ครบเครื่อง
ญ. อมตะ



หมอเตือน "ฮีทสโตรก" ภัยเงียบอันตราย อาจนำไปสู่ภาวะช็อก แนะแนวทางป้องกัน

หมอเตือนโรคลมแดด "ฮีทสโตรก" ภัยเงียบอันตราย หากไม่ได้รับการช่วยเหลืออย่างทันท่วงที อาจนำไปสู่ภาวะช็อก พร้อมแนะแนวทางป้องกัน

ในช่วงเทศกาลสงกรานต์ ประเทศไทยมักเผชิญกับสภาพอากาศร้อนจัด ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อสุขภาพโดยเฉพาะภาวะโรคลมแดด (Heat Stroke) ซึ่งเป็นภาวะฉุกเฉินทางการแพทย์ที่เกิดจากการได้รับความร้อนมากเกินไป ส่งผลให้อุณหภูมิร่างกายสูงขึ้นจนระบบควบคุมอุณหภูมิของร่างกายล้มเหลว หากไม่ได้รับการช่วยเหลืออย่างทันท่วงที อาจนำไปสู่ภาวะช็อก (Shock) หรืออวัยวะล้มเหลว (Organ Failure) ได้

ทางด้าน นพ.กิตติภูมิฐ์ กวินโชติไพศาล แพทย์เฉพาะทางเวชศาสตร์ฉุกเฉิน ศูนย์บริการผู้ป่วยฉุกเฉินและอุบัติเหตุ (Emergency Room) โรงพยาบาลนวเวช ได้อธิบายความรู้เกี่ยวกับสาเหตุ อาการ ปัจจัยเสี่ยง และแนวทางป้องกันโรคลมแดดช่วงสงกรานต์ พร้อมวิธีปฐมพยาบาลผู้ที่มีอาการโรคลมแดด เพื่อดูแลตนเองและคนรอบข้างได้อย่างทันท่วงที

สาเหตุและปัจจัยเสี่ยงของโรคลมแดด

โรคลมแดดเกิดจากการได้รับความร้อนเป็นเวลานาน และร่างกายไม่สามารถระบายความร้อนได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้เกิดโรคนี้ ได้แก่

อุณหภูมิและความชื้นสูง อากาศร้อนจัดและความชื้นสูงทำให้เหงื่อระเหยได้ยาก ส่งผลให้ร่างกายสะสมความร้อน

การสัมผัสความร้อนเป็นเวลานาน การเล่นน้ำกลางแดด การเดินทางกลางแจ้ง หรือการออกกำลังกายหนักในช่วงกลางวัน

ภาวะขาดน้ำ (Dehydration) ดื่มน้ำไม่เพียงพอ ทำให้ร่างกายไม่สามารถควบคุมอุณหภูมิได้อย่างเหมาะสม

การดื่มแอลกอฮอล์หรือคาเฟอีน มีผลทำให้ร่างกายขับน้ำออกมากขึ้นและเพิ่มความเสี่ยงต่อภาวะขาดน้ำ

กลุ่มเสี่ยงพิเศษ เด็ก ผู้สูงอายุ ผู้ที่มีโรคประจำตัว เช่น โรคหัวใจ โรคความดันโลหิตสูง หรือผู้ที่ใช้ยาบางชนิดที่มีผลต่อระบบควบคุมอุณหภูมิของร่างกาย

อาการของโรคลมแดด

ระยะเริ่มต้น : เวียนศีรษะ อ่อนเพลีย คลื่นไส้ ผิวหนังร้อน แดง แห้ง หรือมีเหงื่อออกน้อยผิดปกติ หัวใจเต้นเร็ว หายใจเร็ว

ระยะรุนแรง : สับสน มึนงง พูดไม่รู้เรื่อง อาการชัก หรือหมดสติ อุณหภูมิร่างกายสูงเกิน 40°C ซึ่งอาจทำให้เกิดภาวะระบบอวัยวะล้มเหลว (Multiple Organ Dysfunction Syndrome, MODS) ได้

แนวทางป้องกันโรคลมแดดช่วงสงกรานต์

ดื่มน้ำให้เพียงพอ: ควรดื่มน้ำอย่างน้อยวันละ 2-3 ลิตร หลีกเลี่ยงเครื่องดื่มแอลกอฮอล์และคาเฟอีน

สวมใส่เสื้อผ้าที่เหมาะสม: เลือกเสื้อผ้าที่ระบายอากาศได้ดี หลีกเลี่ยงเสื้อผ้าสีเข้มที่ดูดซับความร้อน

