลายชนิด แต่ละชนิดก็มีสมองที่ซับซ้อนใกล้เคียงกับสุนัขและหนู แต่หนูจะมีจำนวนเซลล์ประสาทมากกว่าปลาหมึกอยู่นิดหน่อย” นักประสาทวิทยา จากสถาบันสมอง มหาวิทยาลัยควีนส์แลนด์ (QBI) ในออสเตรเลีย ได้กล่าวเอาไว้ สมมติว่าเซลล์ประสาทของ ปลาหมึก นั้นมีอยู่ 500 ล้านเซลล์ กับ 200 ล้านเซลล์ แต่สำหรับหนูและหอยจะมีเซลล์ประสาทอยู่ 20,000 ล้านเซลล์เลยทีเดียว เราทุกคนรู้ดีว่า ความซับซ้อนของระบบประสาท ไม่จะเป็นจะต้องสัมพันธ์กับระดับสติปัญญาแต่อย่างใด และเราก็ต่างรู้ด้วยว่าสุนัขนั้น มีเปลือกสมองที่ค่อนข้างหนา ดังนั้นจึงถือเป็นเรื่องอัศจรรย์มาก ที่ได้เห็นการเชื่อมโยงระบบสมองในปลาหมึก คอนเน็คโทม (Connectome) คือ การทำแผนที่ของการเชื่อมต่อประสาทที่มีอยู่ในระบบประสาทหรือในส่วนของระบบประสาทในสมองปกติ ซึ่งเป็นครั้งแรกของการทำแผนที่ของการเชื่อมต่อประสาทของปลาหมึกหอม (Sepioteuthis lessoniana) โดยทีมนักวิจัยได้ใช้เครื่อง MRI จำแนกภาพออกมาเป็น 2 ประเภท นั่นก็คือ การยืดภาพเพื่อให้เห็นความชัดเจน และภาพถ่ายความต้านทานของสนามแม่เหล้ก เพื่อเพิ่มความคมชัด
นอกจากนั้นแล้ว ตัวอย่างของปลาหมึกที่ใช้ในการทำวิจัย จะถูกย้อมสีเงิน หรือมีการติดฟลูออเรสเซนต์หลากหลายสีตามเส้นประสาท แล้วเก็บรักษาเอาไว้ วิธีการเหล่านี้ทำให้เหล่านักวิจัย สามารถยืนยันได้แล้วว่า ระบบเส้นประสาทหลักของปลาหมึกนั้นมีมากกว่า 99% นั่นเอง ยังได้มีการระบุเส้นประสาทใหม่อีก 145 เส้นที่พวกเขาไม่เคนรู้จักมาก่อนหน้านี้ ซึ่งมีจำนวนมากกว่าร้อยละ 60 ที่เชื่อมโยงกับเส้นประสาทเกี่ยวกับสายตาและการสื่อสารด้วยภาพ ซึ่งทั้ง 2 ระบบนี้ช่วยให้นักวิจัยเข้าในถึงทักษะการอำพรางตัวของเหล่าปลาหมึกได้มากขึ้น เราสามารถเห็นได้ว่า วงจรประสาทจำนวนมากเกี่ยวพันกับการพรางตัวและการสื่อสารด้วยภาพในปลาหมึก ซึ่งสิ่งนี้ทำให้ปลาหมึกมีความสามารถพิเศษในการหลบเลี่ยงเหล่าผู้ล่า ด้วยการเปลี่ยนสีแบบไดนามิก” ชุง หนึ่งในทีมนักวิจัยกล่าว จากการวิจัยนี้ทำให้เหล่านักวิจัยต่างเห็นว่า ปลาหมึกนั้นมีความลึกลับที่น่าสนใจต่อการศึกษาอีกเป็นจำนวนมาก พวกเขาพยายามศึกษาเกี่ยวกับการเปลี่ยนสีด้วยว่า ปลาหมึกมีวิธีการเปลี่ยนสีอย่างไรให้เข้ากับสภาพแวดล้อมรอบตัวได้อย่างสมบูรณ์ หรือปลาหมึกนั้นมีการสื่อสารกันอย่างไร ใช่สื่อสารกันด้วยวิธีกระพริบตาให้กันใช่หรือไม่
