ครบเครื่อง
ญ. อมตะ



รู้ยัง อาบ ‘น้ำอุ่น-น้ำร้อน’ ยังไงให้ดีต่อสุขภาพ-ผิวไม่แห้ง

ช่วงนี้หลายคนกำลังผิวแห้งลอก อันเนื่องมาจากฤดูหนาวกับการอาบน้ำอุ่น น้ำร้อน ทำให้สูญเสียความมั่นใจ ซึ่งนอกจากต้องหาครีมบำรุงผิวมาใช้แล้ว ถือโอกาสรู้จักการอาบน้ำอุ่น น้ำร้อน ให้ดีต่อสุขภาพผิวอีกทางกันเถอะ

การอาบน้ำไม่ใช่แค่การชำระล้างสิ่งสกปรกออกจากร่างกายเท่านั้น แต่ยังช่วยคืนความสดชื่นให้กับร่างกายและสมอง รวมทั้งน้ำยังช่วยดูแลผิวให้สุขภาพดีได้ด้วย ในฤดูหนาวที่หลายคนกำลังอาบน้ำอุ่น น้ำร้อน จึงต้องรู้ก่อนอาบ

โดยสาระน่ารู้เรื่อง “รู้หรือไม่ อาบน้ำแบบไหนดีต่อผิว? (Water Shower)” โดย ศูนย์ผิวหนังและศัลยกรรมตกแต่ง โรงพยาบาลศิริราช ปิยมหาราชการุณย์ แนะนำไว้ ดังนี้

อาบน้ำร้อน

การอาบน้ำร้อนจะต้องมีอุณหภูมิประมาณ 37-42 องศาเซลเซียส (ไม่ควรเกิน 42 องศาเซลเซียส) อุณหภูมิระดับนี้จะทำให้เลือดไหลเวียนดีขึ้น ทำให้ร่างกายตื่นตัว แต่ไม่ควรอาบหรือแช่น้ำร้อนเกิน 15 นาที เพราะอาจทำให้ร่างกายได้รับความร้อนมากเกินไปจนหน้ามืด เป็นลมได้ นอกจากนี้ยังทำให้ผิวแห้ง มีผื่นขึ้น ผิวเหี่ยว หรืออาจทำให้เลือดคั่ง ประสาทอ่อนล้า กระวนกระวาย ง่วงเหงา และเมื่ออาบน้ำร้อนเสร็จควรอาบซ้ำด้วยน้ำเย็นเพื่อกระชับรูขุมขน หรือจะทาครีมบำรุงผิวเติมความชุ่มชื่นให้กับผิวก็ได้ เพื่อไม่ให้ผิวแห้งจนเกินไป

น้ำร้อนอุณหภูมิ 42 องศาเซลเซียส เทียบได้กับการแช่บ่อน้ำพุร้อนคล้ายออนเซนของญี่ปุ่น หรืออ่างน้ำร้อนแช่ตัวในสปาหรือสถานบำบัดต่างๆ น้ำร้อนอุณหภูมิ 42 องศาเซลเซียสจะมีละอองไอน้ำบางมากๆ ลอยขึ้นมา ไอน้ำจะไม่หนาและเห็นเป็นสีขาวชัดเจนเหมือนน้ำเดือด

อาบน้ำอุ่น

อุณหภูมิที่เหมาะสมสำหรับการอาบน้ำอุ่นอยู่ที่ 27-37 องศาเซลเซียส จะช่วยให้ผิวขับของเสียที่คั่งค้างออกมาได้มากขึ้น ทำให้รู้สึกสบายตัว ช่วยลดอาการมือเท้าเย็น บวม เส้นเลือดขอด ช่วยกระตุ้นการไหลของเลือด และช่วยลดความเครียดได้ การแช่น้ำอุ่นเหมาะสำหรับคนที่นอนไม่ค่อยหลับ เพราะน้ำอุ่นจะไปเพิ่มอุณหภูมิในร่างกายทำให้รู้สึกสบายตัว หลับได้ง่ายและนานขึ้น

น้ำอุ่นอุณหภูมิ 37 องศาเซลเซียสจะเป็นความร้อนระดับเดียวกับอุณหภูมิในร่างกาย โดยให้สังเกตว่าเมื่ออาบแล้วจะสบายตัว แม้จะอาบน้ำแช่นานๆ ก็จะไม่รู้สึกแสบผิว แต่จะรู้สึกสบายตัว