เลี่ยงกิจกรรมกลางแดดช่วงเวลา 10.00 - 16.00 น.: หากจำเป็นต้องออกกลางแจ้งควรใช้หมวกหรือร่มเพื่อช่วยลดการรับความร้อน

ไม่ออกกำลังกายหนักในที่ร้อนจัด: หากต้องออกกำลังกายควรเลือกช่วงเช้าหรือเย็นแทน

เฝ้าระวังกลุ่มเสี่ยงพิเศษ: เช่น เด็กเล็ก ผู้สูงอายุ และผู้มีโรคประจำตัว ควรหลีกเลี่ยงการอยู่กลางแดดเป็นเวลานาน

วิธีปฐมพยาบาลผู้ที่มีอาการโรคลมแดด หากพบผู้ที่มีอาการของโรคลมแดด ควรรีบให้การช่วยเหลือดังนี้

1. นำผู้ป่วยออกจากบริเวณที่มีความร้อน หาสถานที่ร่มหรือมีอากาศถ่ายเทสะดวก

2. ลดอุณหภูมิร่างกาย ใช้ผ้าชุบน้ำเย็นเช็ดตัว หรือใช้พัดลมช่วยระบายความร้อน

3. ให้จิบน้ำทีละน้อย หากยังมีสติ ให้ดื่มน้ำเปล่าช้าๆ เพื่อป้องกันภาวะขาดน้ำ

4. ห้ามใช้วิธีลดอุณหภูมิแบบฉับพลัน เช่น การใช้น้ำเย็นจัดราดตัว เพราะอาจทำให้หลอดเลือดหดตัวและทำให้อาการแย่ลง

5. หากหมดสติ ให้รีบโทรแจ้งหน่วยแพทย์ฉุกเฉิน (โทร.1669)

อย่างไรก็ตาม โรคลมแดดเป็นภาวะที่สามารถป้องกันได้ หากมีการเตรียมความพร้อมและปฏิบัติตามแนวทางที่เหมาะสม โดยเฉพาะในช่วงเทศกาลสงกรานต์ที่มีความเสี่ยงสูง การตระหนักถึงอันตรายของอากาศร้อน และการดูแลสุขภาพให้เหมาะสม จะช่วยให้สามารถสนุกสนานกับเทศกาลได้อย่างปลอดภัย ลดความเสี่ยงต่อภาวะฉุกเฉิน และรักษาสุขภาพที่ดีตลอดฤดูร้อน


วิธีเช็ค 5 สัญญาณ ตับแข็ง

หากตับเริ่มมีปัญหา มันจะไม่ปวดหรือเจ็บชัดๆแต่บางทีจะค่อยๆ แสดงออกทางผิวหนัง หมอชวนสังเกต 5 อาการที่เจอบนผิวที่บ่งบอกว่า "ตับเราน่าจะเริ่มมีปัญหาแล้วนะ"

นายแพทย์ เจษฎ์ บุณยวงศ์วิโรจน์ รองผู้อำนวยการโรงพยาบาลมหาราชนครราชสีมา คุณหมออารมณ์ดีเจ้าของเพจ “หมอเจด” โดยระบุข้อความว่า "รู้ไหมว่าตับเป็นอวัยวะที่ทำงานหนักสุด ๆ ทั้งช่วยจัดการสารพิษ สร้างโปรตีน ควบคุมฮอร์โมน ย่อยไขมัน แต่ถ้าตับเริ่มมีปัญหา มันจะไม่ปวดหรือเจ็บชัดๆ เหมือนอย่างอื่นนะ แต่บางทีมันก็จะค่อยๆ แสดงออกทางผิวหนัง วันนี้เราเลยอยากชวนมาสังเกต 5 อาการที่เจอบนผิวเราเนี่ยแหละ ที่อาจกำลังแอบบอกว่า “ตับเราน่าจะเริ่มมีปัญหาแล้วนะ"