ซึ่งจากงานวิจัยนี้ ดูเหมือนจะทำให้เหล่านักวิจัยพบเส้นทางบางส่วนที่ปลาหมึกจะต้องใช้ระบบประสาทในสมอง ซึ่งเส้นทางที่ศึกษาพบนั้น เกี่ยวข้องกับการประมวลภาพ และพฤติกรรมโดยรวม ที่ต้องใช้ในการมองเห็นและการอำพรางตัว จากการศึกษาพบว่า ระบบประสาทของเหล่าสัตว์ที่เลี้ยงลูกด้วยนมนั้น มีความคล้ายคลึงกัน ซึ่งดูเหมือนระบบประสาทของปลาหมึกก็จะเหมือนกับระบบประสาทของเหล่าสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมด้วย นอกจากนั้นแล้ว การศึกษานี้ ยังทำให้เหล่านักวิจัยได้ค้นพบ เครือข่ายใหม่ของเซลล์ประสาทหลายแห่ง ที่ทำให้รู้ว่าปลาหมึกนั้นใช้สายตาในการนำทาง ไม่ว่าจะเป็นการเคลื่อนที่ หรือการปลอมตัวเมื่อเวลาปลาหมึกจะต้องพบกับศัตรู เมื่อปลาหมึกพบกับศัตรู มันจะพยายามเปลี่ยนสีตัวเองทั้งด้านบนและด้านล่างของร่างกาย เพื่อให้กลมกลืนไปกับบริเวณโดยรอบตัว การวิจัยนี้เป็นโครงการระยะยาว เนื่องจากเหล่านักวิจัยต้องการทำความเข้าใจกับระบบสมองของปลาหมึก เพื่อจะนำมาปรับใช้ในหน่วยสืบราชการลับนั่นเอง
ที่มา Hello Health Group
จากการที่กระทรวงสาธารณสุขรายงานว่าปีนี้มีผู้ป่วยไข้หวัดใหญ่เพิ่มขึ้น 2 เท่า เป็นผู้ป่วยสะสม 165,333 ราย เสียชีวิต 14 ราย โดยพบมากใน 6 จังหวัด คือ พะเยา ลำพูน เชียงราย ภูเก็ต เชียงใหม่ กรุงเทพฯ ซึ่งสายพันธุ์ที่ตรวจพบมากที่สุดเป็นสายพันธุ์ A(H1N1) ทำให้หลายคนเริ่มระแวดระวังตัวมากขึ้น เนื่องจากปัจจุบันมีชุดข้อมูล
ความรู้เกี่ยวกับโรคไข้หวัดใหญ่มากขึ้นว่าเป็นโรคที่แฝงอันตรายถึงชีวิตหากไม่ได้รับการดูแลและรักษาให้ถูกวิธี
โรคไข้หวัดใหญ่ (Influenza) เกิดจากเชื้ออินฟลูเอนซาไวรัส ซึ่งมี 3 ชนิด คือ A, B และ C โดยสายพันธุ์ A เป็นสายพันธุ์ที่มีความอันตรายมากที่สุด เพราะสามารถกลายพันธุ์ได้ รวมทั้งยังแพร่ระบาดได้เป็นวงกว้าง ทำให้เชื้อมีความเป็นลูกผสม และมีฤทธิ์รุนแรง โดยไวรัสไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ A มักจะแพร่ระบาดตามฤดูฝนและฤดูหนาว ซึ่งสามารถแบ่งแยกออกได้เป็น 2 สายพันธุ์ย่อยที่พบบ่อย คือ H1N1 และ H3N2
อาการไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ A
สำหรับอาการของไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ A จะมีอาการไม่ต่างจากไข้หวัดใหญ่และไข้หวัดทั่วไป แต่มีความรุนแรงกว่า ประกอบไปด้วย มีไข้สูงกว่า 38 องศาฯ ขึ้นไป มีอาการปวดศีรษะ หนาวสั่น อ่อนเพลีย มีน้ำมูกไหล คัดจมูก เจ็บคอ มีอาการไอ ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ ตามร่างกาย แขน ขา ตามตัว ในเด็กเล็กมีอาการถ่ายเหลว คลื่นไส้ อาเจียน และชักจากไข้สูง
อาการจะเป็นมากใน 3 วันแรก หลังจากนั้นอาการจะเริ่มดีขึ้น โดยหายสนิทอาจใช้เวลา 10-14 วัน แต่ผู้สูงอายุ 65 ปีขึ้นไป อาจใช้เวลานานกว่านี้ ซึ่งมีภาวะแทรกซ้อนที่สำคัญ คือ ปอดอักเสบ รวมถึงภาวะแทรกซ้อนระบบอื่นๆ สามารถนำไปสู่สาเหตุการเสียชีวิตได้ กลุ่มเสี่ยงระวังภาวะแทรกซ้อนที่อันตรายถึงชีวิต
ไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ A สำหรับคนทั่วไปที่มีร่างกายแข็งแรงดี จะไม่มีอาการร้ายแรงที่ส่งผลอันตรายถึงชีวิต แต่สำหรับกลุ่มเสี่ยงดังต่อไปนี้อาจส่งผลให้เกิดอาการแทรกซ้อนรุนแรงที่อันตรายจนถึงขั้นเสียชีวิตได้
เด็กเล็ก อายุ 6 เดือน – 5 ปี ผู้สูงอายุ มากกว่า 65 ปี สตรีมีครรภ์ ผู้ป่วยมะเร็งที่ได้รับการรักษาด้วยเคมีบำบัด ผู้ป่วยภูมิคุ้มกันบกพร่อง ผู้ที่มีน้ำหนักตัวเกิน 100 กิโลกรัม ผู้ป่วยโรคหัวใจ ผู้ป่วยโรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง หรือโรคหอบหืด ผู้ป่วยโรคเบาหวาน ผู้ป่วยโรคไต ผู้ป่วยโรคหลอดสมอง หรือลมชัก ผู้ที่ได้รับยากดภูมิ หรือสเตียรอยด์จากโรคภูมิคุ้มกันตัวเอง ผู้ป่วยโรคตับแข็ง
ภาวะแทรกซ้อนที่พบบ่อย ได้แก่ หูชั้นกลางอักเสบ ไซนัสอักเสบ หลอดลมอักเสบ และปอดอักเสบ ซึ่งมักเกิดในผู้ป่วยที่มีความเสี่ยง นอกจากนี้ยังมีภาวะแทรกซ้อนที่พบได้น้อยแต่ส่งผลอันตรายถึงชีวิต ได้แก่ กล้ามเนื้อหัวใจอักเสบ ปลายประสาทอักเสบ และสมองอักเสบ
วิธีป้องกันไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ A
สำหรับวิธีป้องกันไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ A ก็ไม่แตกต่างจากการป้องกันไข้หวัดทั่วไป หรือโควิด-19 นั่นคือ
ไม่ควรใกล้ชิดกับผู้ป่วยที่มีอาการไข้หวัด
ควรปิดปาก จมูก ด้วยหน้ากากอนามัย
หลีกเลี่ยงการอยู่ในสถานที่ที่มีผู้คนแออัด และอากาศถ่ายเทไม่ดีเป็นเวลานานโดยไม่จำเป็น
หมั่นล้างมือบ่อยๆ ด้วยน้ำและสบู่ หรือใช้แอลกอฮอล์เจลทำความสะอาดมือ
ไม่ใช้สิ่งของร่วมกับผู้อื่น เช่น แก้วน้ำ หลอดดูดน้ำ ช้อนอาหาร ผ้าเช็ดมือ ผ้าเช็ดหน้า ผ้าเช็ดตัว เป็นต้น
