ครบเครื่อง
ญ. อมตะ



อยาก หุ่นเป๊ะ-ผิวปัง เลือกรับประทาน 'โยเกิร์ต' แบบไหนให้ตอบโจทย์

โยเกิร์ต หนึ่งในผลิตภัณฑ์ที่เปี่ยมด้วยสารอาหารและคุณประโยชน์ที่ส่งผลดีต่อร่างกาย โดยมีโพรไบโอติก ช่วยเรื่องของการขับถ่าย ช่วยปรับสมดุลและกระตุ้นการทำงานของลำไส้ ช่วยลดไขมันเลว LDL และระดับโคเลสเตอรอลในเลือด และยังเป็นอาหารที่นำไปสร้างสรรค์เมนูได้หลากหลาย ไม่ว่าจะกินพร้อมท็อปปิ้งต่างๆ เป็นมื้อเช้า เป็นมื้อระหว่างวัน มื้อเย็น หรือผสมในเครื่องดื่มต่างๆ ก็ได้รสชาติที่อร่อยสดชื่น ช่วยให้อิ่มท้อง นั่นจึงไม่ใช่เรื่องยากที่ โยเกิร์ต จะขึ้นแท่นเป็นตัวช่วยให้กับคนที่รักสุขภาพ และคนที่ต้องการควบคุมอาหาร ซึ่งโยเกิร์ตในท้องตลาดมีมากมายหลากหลายให้ได้เลือกตามความชอบ แต่ถ้าใครยังไม่รู้เลือกอย่างไร มาดูทริคง่ายๆ กันเลยคะ

สำหรับสาวๆ ที่ต้องการหุ่นเป๊ะ-ผิวปัง หรือต้องการตัวช่วยในการควบคุมน้ำหนัก ควรเลือก 'โยเกิร์ต' โดยดูจาก

รู้จักส่วนผสม เลือกดีมีชัยไปกว่าครึ่ง

ผลิตภัณฑ์โยเกิร์ตมีให้เลือกทั้งที่ผลิตจากนม และไม่ได้ผลิตจากนม ซึ่งมีคุณค่าทางสารอาหารและรสชาติแตกต่างกันไป แต่สิ่งสำคัญสำหรับการเลือกโยเกิร์ตของสายรักสุขภาพก็คือ อย่าลืมดูปริมาณน้ำตาลในส่วนประกอบ ควรดูข้อมูลส่วนประกอบเลือกอันที่มีน้ำตาลน้อย และควรเลือกโยเกิร์ตรสธรรมชาติ ไม่ผสมผลไม้หรือส่วนประกอบอื่นเพราะมักจะมีน้ำตาลแฝงมาด้วย

โปรตีน ตัวเอกที่ทำให้อิ่มท้อง

สำหรับใครที่อยากคุมอาหาร ต้องมองหาอาหารที่มีโปรตีนและไฟเบอร์สูง เพราะช่วยให้เรารู้สึกอิ่มนานขึ้น ลดการกินจุบจิบ การเพิ่มโปรตีนให้ร่างกายสามารถช่วยลดระดับฮอร์โมนเกรลิน ซึ่งเป็นตัวกระตุ้นความอยากอาหารและทำให้ร่างกายรู้สึกหิว นอกจากนี้ โปรตีนยังจำเป็นสำหรับการซ่อมแซมและเสริมสร้างกล้ามเนื้อ พร้อมสำหรับการออกกำลังกายเพื่อสร้างหุ่นฟิตแอนด์เฟิร์มด้วย ดังนั้นหากใครกำลังเลือกโยเกิร์ตที่ดีต่อการควบคุมน้ำหนัก อย่าลืมดูปริมาณโปรตีนที่ฉลากข้างผลิตภัณฑ์ให้ดี

เป๊ะทั้งหุ่นทั้งผิว ต้องไม่ลืมบำรุงด้วย Super Food ให้เปล่งปลั่งจากภายในสู่ภายนอก

ใครที่ตั้งใจดูแลความสวยล้วนเข้าใจดีว่า ถ้าเราตั้งใจลดน้ำหนักหรือลดสัดส่วนลงแต่ไม่ดูแลผิวพรรณให้ดี ก็สร้างความสวยแบบเฮลตี้ไม่ได้ ดังนั้น การเติมอาหารให้กับผิวคืนความเปล่งปลั่งก็เป็นสิ่งที่สำคัญ โดยเลือก โยเกิร์ต ที่มีส่วนประกอบของวิตามินต่างๆ ที่มีประโยชน์ต่อการบำรุงร่างกาย เช่น วิตามินเอ วิตามินซี วิตามินอี ซึ่งมีคุณสมบัติเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยบำรุงเซลล์ผิวให้สมบูรณ์