1. ผิวเหลือง ตาเหลือง

ลองส่องกระจกดูดี ๆ ถ้าเริ่มรู้สึกว่าหน้าดูเหลืองๆ แปลก ๆนี่แหละอาจเป็นสัญญาณแรกของภาวะที่เรียกว่า “ดีซ่าน” ซึ่งมันคือการที่ร่างกายเรามีสารที่ชื่อว่า "บิลิรูบิน" มากเกินไป เจ้าสารนี้เกิดจากตอนที่ร่างกายเรากำจัดเม็ดเลือดแดงเก่า แล้วปกติตับจะช่วยเอาออกไปทางน้ำดี ถ้าตับเริ่มทำงานไม่ดี ไม่ว่าจะจากการอักเสบ ตับแข็ง หรือท่อน้ำดีอุดตัน บิลิรูบินจะค้างในเลือด แล้วทำให้ผิวกับตาดูเหลือง ๆ ขึ้นมานั่น

2. เส้นเลือดฝอยเหมือนใยแมงมุม

ถ้าสังเกตตรงใบหน้า คอ อกส่วนบน และแขน แล้วมีมีเส้นเลือดแตกแขนงออกคล้ายใยแมงมุมถ้ามีแบบนี้เยอะ ๆ อย่ามองข้ามนะ เพราะมันเรียกว่า "Spider angioma" (Spider Nevi) ซึ่งเจอบ่อยในคนที่มีปัญหาเกี่ยวกับตับ โดยเฉพาะตับแข็ง สาเหตุหลักคือ พอตับทำงานไม่ดี มันจะเคลียร์ฮอร์โมนพวกเอสโตรเจนไม่ได้ ฮอร์โมนพวกนี้พอสะสมเยอะก็จะไปทำให้เส้นเลือดฝอยใต้ผิวขยายตัว เลยกลายเป็นใยแมงมุมแบบที่เห็น ใครเริ่มมีจุดพวกนี้ขึ้นหลายจุด แนะนำให้เช็กตับด่วน

3. คันทั้งตัว แต่ไม่มีผื่น

เคยเป็นไหม? อยู่ดี ๆ ก็คันทั้งตัว โดยเฉพาะตอนกลางคืน คันแบบไม่มีผื่น ไม่มีตุ่ม เกาแค่ไหนก็ไม่หาย คันจนหงุดหงิดนอนไม่หลับเลยนั่นแหละ บางคนคิดว่าแพ้อะไรสักอย่าง แต่จริง ๆ แล้วตับอาจเป็นต้นเหตุ เรื่องของเรื่องคือ ถ้าตับมีปัญหา เช่น โรคตับอักเสบเรื้อรัง ในโรคที่เกี่ยวกับการอุดตันของทางเดินน้ำดี (เช่น PBC) น้ำดีมันจะไหลไม่สะดวก แล้วเกิดการคั่งในร่างกาย สารพวกนี้จะไปกระตุ้นปลายประสาทใต้ผิว ทำให้คันหนักมากถ้าคันแบบหาสาเหตุไม่เจอ ลองนึกถึงเรื่องตับด้วย

4. ช้ำง่าย ทั้งที่ไม่ได้ชนอะไรแรงเลย

เคยเจอแบบนี้ไหม? อยู่ดีๆ แขน ขา มีรอยช้ำ ๆ เหมือนโดนอะไรมาแต่เราก็ไม่ได้กระแทกอะไรสักอย่าง หรือแค่เกานิดเดียวก็เป็นจ้ำแล้ว ถ้าใช่ อาจต้องหันมามองตับแล้วล่ะเพราะตับมีหน้าที่สร้างโปรตีนที่ช่วยให้เลือดแข็งตัว ถ้ามันทำงานไม่ดี โปรตีนพวกนี้จะลดลงส่งผลให้เลือดหยุดไหลยาก แล้วก็ทำให้เราเป็นรอยฟกช้ำง่ายกว่าเดิมนอกจากนี้ในบางคนที่มีตับแข็งร่วมกับม้ามโต ม้ามจะไปทำลายเกล็ดเลือดมากขึ้นอีก ยิ่งทำให้เกิดรอยช้ำหรือจ้ำเลือดง่ายขึ้นไปอีกถ้าช้ำง่ายแบบไม่มีเหตุผล อย่าลืมเรื่องตับมีปัญหา ซึ่งอาการนี้พบได้บ่อยในโรค ตับแข็ง (Cirrhosis) โดยเฉพาะเมื่อมีภาวะร่วมอย่าง ม้ามโต (Hypersplenism) ซึ่งทำให้เกล็ดเลือดต่ำยิ่งขึ้นไปอีก