นอกจากนี้ อีกหนึ่งวิธีที่ช่วยในการป้องกันความรุนแรง และอาการแทรกซ้อนของไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ A ได้ก็คือการฉีดวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่แต่เนิ่นๆ สามารถฉีดได้ตลอดทั้งปี ควรฉีดปีละ 1 ครั้ง โดยเฉพาะกลุ่มเสี่ยง ซึ่งฉีดได้ตั้งแต่อายุ 6 เดือนขึ้นไป
สำหรับการระบาดของไข้หวัดใหญ่ในครั้งนี้ ทางกระทรวงสาธารณสุขได้กระจายวัคซีนไปยัง 6 จังหวัดเพิ่มขึ้นอีกจังหวัดละ 10,000 และสถานที่แออัดที่พบการระบาดสูง เช่น ค่ายทหาร เรือนจำ 30,000 โดส จัดหาวัคซีนไข้หวัดใหญ่เพิ่มขึ้นจาก 4.5 ล้านโดสเป็น 6 ล้านโดส
โรคเบาหวาน เป็นภัยเงียบที่คุกคามสุขภาพคนไทย โดยเฉพาะเบาหวานชนิดที่ 2 ที่เกิดจากภาวะน้ำตาลในเลือดสูงเรื้อรัง หลายคนเข้าใจว่าเบาหวานแค่ทำให้ระดับน้ำตาลสูง แต่ความจริงแล้ว อันตรายของเบาหวานนั้นร้ายแรงกว่านั้นมาก
ทำไมน้ำตาลในเลือดสูงจึงอันตราย
พญ.กฤดากร เกษรคำ แพทย์ American Board of Anti-Aging Medicine จาก Addlife Anti-Aging Center อธิบายเพิ่มเติมว่าปกติแล้ว อินซูลินจะทำหน้าที่พาน้ำตาลในเลือดเข้าสู่เซลล์ต่างๆ แต่เมื่อร่างกายผลิตอินซูลินได้น้อยลง หรือเซลล์ต่างๆ ดื้อต่ออินซูลิน น้ำตาลก็จะคั่งอยู่ในเลือด ส่งผลให้หลอดเลือดอักเสบ ภูมิคุ้มกันต่ำ และนำไปสู่โรคแทรกซ้อนมากมาย เช่น
ไตวาย: ไตทำงานหนักเพื่อกรองน้ำตาล ทำให้เกิดภาวะโปรตีนรั่ว นำไปสู่ไตวายในที่สุด
ตาบอด: หลอดเลือดในตาเสียหาย เสี่ยงต่อต้อกระจก เลือดออกในตา และตาบอด
แผลเรื้อรัง: หลอดเลือดส่วนปลายตีบตัน แผลหายยาก เสี่ยงติดเชื้อ รุนแรงถึงขั้นตัดขา
โรคหัวใจ: หลอดเลือดหัวใจตีบ เสี่ยงหัวใจวาย
อัมพฤกษ์ อัมพาต: หลอดเลือดสมองตีบหรือแตก
ปลายประสาทอักเสบ: ชาปลายมือปลายเท้า
สัญญาณเตือนโรคเบาหวาน
อย่างไรก็ตาม ผู้ป่วยโรคเบาหวานในระยะแรก ระดับน้ำตาลในเลือดยังไม่สูงมาก แต่มักจะแสดงอาการอื่นๆ ร่วมด้วย ได้แก่
กระหายน้ำ ดื่มน้ำบ่อยกว่าปกติ
ปัสสาวะบ่อยกว่าปกติ หรือปัสสาวะปริมาณมากกว่าปกติ
หิวบ่อย กินอาหารมากกว่าเดิม
น้ำหนักลดโดยไม่ทราบสาเหตุ
สายตาพร่ามัว มองไม่ชัด
รู้สึกอ่อนเพลีย ไม่มีแรง
มีแผลและแผลหายช้ากว่าปกติ
ชา ปวดแสบ ปวดร้อน หรือรู้สึกเหมือนมีมดไต่ที่ปลายมือปลายเท้า
ผิวหนังแห้ง คัน
อาการเหล่านี้ไม่ได้จำเพาะว่าต้องเป็นโรคเบาหวานเท่านั้น แต่ควรหมั่นสังเกตอาการตนเองอยู่เสมอ หากมีอาการเหล่านี้ควรรีบไปพบแพทย์เพื่อหาสาเหตุและทำการรักษา