เพิ่มความชุ่มชื้นหลังอาบน้ำ

ขณะที่สาระน่ารู้เรื่อง “อาบน้ำอุ่นอย่างไร ไม่ให้ผิวเสียความชุ่มชื้น” ได้แนะนำเคล็ดลับการเพิ่มความชุ่มชื้นหลังอาบน้ำ ไว้ดังนี้

-หลังอาบน้ำ เช็ดผิวให้แห้งหมาดๆ แล้วทาครีมบำรุงผิวที่ผสมออยล์ หรือน้ำมันมะพร้าวทันทีโดยไม่ต้องรอให้ตัวแห้งสนิท วิธีนี้จะช่วยล็อกความชุ่มชื้นให้กับผิวได้อย่างดีเยี่ยม

-เลือกใช้ครีมบำรุงผิวที่มีส่วนผสมของกรดไฮยาลูโรนิค ซึ่งเป็นสารที่ช่วยให้ความชุ่มชื้นตามธรรมชาติ

-หากรู้สึกว่าผิวแห้งลอก ระคายเคืองและมีผื่นแดงขึ้นตามผิวหนังหลังอาบน้ำ นั่นอาจไม่ใช่ผิวแห้งจากการอาบน้ำอุ่น แต่เป็นอาการแพ้สบู่ หรือยาสระผมที่ใช้ แนะนำให้ลองเปลี่ยนมาใช้ผลิตภัณฑ์สูตรอ่อนโยน หรือปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญทันที

5 วิธีอาบน้ำผิดๆ ที่อาจทำร้ายผิว

หลายคนอาจไม่ทราบว่าพฤติกรรมการอาบน้ำในปัจจุบัน อาจทำลายสุขภาพผิวได้ อย่างสาระน่ารู้เรื่อง “5 วิธีอาบน้ำผิดๆ ที่อาจทำร้ายผิว” แนะนำโดยเว็บไซต์ thehealthy.com ดังนี้

1.อาบน้ำอุ่นนานเกินไป

ส่งผลให้ผิวแห้ง และเกิดอาการคันได้ ควรใช้เวลาอาบน้ำเพียง 5-7 นาที และอุณหภูมิของน้ำไม่ควรสูงกว่า 37 องศาเซลเซียส ซึ่งเป็นความร้อนในระดับเดียวกับอุณหภูมิของร่างกาย

2.ใช้สบู่ก้อนแทนครีมอาบน้ำ

สบู่ก้อนจะมีฤทธิ์เป็นด่างซึ่งต่างจากสบู่เหลวหรือครีมอาบน้ำที่มีความเป็นกรดด่างเท่ากับผิวหนัง ทำให้ผิวแห้งกร้านได้ แนะนำให้ใช้สบู่เหลวที่มีมอยซ์เจอไรเซอร์

3.สระผมบ่อยเกินไป

ในช่วงหน้าหนาว แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านผิวหนังแนะนำว่าไม่จำเป็นต้องสระผมทุกวันแต่อย่างใด โดยอาจจะเว้นช่วงสระทุกๆ 3 วัน ด้วยแชมพูและครีมนวดผม หากใครมีปัญหาเรื่องความมันของหนังศีรษะก็อาจใช้แชมพูแห้ง (Dry Shampoo) แทนได้

4.ละเลยการใช้ครีมนวดผม

เลือกแชมพู และครีมนวดผมที่เหมาะกับสภาพอากาศในหน้าหนาว ซึ่งการละเลยการใช้ครีมนวดผมจะส่งผลให้สภาพปลายผมเกิดอาการแห้งเสียได้ เพราะเป็นส่วนที่ได้รับน้ำมันธรรมชาติน้อยกว่าผมส่วนอื่นๆ

5.ไม่ให้ความสำคัญกับการเช็ดตัว

หลังจากอาบน้ำเสร็จใช้ผ้าขนหนูซับผิวเบาๆ ให้แห้ง และรีบทาโลชั่นหลังจากเช็ดตัวเสร็จทันที เพื่อเป็นการกักเก็บความชุ่มชื้นไว้กับผิวให้มากที่สุด