5. มือแดงแบบแปลก ๆ

ลองดูฝ่ามือตัวเองดูหน่อย ถ้าตรงโคนนิ้วโป้งหรือนิ้วก้อยแดงแบบไม่รู้สาเหตุ ทั้งที่ไม่ได้จับของร้อน ไม่ได้เพิ่งออกแรงหรือออกกำลัง อาจเป็นภาวะที่เรียกว่า "Palmar erythema" มือแดงแบบนี้เกี่ยวข้องกับตับที่เริ่มทำงานผิดปกติ โดยเฉพาะในคนที่มีตับแข็งจากดื่มแอลกอฮอล์หรือจากสาเหตุอื่น ๆ เพราะตับไม่สามารถเคลียร์ฮอร์โมนส่วนเกินได้อีกแล้ว ฮอร์โมนพวกนี้ไปทำให้เส้นเลือดฝ่ามือขยายตัวแบบไม่ปกติ จนมือแดงขึ้นมา

อย่าคิดว่าตับจะแข็งแรงแค่ไม่ดื่มเหล้า เพราะพฤติกรรมหลายอย่างก็ทำร้ายตับได้เหมือนกัน เช่น กินของทอด ของมัน ของหวานบ่อย ๆดื่มน้ำอัดลมหรือชาไข่มุกแทนน้ำเปล่าเป็นประจำ นอนดึกทุกวัน เครียดสะสม ไม่ออกกำลังกาย หรือแม้แต่กินยาพาราหรือสมุนไพรบางชนิดติดต่อกันโดยไม่รู้ว่าเป็นพิษต่อตับนี่ยังไม่รวมถึงเบาหวาน ไขมันในเลือดสูง น้ำหนักเกิน หรือมีประวัติคนในครอบครัวเป็นโรคตับซึ่งทั้งหมดนี้ล้วนเป็นปัจจัยที่ค่อย ๆ ทำให้ตับเสื่อมลงเรื่อย ๆ ได้ทั้งนั้น เพราะความเสี่ยงมีมากกว่านั้นเยอะ ไม่ว่าจะเป็นเบาหวาน ไขมันในเลือดสูง น้ำหนักเกิน กินยาบางชนิดบ่อย ๆ หรือแม้แต่พันธุกรรมในครอบครัว ก็ทำให้ตับพังได้เหมือนกัน การดูแลตับไม่ได้ยากเท่าที่คิดเลย แค่เริ่มต้นจากพฤติกรรมง่าย ๆ ที่ทำได้ทุกวัน เช่น กินอาหารที่ดีต่อตับ เช่น ผักใบเขียว ผลไม้สด ธัญพืชไม่ขัดสี หลีกเลี่ยงของทอด ของมัน และอาหารแปรรูป

ดื่มน้ำเปล่าให้เพียงพอ อย่างน้อยวันละ 6-8 แก้ว ช่วยให้ตับขับของเสียได้ดีขึ้น ออกกำลังกายเป็นประจำ อย่างน้อย 3-5 วันต่อสัปดาห์ เพื่อควบคุมน้ำหนักและลดไขมันสะสมที่ตับ งดเหล้า เบียร์ และเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ทุกชนิด เพราะเป็นตัวการหลักทำร้ายตับโดยตรง นอนให้พอ และลดความเครียด เพราะทั้งสองอย่างมีผลต่อการอักเสบและการซ่อมแซมของตับ หลีกเลี่ยงการใช้ยาโดยไม่จำเป็น โดยเฉพาะยาที่ต้องผ่านการกรองจากตับ

เสริมวิตามินและสารอาหารช่วยบำรุงตับ

•วิตามิน E: ลดการอักเสบของตับ

•Dandelion (แดนดิไลออน): ช่วยขับสารพิษออกจากตับ

•โคลีน (Choline): ลดความเสี่ยงไขมันพอกตับ


หนุ่มแชร์ประสบการณ์เฉียดตาย! ถูกเงี่ยงปลามีพิษร้ายแรงแทงนิ้ว ปวดแขน หายใจไม่ออก หนาวสั่น

หนุ่มรีวิวประสบการณ์ถูกเงี่ยงปลามีพิษร้ายแรงแทงนิ้ว มีอากาคปวด ลามท้่วแขน ปวดเข้าต้นคอ เข้ารักแร้ หนาวสั่น หายใจติดขัด ทรงตัวไม่ได้เดินเซ เผยชนิดปลาคือปลาอีปุ๊มีพิษรุนแรงมากที่สุดชนิดหนึ่ง