กลุ่มเสี่ยงโรคเบาหวาน
มีประวัติครอบครัวเป็นเบาหวาน
ภาวะอ้วนลงพุง
อายุ 40 ปีขึ้นไป
มีโรคประจำตัว เช่น ความดันโลหิตสูง ไขมันในเลือดสูง
เคยเป็นเบาหวานขณะตั้งครรภ์
เครียด ดื่มสุรา
ดูแลตัวเองอย่างไร ให้ห่างไกลเบาหวาน
ควบคุมน้ำหนัก
ออกกำลังกายสม่ำเสมอ
รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ ลดหวาน ลดแป้ง
ตรวจสุขภาพประจำปี
ดังนั้น การควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ ก็จะช่วยลดความเสี่ยง และโอกาสเกิดโรคแทรกซ้อนได้ในอนาคต อีกทั้งยังช่วยให้มีสุขภาพที่ดี ไม่แก่ก่อนวัย เพราะน้ำตาลนับเป็นตัวการที่ทำให้เซลล์เสื่อม
"อาการคันตอนกลางคืน" เจอแบบนี้อันตรายหรือไม่? แล้วจู่ๆก็คันขึ้นมา มันเกี่ยวกับอายุไหมนะ? วันนี้เรามีคำตอบค่ะ
หลายๆคนเคยเป็นกันบ้างไหมคะ? ตกกลางคืนทีไร ร่างกายก็เริ่มคันขึ้นมาเรื่อยๆแบบไม่มีสาเหตุ เอ๊ะหรือว่าอายุมากขึ้นจะมีผลกับการคันหรือไม่? เพราะแต่ก่อนก็ไม่เป็นนี่นา… ในวันนี้ Healthy Clean ขอพาไปพูดคุยกับ แพทย์หญิง ทิวานันท์ พรหมวรานนท์ แพทย์เฉพาะ ทางด้านผิวหนัง และความงาม ศูนย์ผิวหนัง โรงพยาบาลเวิลด์เมดิคอล ที่จะมาพาทุกคนไปไขสงสัยกัน
สำหรับ “อาการคันตอนกลางคืน” (Nocturnal pruritus) แบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม คือ
1.อาการคันร่วมกับผื่นผิวหนัง เช่น ผื่นภูมิแพ้ (atopic dermatitis) ผื่นสะเก็ดเงิน (psoriasis) ผื่นลมพิษ (urticaria) ผื่นตุ่มคันเรื้อรัง (prurigo nodularis) หิด (scabies) เป็นต้น
2.อาการคันที่ไม่มีผื่นผิวหนัง มีสาเหตุจากโรคทางกายอื่นๆ เช่น โรคตับ โรคไต ไทรอยด์ เบาหวาน โรคทางระบบประสาท โรคมะเร็งเม็ดเลือดบางชนิด(โรคทางจิตเวช และอาจมีสาเหตุจากการรับประทานยาบางประเภทได้
ปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับอาการคันตอนกลางคืน ในแง่ของสรีระวิทยาของร่างกาย สามารถอธิบายได้จาก
1.อุณหภูมิผิวหนังที่เปลี่ยนแปลง ในเวลากลางคืน ผิวหนังที่อุณหภูมิสูงขึ้นทำให้การไหลเวียนของเลือดเพิ่มมากขึ้น สัมพันธ์กับอาการคันที่มากขึ้นในเวลากลางคืน
2.การสูญเสียน้ำจากผิวหนัง (Trans-epidermal water loss; TEWL) เพิ่มมากขึ้นในเวลากลางคืน บ่งบอกถึงปราการของผิวหนังที่แย่ลง ทำให้สารกระตุ้นการคันเข้าสู่ผิวหนังได้ง่ายมากขึ้น