“เดินวันละหมื่นก้าว” ดีจริงหรือ

คงเคยได้ยินกันว่า หากอยากมีสุขภาพดี ร่างกายของเราต้องไม่เนือยนิ่งในแต่ละวัน คือ ลุกขยับตัวบ้าง เดินให้มากขึ้นบ้าง จากที่เคยเอาแต่นั่งวินมอเตอร์ไซค์

ดังอย่างประโยคที่ว่า “ต้องเดินวันละหมื่นก้าว ถึงมีสุขภาพดี” จริงหรือไม่ รศ.นพ.รุ่งนิรันดร์ ประดิษฐสุวรรณ สาขาวิชาอายุรศาสตร์ปัจฉิมวัย ภาควิชาอายุรศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล ไขข้อข้องใจผ่านสาระน่ารู้ “เดินวันละหมื่นก้าวดีจริงหรือ?”

หลายท่านคงเคยได้ยินคำกล่าวที่ว่า “จงเดินให้ได้วันละหมื่นก้าว แล้วสุขภาพจะดี” และบางท่านอาจจะรู้สึกท้อใจที่พยายามเดินเท่าไร ก็ยังไม่ถึงเป้าเสียที

เดิน จริงๆ แล้ว ที่มาของคำกล่าวนี้มาจากคำโฆษณาของบริษัทญี่ปุ่นที่ผลิตเครื่องนับก้าว (pedometer) ตั้งแต่ปี ค.ศ.1965 และยังคงติดหูผู้คนทั่วไปอยู่จนถึงปัจจุบัน

จะว่าไป เป้าหมายการเดินวันละหมื่นก้าวเพื่อสุขภาพที่ดีก็มีเหตุผลรองรับอยู่เหมือนกัน เพราะคนวัยทำงานมักจะเดินได้วันละราวๆ 5,000-7,000 ก้าว ถ้าเพิ่มการเดินออกกำลังกายอีกวันละ 30 นาที (น่าจะได้อีก 3,000-4,000 ก้าว) รวมแล้วก็น่าจะใกล้เคียง 10,000 ก้าวต่อวัน

อย่างไรก็ตาม มีงานวิจัยเร็วๆ นี้ที่พิสูจน์ว่าการเดินที่ต่ำกว่าเป้าหมายวันละหมื่นก้าว (เดินให้ได้วันละ 7,000-10,000 ก้าว) ก็ยังส่งผลดีต่ออัตราการเสียชีวิตของผู้ร่วมวิจัยไม่น้อยกว่าการเดินวันละหมื่นก้าวเช่นกัน

ดังนั้น การเดินให้ได้อย่างน้อยวันละ 7,000-8,000 ก้าว น่าจะมีประโยชน์ต่อต่อสุขภาพอย่างแน่นอน

ยิ่งไปกว่านั้น ยังมีงานวิจัยอีกหลายชิ้นที่พิสูจน์ว่าการเพิ่มจำนวนก้าวเดินให้มากขึ้นส่งผลดีต่อสุขภาพมากกว่าการเดินให้ถึงเป้าหมาย (เป็นจำนวนก้าวต่อวัน) ด้วยซ้ำไป

ตัวอย่างเช่น งานวิจัยทำในคนไข้โรคเบาหวานที่ให้คนไข้เดินเพิ่มขึ้นจากการเดินเฉลี่ยวันละ 5,000 ก้าวเป็น 6,200 ก้าว ทำให้คนไข้ควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดได้ดีขึ้น อีกงานวิจัยหนึ่งทำในคนไข้หญิงสูงอายุที่มีไขมันในเลือดสูงที่ให้คนไข้เดินเฉลี่ยเพิ่มขึ้นจาก 6,800 เป็น 8,500 ก้าวต่อวัน พบว่าช่วยให้ระดับไขมันในเลือดลดลง

เดิน นอกจากนั้น ยังมีงานวิจัยอีกชิ้นหนึ่งที่เปรียบเทียบคน 2 กลุ่ม กลุ่มแรกเดินน้อยกว่าวันละ 4,000 ก้าวกับกลุ่มที่สองเดินมากกว่าวันละ 8,000 ก้าว พบว่ากลุ่มที่เดินมากมีอัตราการเสียชีวิตน้อยกว่ากลุ่มที่เดินน้อย