วันนี้ (3 เม.ย.) ผู้ใช้เฟซบุ๊กรายหนึ่งเผยประสบการณ์เฉียดตาย โดยระบุข้อความว่า “จากที่ถูกปลาชนิดหนึ่งแทงที่นิ้วระหว่างเก็บสาหร่าย สรุปว่าเมื่อคืนต้องไปโรงพยาบาล ตอนแรกอาการช่วงเย็นนั้นดีขึ้น มือไม่บวม เหลือเพียงอาการปวดทั้งแขน พอตกค่ำมันกลับเริ่มปวดเข้าต้นคอ เข้ารักแร้ แล้วก็ตามด้วยอาการหนาวสั่น สั่นมากขึ้นแบบโดนพัดลมก็ยังไม่ได้ แบบว่าเย็นเจี๊ยบ

และก็เริ่มรู้สึกว่าหายใจติดขัด หัวใจเต้นรัวถี่ๆ จึงรีบไปโรงพยาบาลในขณะที่การทรงตัวเริ่มผิดปกติ เริ่มเดินเซแต่ยังไหวอยู่ เมื่อเข้าห้องฉุกเฉิน โดนฉีดยาที่ก้นไปเข็มหนึ่งดังฉั่ว จำชื่อยาไม่ได้แล้วแต่เจ็บใช้ได้ ระหว่างที่ยายังไม่ทันได้ออกฤทธิ์ พิษของปลาก็วิ่งทำงานก่อน รู้สึกได้เลยว่ามันลามเข้าตัว หายใจติดขัดมากขึ้น จนกลายเป็นหอบหืด หลอดลมตีบหายใจได้ไม่ถึงครึ่งปอด มือที่ถูกปลาแทงเริ่มร้อนอย่างกับถูกย่างเตาถ่านต้องห่อด้วยผ้าชุบน้ำ ทีนี้ต้องครอบออกซิเจนพ่นยาขยายหลอดลม แล้วก็หลับไปสองรอบคาเตียงฉุกเฉิน

สำหรับปลาชนิดนี้ คือปลาอีปุ๊ เป็นปลาที่มีพิษรุนแรงมากที่สุดชนิดหนึ่ง อาจอยู่ในกลุ่มของปลาแมลงป่อง หรือในกลุ่มปลาหิน แต่มีขนาดเล็กกว่ามาก เงี่ยงพิษจะมีอยู่ทั้งในครีบด้านข้างและครีบบนหลังและหนาม อื่นๆ บนหัว ความรุนแรงเมื่อโดนเงี่ยงแทง อาจขึ้นอยู่กับว่าโดนเข้าเงี่ยงอันไหน เงี่ยงครีบข้างนั้นยาวสุดอาจเข้าได้ลึกกว่าเงี่ยงบนหลัง และแทงเข้าที่ส่วนใดของร่างกาย แบบเงี่ยงจมลึก หรือแบบข่วนถากผ่านไม่ลึก ซึ่งที่ตนเองโดน คือแทงเข้าใต้เล็บนิ้วกลางมือขวา ลึกในระดับหนึ่งจนเลือดออกพอประมาณ และโดนแบบถากในนิ้วชี้ อันนี้เป็นตำแหน่งสำคัญที่มีเส้นประสาทเยอะ และอาจจะช่วยนำส่งพิษได้มาก ปกติแค่โดนเสี้ยนไม้ตำลึกๆ เข้าตำแหน่งนี้ก็ถึงกับเป็นไข้ได้แล้ว

ปลาอีปุ๊ และปลาในตระกูลปลาแมลงป่อง - ปลาหิน มีเงี่ยงพิษอันตรายสูงสุดทุกชนิด เป็นที่ร่ำลือว่าอันดับหนึ่งในท้องทะเล มีหลายขนาดหลายสี แต่บางชนิดก็กินได้อยู่ ในญี่ปุ่นนิยมนำเนื้อมาทำอาหารจานเด็ด แต่ก็เคยมีคนเสียชีวิตเมื่อราว 6 ปีก่อนที่หมู่เกาะมัลดีฟส์ เป็นนักท่องเที่ยวดำสนอร์กเกิลแล้วพลาดไปเหยียบปลาแมลงป่องหรืออาจเป็นปลาหิน ที่นอนอยู่บนก้อนหิน ปรากฏว่าเสียชีวิตภายในไม่เกินชั่วโมง