3.การหลั่ง corticosteroid ของร่างกายตามนาฬิกาชีวภาพ (circadian rhythm) ซึ่งมีฤทธิ์ช่วยลดการอักเสบ โดยช่วงเย็นและกลางคืนร่างกายจะหลั่งสารนี้ออกมาในระดับต่ำที่สุด จึงทำให้อาการคันยิ่งเป็นมากในช่วงเวลานี้
4.Cytokine ซึ่งก็คือ สารที่สร้างและหลั่งโดยเซลล์ในระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายมนุษย์ บางชนิดมีการหลั่งในเวลากลางคืนมาก ซึ่งเกี่ยวข้องกับอาการคันในโรคผิวหนังบางชนิด
นอกจากนี้ หลายๆคนยังสงสัยว่า อาการคันที่เกิดขึ้นเกี่ยวกับอายุที่เพิ่มมากขึ้นหรือไม่ “ต้องบอกก่อนว่า อาการคันตอนกลางคืน สามารถพบได้ทุกเพศทุกวัย ขึ้นอยู่กับว่ามีผื่นผิวหนังชนิดใดร่วมด้วย” โดยโรคที่พบว่าเป็นสาเหตุของอาการคันตอนกลางคืนที่พบบ่อยได้แก่ ผื่นภูมิแพ้ผื่นสะเก็ดเงิน และผื่นลมพิษ ซึ่งสามารถพบได้ในทุกวัย
แต่จากปัจจัยทางสรีระวิทยาตาม ที่ได้กล่าวมาข้างต้น ก็สามารถบอกได้ว่า คนสูงอายุก็มีแนวโน้มที่จะพบอาการคันตอนกลางคืนได้มากกว่า เนื่องจากผิวหนังที่บางลงตามวัยทำให้มีการสูญเสียน้ำทางผิวหนังที่เพิ่มมากขึ้น ผิวแห้ง ปราการผิวหนังแย่ลง สิ่งเหล่านี้มีผลทำให้เผชิญกับอาการคันในตอนกลางคืนได้ง่ายมากขึ้น
แล้วคันมากแค่ไหน ถึงเป็นความผิดปกติจนควรไปพบแพทย์? หากมีผื่นผิวหนังร่วมด้วย ควรไปพบแพทย์ทันที แต่หากมีเพียงอาการคันอย่างเดียวไม่มีผื่นผิวหนังร่วมด้วย แต่อาการคันนั้นรบกวนการนอนหรือการใช้ชีวิตประจำวัน ก็ควรมาพบแพทย์เพื่อตรวจร่างกายและตรวจทางห้องปฏิบัติการเพิ่มเติมเพื่อหาสาเหตุของอาการคัน
วิธีแก้ไข หรือบรรเทาอาการ
โดยทั่วไปหากอาการคัน มีผื่นผิวหนังร่วมด้วยชัดเจน การรักษาก็เป็นไปตามโรคผิวหนังชนิดนั้น อาจมีทั้งยาทาภายนอก และยารับประทานกลุ่มต้าน ฮีสตามีน หรือยารับประทานกลุ่มอื่นที่ช่วยลดอาการคันร่วมด้วย หากเป็นกลุ่มอาการคันที่ไม่มีผื่นผิวหนัง การหาสาเหตุของโรคทางกายให้พบและรักษาโรคนั้น หรือหยุดยาที่เป็นสาเหตุของอาการคัน ก็จะช่วยให้อาการคันดีขึ้น
“สิ่งที่เราสามารถทำได้ นอกเหนือจากการรักษาด้วยยา ได้แก่ การรักษาความชุ่มชื้นของผิวหนังให้ดี ดื่มน้ำให้เพียงพอ การปรับอุณหภูมิของห้องนอนในเหมาะสม ไม่ร้อนหรือหนาวจนเกินไป รวมถึงการควบคุมความชื้นภายในห้อง การเข้านอนในเวลาที่เหมาะสมและนอนหลับพักผ่อนอย่างเพียงพอ นอกจากนี้ ควรสังเกตอาการคันและผื่นผิวหนังที่มีอยู่ หากอาการไม่ดีขึ้นควรปรึกษาแพทย์นะคะ” แพทย์หญิง ทิวานันท์ กล่าวทิ้งท้าย.....