ดังนั้น สรุปว่าถ้าท่านสามารถเดินได้ถึงหรือเกินวันละหมื่นก้าวอยู่แล้ว ก็ขอให้เดินต่อไป แต่ถ้าท่านเดินได้น้อยกว่านั้น ก็ไม่ต้องท้อนะครับ ขอให้ลองตั้งเป้าหมายและเดินให้ได้สักวันละ 8,000 ก้าว เชื่อว่าสุขภาพของท่านจะดีขึ้นแน่ๆ

แต่ถ้าใครที่เดินได้น้อยจริงๆ ลองเริ่มตั้งเป้าหมายที่จะพยายามเดินเพิ่มขึ้นสักวันละ 1,000-2,000 ก้าว แล้วปฏิบัติให้จริงจังนะครับ ถ้าทำได้แล้วก็ค่อยๆ ขยับเป้าหมายขึ้นไปช้าๆ ค่อยเป็นค่อยไป เชื่อว่าการเดินให้มากขึ้นส่งผลดีต่อสุขภาพของท่านอย่างแน่นอนครับ


ยูเออีส่ง “ยานราชิด” ทะยานสู่อวกาศ-ประเดิมภารกิจ “สำรวจดวงจันทร์”

– ซินหัว รายงานว่า สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (ยูเออี) ประสบความสำเร็จในการส่ง “ยานสำรวจดวงจันทร์ราชิด” (Rashid) เพื่อทำภารกิจแรกบนพื้นผิวดวงจันทร์ เมื่อวันอาทิตย์ที่ 11 ธ.ค.ที่ผ่านมา

ศูนย์อวกาศโมฮัมเหม็ด บิน ราชิด ในนครดูไบ ระบุว่ายานสำรวจราชิดจะมอบข้อมูล รูปภาพ และรายละเอียดเชิงลึกใหม่ที่มีคุณค่าสูง ตลอดจนรวบรวมข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ที่เกี่ยวกับต้นกำเนิดของระบบสุริยะ โลก และสิ่งมีชีวิต

ยานสำรวจดวงจันทร์ราชิดผลิตในสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ โดยมี ยานฮาคุโตะ-อาร์ (HAKUTO-R) ยานลงจอดบนดวงจันทร์ของญี่ปุ่นพาขึ้นสู่ดวงจันทร์ และทั้งหมดถูกขนส่งด้วย จรวดฟอลคอน 9 (Falcon 9) ของสเปซเอ็กซ์จากสถานีกองทัพอากาศแหลมคะแนเวอรัล รัฐฟลอริดา สหรัฐอเมริกา

ชีค โมฮัมเหม็ด บิน ราชิด อัลมัคตูม รองประธานาธิบดีและนายกรัฐมนตรีสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ เผยว่ายานสำรวจฯดวงจันทร์ราชิดเป็นส่วนหนึ่งในโครงการอวกาศของยูเออีซึ่งเริ่มต้นจากดาวอังคาร ดวงจันทร์ และดาวศุกร์

นอกจากนี้ศูนย์อวกาศโมฮัมเหม็ด บิน ราชิด ยังลงนามในข้อตกลงร่วมกับองค์การบริหารอวกาศแห่งชาติจีนเพื่อร่วมสำรวจอวกาศเมื่อเดือนก.ย.ที่ผ่านมา มีความร่วมมือสำคัญคือการนำพายานสำรวจลำถัดไปของยูเออีสู่พื้นผิวดวงจันทร์ด้วย “ยานอวกาศฉางเอ๋อ-7” (Chang’e-7) ในปี 2569


มงลง ‘จัสมิน’ สาวเยอรมนี มิสอินเตอร์เนชันแนล 2022 ‘บิ๊นท์ สิรีธร’ อำลาตำแหน่งครองนานสุด 3 ปี

เมื่อวันที่ 13 ธันวาคม ในการประกวด Miss International 2022 ณ โตเกียวโดมฮอลล์ กรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น โดยที่มีสาวงามของไทย “เทวี-ฤาชนก มีแสง” มิสอินเตอร์เนชันแนลไทยแลนด์ 2022 เป็นตัวแทนเข้าร่วมประชุนโฉมกับสาวงามทั่วโลกด้วย