และเงี่ยงปลามีพิษยังมีอีกเยอะหลายชนิดมาก ในน้ำจืดก็มีเช่นปลาดุก ในทะเลนี่เยอะ ชาวประมงในแต่ละพื้นที่จะมีข้อมูลและรู้จักมันดีที่สุดจากประสบการณ์ ท่านใดมีประสบการณ์การถูกเงี่ยงปลา หรือรู้จักชนิดปลามีพิษ ร่วมแชร์เล่าเรื่องราวในคอมเมนต์กันครับ”


จัดการด่วน! ‘ผดผื่นคัน’ ตัวร้ายหน้าร้อน

ผดผื่นคันหน้าร้อนเป็นอาการของผิวหนังที่เกิดจากการตอบสนองต่ออากาศร้อน ความชื้น หรือการอุดตันของรูขุมขน ทำให้ผิวระคายเคือง รู้สึกคันมาก เกิดขึ้นได้กับทุกเพศทุกวัย พบบ่อยในเด็กทารก

เมื่อเข้าสู่ฤดูร้อน หลายๆคนมักพบอาการผิวหนังเกิดผดผื่นคันมากวนใจให้ต้องเกา ต้องแกะ ซึ่งเสี่ยงต่ออาจปัญหาอื่นลุกลามตามมาได้ “คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล” มีเกร็ดความรู้บอกเล่าสาเหตุและการป้องกันปัญหาผิวหนังดังกล่าวด้วยวิธีง่ายๆ

ผดผื่นคันหน้าร้อน เป็นอาการของผิวหนังที่เกิดจากการตอบสนองต่ออากาศร้อน ความชื้น หรือการอุดตันของรูขุมขน ส่งผลให้ผิวระคายเคือง มีตุ่มเล็กๆขึ้นตามร่างกาย และมักจะทำให้รู้สึกคันมาก อาการนี้เกิดขึ้นได้กับทุกเพศทุกวัย แต่จะพบบ่อยในเด็กทารก เนื่องจากผิวยังบอบบาง และการระบายเหงื่อยังไม่สมบูรณ์

ผดผื่นคันเกิดจากอะไร

1.การอุดตันของต่อมเหงื่อใต้ผิวหนังในสภาพแวดล้อมร้อนและชื้น ส่งผลให้เหงื่อไม่สามารถระบายออกได้ตามปกติ

2.อากาศร้อนและชื้น เหงื่อออกเยอะ ทำให้ต่อมเหงื่ออุดตันเป็นผดผื่น

3.การอุดตันของท่อเหงื่อ เกิดจากการทาโลชั่นมากเกินไปในช่วงอากาศร้อนจัด และอยู่ในบริเวณที่มีอากาศไม่เย็นพอ ก่อให้เกิดการอุดตัน เนื่องจากเหงื่อระบายออกไม่ได้ทำให้เกิดผดผื่น

4.สภาวะของร่างกายที่เข้ากับสิ่งแวดล้อมไม่ได้ โดยอยู่ที่อากาศเย็นแล้วไปอากาศร้อน ร่างกายจึงไม่สามารถปรับตัวได้ทัน ส่งผลให้เกิดเหงื่อปริมาณมากที่ไปอุดตันรูขุมขน ทำให้เกิดผดผื่นคันตามข้อพับที่อับชื้นต่างๆ ตามร่างกาย

ผดผื่นคันมีกี่ประเภท

1.ผดเหงื่อ มีลักษณะเป็นตุ่มเล็กใส ไม่คัน มักเกิดในบริเวณร่มผ้า

2.ผดร้อน มีลักษณะเป็นตุ่มเล็ก มีผื่นแดงรอบ ๆ มีอาการคัน

3.ผดหนอง มีลักษณะเป็นตุ่มสีขาว เกิดอาการอักเสบ ติดเชื้อ และมีหนอง

วิธีป้องกันได้อย่างไร

1.ป้องกันตั้งแต่การเลือกเสื้อผ้าที่สวมใส่ ควรจะเป็นเนื้อผ้าที่บางเบา เพื่อถ่ายเทความร้อน และเหงื่อได้สะดวก

2.ทำความสะอาดร่างกาย เนื่องจากเหงื่อออกเยอะ อาจมีฝุ่นละอองเข้ามาติด ก่อให้เกิดเป็นปัญหาของผดผื่นคันขึ้นมาได้ และหากผิวหนังรู้สึกร้อนเกินไป ควรรีบหลบเข้าที่ร่มทันที เพราะอาการผดผื่นคันเกิดขึ้นได้ง่าย แต่ก็สามารถรักษาได้ง่ายเช่นกัน เพียงดูแลรักษาสุขภาพร่างกาย ให้สะอาดปราศจากสิ่งสกปรก