เลือกกินให้ดีพร้อมขยับร่างกาย

นอกจากเลือก โยเกิร์ต ที่มีส่วนประกอบที่มีประโยชน์แล้ว การออกกำลังกายก็สำคัญไม่แพ้กัน ใครที่ต้องการรักษาสุขภาพต้องออกกำลังกายให้ได้ทั้ง 2 ประเภทคือ คาร์ดิโอเพื่อเผาผลาญพลังงาน เช่น การวิ่ง ว่ายน้ำ เต้น และเวทเทรนนิ่งเพื่อสร้างกล้ามเนื้อ เช่น ยกดัมเบล โยคะ พิลาทิส และอย่าลืมสร้างพลังงานดีๆ ให้ร่างกายด้วยการกินโยเกิร์ตสักถ้วยก่อนออกกำลังกาย


'วันวาเลนไทน์ 2567' ทำไมตรงกับ 14 กุมภาพันธ์ สัญลักษณ์ วาเลนไทน์ คืออะไร

'วันวาเลนไทน์ 2567' (Valentine's Day) หรือ วันแห่งความรัก ถูกตั้งชื่อตามนักบุญวาเลนไทน์ นักบวชคาทอลิกที่อาศัยอยู่ในกรุงโรมในช่วงศตวรรษที่ 3 จะตรงกับวันที่ 14 กุมภาพันธ์ ของทุกปี 'วันวาเลนไทน์' มีการเฉลิมฉลองในหลายประเทศทั่วโลก ส่วนใหญ่เป็นประเทศทางตะวันตก แม้จะยังเป็นวันทำงานในทุกประเทศเหล่านั้นก็ตาม

'วันวาเลนไทน์' หรือเรียกอีกอย่างว่า 'วันนักบุญวาเลนไทน์' แต่เดิมเป็นเพียงวันฉลองนักบุญในศาสนาคริสต์ยุคแรกหนึ่งหรือสองคนชื่อ วาเลนตินัส ความหมายโรแมนติก มีการกำหนด วันวาเลนไทน์ ขึ้นครั้งแรกโดย สมเด็จพระสันตะปาปาเกลาซิอุสที่ 1 ใน ค.ศ. 496 ก่อนที่สมเด็จพระสันตะปาปาปอลที่ 6 จะให้ตัดออกจากปฏิทินโรมันทั่วไป (General Roman Calendar) ในปี ค.ศ. 1969

'วันวาเลนไทน์' เกิดขึ้นเพื่อระลึกถึง นักบุญวาเลนไทน์ ผู้รับโทษประหารในวันที่ 14 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 270 เพราะในยุคนั้นมีกฎหมายห้ามไม่ให้มีการแต่งงานของพวกคริสเตียน แต่เซนต์วาเลนไทน์ยังแอบจัดงานแต่งงานให้กับคู่รักคริสเตียนจนถูกจับขังและรับโทษ โดยในขณะที่ถูกคุมขังนั้น เขาก็พบรักกับสาวตาบอดซึ่งเป็นลูกสาวของผู้คุม ด้วยความรักและคำอธิษฐานของเขา พระเจ้าได้ทรงโปรดให้ตาของสาวคนรักหายเป็นปกติ แต่เมื่อความนี้ล่วงรู้ถึงหูกษัตริย์ เซนต์วาเลนไทน์จึงถูกประหารชีวิตด้วยการตัดศีรษะ ต่อมาเมื่อคนทั่วไปทราบเรื่องราวจึงเกิดความประทับใจและยึดถือเอาวันที่ 14 ก.พ. ของทุกปีเป็น วันแห่งความรัก นั่นเอง

'วันวาเลนไทน์' มาข้องเกี่ยวกับรักแบบโรแมนติกเป็นครั้งแรกในแวดวงสังคมของ เจฟฟรีย์ ชอเซอร์ สมัยกลางยุครุ่งโรจน์ เมื่อประเพณีรักเทิดทูน เฟื่องฟู จนถึงคริสต์ศตวรรษที่ 15 วันวาเลนไทน์ได้วิวัฒนา มาเป็นโอกาสซึ่งคู่รักจะแสดงความรักของพวกเขาแก่กันโดยให้ดอกไม้ ขนมหรือลูกกวาด และส่งการ์ดอวยพรกันในภายหลังประเพณีการแสดงออกความรักไม่ได้เป็นที่นิยมเพียงแค่ทางฝั่งตะวันตกหากแต่มีการแพร่กระจายความนิยมไปทั่วโลก โดยคนส่วนใหญ่ถือว่าวันดังกล่าวเป็นวันแห่งการแสดงความรักให้กันจนถึงปัจจุบัน

สัญลักษณ์ วันวาเลนไทน์

เทพเจ้าคิวปิด ถือเป็นสัญลักษณ์ 'วันวาเลนไทน์' ซึ่งเป็นเทพเจ้าแห่งความรักดั้งเดิมของชาวโรมัน ร่างกายเป็นเด็กทารกติดปีก กำลังโก่งคันศรทองเล็งไปยังหัวใจของผู้คน ตามตำนานของกรีกและโรมันพูดถึงคิวปิดว่า เป็นบุตรของมาร์ (เทพเจ้าของสงคราม) และ วีนัส (เทพเจ้าแห่งความรักและความงาม) ชาวยุโรปเชื่อว่าเทพเจ้าองค์นี้ สามารถบันดาลให้คนตกหลุมรักกันได้ ด้วยการแผงศรประจำตัว เทพเจ้าคิวปิด จึงถูกยกย่องให้เป็น เทพเจ้าแห่งความรัก และกลายเป็นสัญลักษณ์ของ วันวาเลนไทน์