สำหรับสาวงามที่คว้าแหน่ง มิสอินเตอร์เนชันแนล 2022 คนที่ 60 ของโลก ไปครองได้แก่ “จัสมิน เซลล์เบิร์ก” อายุ 22 ปี สาวงามจากประเทศเยอรมนี ที่สวยประหนึ่งเจ้าหญิง

สำหรับรองชนะเลิศอันดับ 1 ได้แก่ ประเทศกาบูเวร์ดี รองอันดับ 2 ได้แก่ ประเทศเปรู รองอันดับ 3 ได้แก่ โคลอมเบียรองอันดับ 4 ได้แก่ สาธารณรัฐโดมินิกัน

สำหรับสาวงามจากประเทศไทย เทวี ฤาชนก มีแสง มิสอินเตอร์เนชั่นแนล ไทยแลนด์ 2022 แม้จะไม่ผ่านเข้ารอบ แต่ก็ได้ใจคนไทยไปเต็มๆ เพราะเธอทำเต็มดีที่สุดแล้ว


ยานสำรวจดวงจันทร์ของนาซากลับโลก

ฮุสตัน/ไมอามี (เอพี/รอยเตอร์ส/บีบีซี นิวส์/เอ็นเอชเค) - ยานโอไรออน (Orion capsule) ของสำนักงานบริหารการบินและอวกาศแห่งชาติของสหรัฐฯ หรือ นาซา เดินทางกลับถึงพื้นโลกแล้วเมื่อวานนี้ โดยตกลงในมหาสมุทรแปซิฟิก เสร็จสิ้นภารกิจภายใต้ชื่อ “อาร์ทิมิส 1” (Artemis I) โดยโคจรรอบดวงจันทร์เป็นเวลามากกว่า 25 วัน เพื่อเตรียมการสำหรับการส่งมนุษย์กลับไปยังดวงจันทร์อีกครั้งในอีกไมกี่ปีข้างหน้านี้

ยานแคปซูลโอไรออนของสำนักงานบริหารการบินและอวกาศแห่งชาติของสหรัฐฯ หรือนาซา พุ่งเข้าสู่ชั้นบรรยากาศโลกและกลับถึงโลกบริเวณมหาสมุทรแปซิฟิกแล้วเมื่อกลางดึกคืนวันอาทิตย์ พื้นที่ร่อนลงของแคปซูลโอไรออนตก อยู่นอกชายฝั่งของคาบสมุทรบาฆา กาลิฟอร์เนีย ของเม็กซิโก โดยมีการกางร่มเพื่อชะลอความเร็วของแคปซูลที่กลับคืนจากอวกาศ

แคปซูลโอไรออน เป็นส่วนหนึ่งของยานโอไรออน นาซาส่งขึ้นทำภารกิจบนอวกาศนาน 25 วันก่อนหน้านี้โดยไม่มีลูกเรือ ในระหว่างที่โคจรรอบดวงจันทร์ โอไรออน เดินทางเป็นระยะทางมากกว่า 1.5 ล้านกิโลเมตร และไปสำรวจในจุดที่ยังไม่เคยมียานอวกาศลำไหนเคยสำรวจมาก่อน โอไรออน ต้องเผชิญกับความร้อน 2,800 องศาเซลเซียส หรือ ราวครึ่งหนึ่งของอุณหภูมิบนพื้นผิวดวงอาทิตย์ ขณะผ่านชั้นบรรยากาศของโลก ซึ่งเป็นภารกิจหนึ่งในการทดสอบโล่กันความร้อนของโอไรออน ที่วันข้างหน้าจะนำมาใช้เมื่อมีมนุษย์เดินทางไปด้วย

ข้อมูลจากโอไรออน จะช่วยให้นาซาเตรียมการสำหรับภารกิจส่งมนุษย์ไปดวงจันทร์ในอนาคตอันใกล้ สำหรับภารกิจอาร์ทิมิส 2 นั้นอยู่ในขั้นตอนการวางแผน โดยกำหนดไว้ในปี 2024 ซึ่งจะเป็นการส่งลูกเรือขึ้นไปโคจรรอบดวงจันทร์