3.รักษาความสะอาดเสื้อผ้าและที่นอน

4.ควรนอนพักผ่อนให้เพียงพอ

5.หลีกเลี่ยงการตากแดดเป็นเวลานาน

6.ไม่ใช้โลชั่นในช่วงที่อากาศร้อนมาก

การรับมือกับผดผื่นในหน้าร้อนไม่ใช่เรื่องยาก หากเราเข้าใจสาเหตุและประเภทของผดผื่นอย่างถูกต้อง พร้อมทั้งปฏิบัติตามวิธีป้องกันที่กล่าวมา การดูแลผิวอย่างเหมาะสมจะช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดผดผื่นคัน และทำให้ใช้ชีวิตในฤดูร้อนได้อย่างสบายใจ ไม่ต้องทนกับอาการคันหรือระคายเคืองอีกต่อไป...


‘หุ่นยนต์-AI-เกม’ ฟื้นฟูผู้ป่วยกล้ามเนื้ออ่อนแรง

ประเทศไทยกำลังก้าวเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุอย่างสมบูรณ์ โดยข้อมูลจากสำนักงานสถิติแห่งชาติและหน่วยงานด้านประชากรศาสตร์คาดการณ์ว่า ภายในปี 2583 ประเทศไทยจะมีผู้สูงอายุคิดเป็นสัดส่วนมากกว่า 32% ของประชากรทั้งหมด หรือประมาณ 20 ล้านคน ซึ่งนำมาสู่การเพิ่มขึ้นของโรคเรื้อรังและภาวะเสื่อมของระบบต่างๆ ในร่างกาย โดยเฉพาะโรคที่เกี่ยวกับการทำงานของระบบประสาทและกล้ามเนื้อ

เช่น โรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง (ALS - Amyotrophic Lateral Sclerosis) และโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรงไมแอสทีเนียเกรวิส (MG - Myasthenia Gravis) ที่ส่งผลให้ผู้ป่วยสูญเสียความสามารถในการเคลื่อนไหวอย่างต่อเนื่อง และไม่สามารถช่วยเหลือตนเองได้ในที่สุด การกายภาพบำบัดจึงเป็นส่วนสำคัญในการดูแลผู้ป่วย เพื่อยืดอายุการทำงานของกล้ามเนื้อและรักษาคุณภาพชีวิต อย่างไรก็ตาม ผู้ป่วยจำนวนมากไม่สามารถทำกายภาพได้ต่อเนื่อง เนื่องจากข้อจำกัดด้านร่างกาย สภาพจิตใจ และความเบื่อหน่ายต่อวิธีการเดิม ส่งผลให้ประสิทธิภาพการฟื้นฟูลดลงอย่างมาก

เพื่อแก้ไขข้อจำกัดดังกล่าว ดรปฏิยุทธ พรามแก้ว หัวหน้าโครงการ อาจารย์จากโครงการร่วมบริหารหลักสูตรฯ (มีเดีย) คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์และการออกแบบ และ ผศ.ดร.ฐิตาภรณ์ กนกรัตน คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี ร่วมกับ ผศ.ดร.มหศักดิ์ เกตุฉ่ำ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ ผศ.ดร.นฤมล ชูเมือง มหาวิทยาลัยราชภัฏหมู่บ้านจอมบึง และ ดร.วรวุทธิ์ ยิ้มแย้ม มหาวิทยาลัยราชภัฏเพชรบุรี

ได้ดำเนินการวิจัยและพัฒนา “หุ่นยนต์ต้นแบบช่วยกายภาพบำบัดผู้ป่วยกล้ามเนื้ออ่อนแรงบริเวณขาโดยใช้ปัญญาประดิษฐ์และเกม” โดยมุ่งเน้นการพัฒนาอุปกรณ์ต้นแบบที่สามารถใช้งานได้จริงในบริบทของผู้ป่วยกล้ามเนื้ออ่อนแรงบริเวณขา พร้อมระบบเกมที่ออกแบบขึ้นโดยเฉพาะสำหรับการกระตุ้นการขยับร่างกายผ่านเกมที่มีเป้าหมายชัดเจน โดยได้รับความร่วมมือจากแพทย์และบุคลากรในโรงพยาบาลผู้สูงอายุบางขุนเทียน ที่นำข้อมูลเชิงลึกและความต้องการของผู้ป่วยมาเป็นโจทย์ในการพัฒนางานวิจัย