นักศึกษาปี 4 จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยบ้านอยู่อำเภอโพธาราม ใช้เวลาว่างช่วงวันหยุดเลี้ยงปลาหางนกยูง ส่งออกขายทั้งในและต่างประเทศ สามารถเพาะผสมสายพันธุ์ดราก้อนเป็นผลสำเร็จ มีรายได้เดือนเป็นหมื่นบาท
ปลาหางนกยูงถือเป็นสัตว์สวยงามอีกชนิดหนึ่ง ที่มีขนาดเล็กสามารถเพาะขยายพันธุ์ได้ทีละจำนวนมาก ๆ ทำให้กลุ่มผู้ชื่นชอบนิยมสัตว์น้ำหันมาสนใจเลี้ยงกันด้วยความสวยงามจากลำตัวและหางที่มีสีสันสวยงาม กลายเป็นสัตว์น้ำเศรษฐกิจในการส่งออกขายทั้งในและต่างประเทศให้ความสนใจสั่งซื้อตลอดทั้งปี
นายเจียระไน เจียรธรรมจักร อายุ 21 ปี อยู่บ้านเลขที่ 129 หมู่ 3 ตำบลชำแระ อ.โพธาราม จ.ราชบุรี นักศึกษาปี 4 ภาควิชาสถาปัตยกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้ใช้ความรู้เพาะเลี้ยงปลาหางนกยูงขายด้วยใจที่ชื่นชอบเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ใช้เนื้อที่เพียงเล็กน้อยของมุมบ้านเพาะพันธุ์ปลาหางนกยูงสายพันธุ์ต่างๆ ส่งขายลูกค้าได้ตลอดทั้งปี ช่วงแรกทดลองเลี้ยงปลากัดแต่ก็เหมือนมือไม่ขึ้น เลี้ยงไม่โต จึงหันมาเลี้ยงปลาหางนกยูงอย่างเดียว ลองผิดลองถูกอยู่นานกว่า 3 ปีสามารถผสมสายพันธุ์และสีของปลาหางนกยูงออกมาได้อย่างสวยงามแปลกตาด้วยความภูมิใจ
นายเจียระไน กล่าวว่า เป็นความชอบของตัวเองที่จะชอบปลาหางนกยูงสายพันธุ์ฮาฟมูล หรือดราก้อน ลักษณะหางเป็นครึ่งวงพระจันทร์ออกสีม่วง และยังมีสายพันธุ์ใหม่ ๆ เพิ่มเติมที่มีความสวย งาม และมีจุดเด่น การเลี้ยงปลาที่ความสวยแปลกตาก็จะเป็นที่ต้องการของตลาดได้
ส่วนสายพันธุ์ที่เพาะขึ้นมาเองนั้นเป็นตัวลักษณะสีม่วงที่บริเวณหางและลำตัว เรียกว่า Platinum purple dragon หรือ ดราก้อน ตอนนี้กำลังทำจำนวนให้เพิ่มมากขึ้น เมื่อพัฒนาสายพันธุ์ออกมาแล้วก็จะต้องเก็บทำต่อให้สายเลือดนิ่ง เพื่อจะให้ลูกได้เหมือนตัวพ่อและแม่ของเขา ส่วนตัวสีแดงมีชื่อว่า Albino Full red อบีโน่ ฟูล เรด ลักษณะมีสีแดงล้วน ซึ่งมีความหมายถึงปลาที่ด้อยในชั้นสีผิวสีดำ ทำให้สีดำไม่แสดงออกมา จะเห็นตาเป็นสีแดง