โดยที่จะยังไม่ลงไปจอดบนดวงจันทร์ ส่วนอาร์ทิมิส 3 กำหนดไว้ในปี 2025 จะเป็นการนำยานไปลงจอดที่ขั้วด้านใต้ของดวงจันทร์เป็นครั้งแรก และหนึ่งในคณะนักบินอากาศจะมีนักบินอวกาศหญิงร่วมเดินทางไปด้วย

ขณะเดียวกัน ยานอวกาศไร้คนขับที่พัฒนาโดย ไอสเปซ (ispace) บริษัทสตาร์ทอัพที่ตั้งอยู่ในกรุงโตเกียว ถูกส่งขึ้นสู่อวกาศโดยจรวดของบริษัทสเปซเอกซ์ ที่บรรทุกยานอวกาศลำดังกล่าว ทะยานขึ้นสู่อวกาศจากรัฐฟลอริดา เมื่อช่วงเช้าวันอาทิตย์ตามเวลามาตรฐานสากล ยานอวกาศแยกตัวออกจากจรวดหลังทะยานขึ้นฟ้าไปประมาณ 47 นาที และกำลังมุ่งหน้าไปยังดวงจันทร์ซึ่งอยู่ห่างจากโลกไปราว 380,000 กิโลเมตร คาดว่า ยานจะลงจอดบนพื้นผิวดวงจันทร์ในช่วงปลายเดือนเมษายนปีหน้า หากประสบความสำเร็จ ก็จะเป็นครั้งแรกที่ยานของบริษัทเอกชนลงจอดบนดวงจันทร์

ทั้งนี้ งานวิจัยที่เผยแพร่ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาพบว่าอาจมีน้ำอยู่บนดวงจันทร์ ทำให้ดวงจันทร์กลายเป็นฐานที่มั่นสำคัญของมนุษย์ที่ต้องการขึ้นไปปฏิบัติภารกิจบนอวกาศ ขณะที่หลายประเทศกำลังเดินหน้าแข่งขันในด้านอวกาศดังจะเห็นได้จากโครงการพัฒนาจำนวนมาก เช่น โครงการอาร์ทิมิสเพื่อสำรวจดวงจันทร์รอบใหม่ของสหรัฐฯ

สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า ยาน “โอไรออน” ขององค์การบริหารการบินและอวกาศแห่งชาติสหรัฐฯ หรือนาซา ได้กลับถึงโลกแล้ว โดยตกลงในมหาสมุทรแปซิฟิก นอกชายฝั่งรัฐบาฮากาลิฟอร์เนีย ประเทศเม็กซิโก เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา ตามเวลาท้องถิ่น ภายหลังจากเสร็จสิ้นภารกิจสำรวจดวงจันทร์ ด้วยการโคจรรอบดวงจันทร์เป็นเวลานานกว่า 25 วัน ในโครงการที่ชื่อว่า “อาร์ทิมิสวัน (Artemis 1)”

โดยยาน “โอไรออน” ได้ค่อยๆ โรยตัวลงสู่มหาสมุทรแปซิฟิก จากการที่ใช้ร่มชูชีพสีส้มขนาดใหญ่ 3 อัน ช่วยพยุงตัว ภายหลังเสร็จสิ้นภารกิจการเดินทางและโคจรรอบดวงจันทร์คิดเป็นระยะทางมากกว่า 1.5 ล้านกิโลเมตร รวมถึงการเข้าไปสำรวจพื้นที่ของดวงจันทร์ในบริเวณพื้นที่ที่ยังไม่เคยมียานอวกาศลำไหนสำรวจมาก่อน ซึ่งในระหว่างนี้ “โอไรออน” ต้องผจญกับสภาพอากาศที่ร้อนจัดถึง 2,800 องศาเซลเซียส หรือคิดเป็นครึ่งหนึ่งของอุณหภูมิบนพื้นผิวของดวงอาทิตย์

รายงานข่าวแจ้งว่า ภารกิจตามโครงการข้างต้น เป็นการเตรียมการสำหรับการส่งมนุษย์กลับไปยังดวงจันทร์อีกครั้ง ซึ่งคาดว่าจะมีขึ้นในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า