ดร.ปฏิยุทธ กล่าวถึงหลักการการทำงานของหุ่นยนต์ต้นแบบ ว่า หุ่นยนต์ต้นแบบนี้ประกอบด้วยสององค์ประกอบหลัก ได้แก่ อุปกรณ์กายภาพบำบัดที่ออกแบบตามหลักสรีรศาสตร์ โดยสามารถปรับน้ำหนัก แรงต้าน และตำแหน่งให้เหมาะสมกับสภาพร่างกายของผู้ป่วยแต่ละราย และระบบเกมแบบจำลองสถานการณ์ (Simulation Game) ที่ใช้การขยับกล้ามเนื้อขาเพื่อควบคุมการดำเนินภารกิจในเกม ซึ่งได้รับการออกแบบให้มีลักษณะเหมาะสมกับผู้สูงอายุและผู้ป่วยกลุ่มเป้าหมายโดยเฉพาะ

“เช่น ขนาดตัวอักษร หน้าจอแสดงผล รูปแบบการโต้ตอบ การวางปุ่ม และระบบให้คะแนนที่ชัดเจนเพื่อให้เห็นพัฒนาการของผู้ใช้งาน ผสานกับการใช้ปัญญาประดิษฐ์ (AI) ในการติดตาม วิเคราะห์ และปรับระดับความยากง่ายของกิจกรรมให้สอดคล้องกับพฤติกรรมการใช้งานจริงของผู้ป่วยแต่ละคน ที่ช่วยให้การฝึกมีประสิทธิภาพสูงขึ้น และสามารถประเมินผลได้แม่นยำขึ้น” ดร.ปฏิยุทธ กล่าว

ผศ.ดร. ฐิตาภรณ์ กล่าวเสริมว่า การพัฒนาหุ่นยนต์ต้นแบบดังกล่าวไม่เพียงสร้างผลลัพธ์ทางเทคโนโลยีเท่านั้น แต่ยังส่งผลกระทบเชิงสังคมและอุตสาหกรรมอย่างเป็นรูปธรรม ตัวอย่างเช่น ความสามารถในการต่อยอดสู่การผลิตเชิงพาณิชย์ในราคาที่ประชาชนสามารถเข้าถึงได้ การนำไปประยุกต์ใช้ในโรงพยาบาล ศูนย์ฟื้นฟู ชุมชนผู้สูงอายุ รวมถึงการใช้งานภายในครัวเรือน ที่ช่วยขยายโอกาสในการเข้าถึงเทคโนโลยีฟื้นฟูสุขภาพอย่างทั่วถึง เพิ่มอัตราการเข้าถึงบริการฟื้นฟูที่มีคุณภาพ ลดภาระงานของบุคลากรทางการแพทย์ในระยะยาว และส่งเสริมให้ผู้ป่วยและครอบครัวมีส่วนร่วมในการฟื้นฟูอย่างต่อเนื่อง โดยไม่จำเป็นต้องใช้งบประมาณสูง

ผลงานวิจัยชิ้นนี้ได้รับรางวัลผลงานประดิษฐ์คิดค้น รางวัลประกาศเกียรติคุณจากสำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) สาขาเทคโนโลยีสารสนเทศและนิเทศศาสตร์ ประจำปี 2568 โดยถือเป็นหนึ่งในโครงการวิจัยที่สามารถนำเทคโนโลยีมาประยุกต์ใช้กับโจทย์ทางสุขภาพได้อย่างเป็นรูปธรรม มีศักยภาพในการพัฒนาต่อยอด และตอบสนองต่อนโยบายด้านสาธารณสุขในสังคมผู้สูงอายุของประเทศไทยได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ในระยะต่อไป ทีมวิจัยมีแผนที่จะพัฒนาอุปกรณ์และระบบเกมให้สามารถปรับใช้กับผู้ป่วยกลุ่มอื่น ๆ เช่น ผู้ที่มีภาวะอัมพฤกษ์ อัมพาต หรือผู้ป่วยที่ผ่านการผ่าตัดที่ต้องการฟื้นฟูการเคลื่อนไหว โดยจะประสานความร่วมมือกับหน่วยงานภาครัฐและภาคเอกชนเพื่อเร่งการผลิตต้นแบบให้สามารถใช้จริงได้ในวงกว้าง!!!