"การเพาะพันธุ์ปลาหางนกยูงไม่ยาก โดยจับตัวผู้ ตัวเมียมาอยู่ด้วยกัน อัตราส่วนที่ใช้คือ ผู้ 1 เมีย 2 หรือ ผู้ 2 เมีย 3 ส่วนการคลอดลูก แล้วแต่ช่วงวัย และความสมบูรณ์ของแม่ปลา ถ้าเกิดเลี้ยงให้แม่ปลาสมบูรณ์มากได้ลูกถึง 60 - 70 ตัว ถ้าเฉลี่ยทั่วไปจะอยู่ประมาณ 30 - 40 ตัว ปลาท้องแรกอาจจะได้ลูกน้อยหน่อย ส่วนที่นิยมจะมีหลายสายพันธุ์ และที่ขายได้เป็นประจำคือ พันธุ์ฮาล์ฟมูนหรือดราก้อน และสายแปลกใหม่ ถ้าปลาสายพันธุ์ใหม่ก็จะมีราคาสูง อย่างสายพันธุ์ที่เพาะพันธุ์ทำขึ้นมาใหม่ก็เริ่มมีคนจับจองล่วงหน้า ส่วนราคาจะขึ้นอยู่กับความพึงพอใจระหว่างผู้ซื้อและผู้ขาย มีราคาสูงอยู่ที่ประมาณคู่ละ 2,000 - 3,000 บาท ส่งขายให้ลูกค้าต่างประเทศ ปลาที่พัฒนาสายพันธุ์ใหม่ขึ้นมาจะใช้เวลาประมาณ 6 เดือนถึง 1 ปี"
นายเจียระไน กล่าวต่อว่า ปัจจุบันการส่งปลาขายไปต่างประเทศไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไปแล้ว ตอนนี้ที่ฟาร์มจะมีสายพันธุ์อื่น ๆ ที่เลี้ยงอยู่กว่า 40 สายพันธุ์ เช่น Metal yellow mosaic ลักษณะหางสีเหลือง และอีกหลายสายพันธุ์ จะเน้นความหลากหลายให้ลูกค้าได้เลือก ซึ่งจะมีเพื่อนที่อยู่ในทีมช่วยกันทำจะมีข้อดีช่วยให้มีปลาบริการลูกค้าได้ต่อเนื่อง ส่วนรายได้เฉลี่ยประมาณเดือนละ 12,000 - 30,000 บาท เป็นช่วงที่อยู่ระหว่างเรียนหนังสือ หากเป็นช่วงที่มีเวลามากหน่อยก็ได้ราคาเพิ่มขึ้น การเลี้ยงเน้นแบบธรรมชาติเป็นหลัก ใช้พืชน้ำช่วยดึงของเสียในน้ำออกได้ และใส่ออกซิเจนเพื่อเลี้ยงจุลินทรีย์ให้จุลินทรีย์ไปกำจัดขี้ปลาอีกทีหนึ่ง จะช่วยย่อยเศษซากสิ่งสกปรกในน้ำได้ ทำให้ปลาสุขภาพดี แข็งแรง
สำหรับการเลี้ยงปลานกยูงใช้ทุนในการเลี้ยงไม่มากและยังใช้พื้นที่น้อยในการหาวัสดุอุปกรณ์ เช่น อิฐบล็อกสำหรับวางเป็นชั้น ๆ ใช้กล่องพลาสติกประมาณ 10 ใบ สามารถเลี้ยงได้ประมาณ 4 สายพันธุ์ มีปั๊มลมตัวเล็กมาช่วยดูแลการเลี้ยง โดยรวมพ่อแม่พันธุ์และวัสดุ อุปกรณ์ต่าง ๆ ไม่เกิน 2,500 บาท การเลี้ยงช่วงท้องแรกของปลาหางนกยูง พอคลอดออกมาได้ระยะประมาณ 3 เดือนก็จับส่งขายลูกค้าได้แล้ว ราคาปลาเกรดเริ่มต้นจะอยู่ที่คู่ละ 300 บาทขึ้นไป โดยการใช้พ่อแม่พันธุ์ปลาหางนกยูงที่ดีก็สามารถเพาะขยายพันธุ์จำหน่ายได้ราคาดีตลอดทั้งปี
ผู้สนใจอยากเลี้ยงปลาหางนกยูงสวย สามารถติดต่อสอบถามข้อมูลได้ที่ เจียระไนฟิชฟาร์ม หรือ ที่ Facebook Jiaranai Thienthammajak เบอร์ 099-3818398