มอบ ช็อกโกแลต ใน วันวาเลนไทน์

ทำไมถึงนิยมมอบ ช็อกโกแลต Chocolate ให้กัน ว่ากันว่า ในยุคโรมันที่นักบุญวาเลนไทน์เสียชีวิตนั้น ช็อกโกแลต ยังเป็นของหายาก จึงเป็นสิ่งที่มีค่าที่คนรักจะมอบแทนใจให้กันได้ จึงส่งไปพร้อมการ์ดและดอกไม้ ซึ่งสื่อความหมายของความรักมาแต่ไหนแต่ไร และอาจจะรวมไปถึงการที่ช็อกโกแลตเคยเป็นสัญลักษณ์ของเสรีภาพ มิตรภาพ และสันติภาพในช่วงที่สงครามโลกครั้งที่ 2 สิ้นสุดลงด้วย

สีของ ดอกกุหลาบ สื่อความหมายอะไร

ดอกกุหลาบสีแดง หมายถึง ฉันรักเธอ และต้องการเพียงแค่เธอ

ดอกกุหลาบสีขาว หมายถึง รักของฉันคือความรักที่บริสุทธิ์ใจ

ดอกกุหลาบสีเหลือง หมายถึง รักของเราคือมิตรภาพที่ดี ตลอดไป

ดอกกุหลาบสีพีช (สีโอรส) หมายถึง ฉันจะรักและทะนุถนอมเธอจากใจจริง

ดอกกุหลาบสีส้ม หมายถึง ฉันจะมอบความรักที่อบอุ่นหัวใจให้คุณ

ดอกกุหลาบสีชมพู หมายถึง รักของเรากำลังหวานฉ่ำ


รู้จัก 'ภาวะอกรวน' สาเหตุ ทำ 'ป้าบัวผัน' เสียชีวิต เจอได้ทั้ง ผู้สูงอายุ

หนึ่งในสาเหตุการเสียชีวิตของ “ป้าบัวผัน” หรือ ป้ากบ ที่ถูกกลุ่ม 5 เยาวชน รุมทำร้ายจนเสียชีวิต หลังผลการชันสูตรออกมาอย่างเป็นทางการ โดยผลชันสูตรศพป้าบัวผัน แพทย์ได้ระบุออกมาถึงสาเหตุและพฤติการณ์ที่เสียชีวิตว่า เกิดจาก เลือดออกใต้เยื่อหุ้มสมอง ร่วมกับ “ภาวะอกรวน” ทำให้หลายคนสงสัยว่า “ภาวะอกรวนคือ” อะไร ไปไขข้อสงสัยกัน

ภาวะออกรวนคือ

ภาวะอกรวน เป็นการบาดเจ็บต่อผนังทรวงอกที่พบบ่อย โดยมีกระดูกซี่โครงหักติดต่อกัน ตั้งแต่ 3 ซี่ขึ้นไป และแต่ละซี่ หักมากกว่า 2 ตำแหน่ง การหักนี้อาจหักข้างเดียว หรือทั้งสองข้างของทรวงอก ทำให้มีส่วนที่แยกออกจากผนังทรวงอก เรียกว่า ส่วนลอย (floating segment) ส่งผลให้ผนังทรวงอกเสียรูปทรง เสียความมั่นคงแข็งแรง การเคลื่อนไหวของทรวงอกผิดปกติ (paradoxical chest movement) กลไกการขยายตัวของปอดมีความผิดปกติ มีผลให้ประสิทธิภาพการแลกเปลี่ยนก๊าซในปอดลดลง โดยเฉพาะผู้สูงอายุ ผู้ป่วยโรคปอดเรื้อรัง

ภาวะอกรวนเกิดจาก

ภาวะอกรวน สาเหตุเกิดจากการบาดเจ็บที่รุนแรง พบมากในเพศชายที่ขับขี่รถขณะมึนเมา มีการกระแทกที่หน้าอกโดยตรง ส่วนในผู้สุูงอายุ สาเหตุเกิดจากการเปลี่ยนแปลงตามอายุที่มากขึ้น คือ มีการจับตัวของแคลเซียมที่กระดูกอ่อนของซี่โครงและบริเวณเชื่อมต่อกระดูกส่วนอก (chrondosternal articulation) ทำให้ทรวงอกติดแข็ง และขาดความยืดหยุ่น ร่วมกับภาวะกระดูกพรุน การพลัดตกจากที่สูง นอกจากนี้ ผู้สูงอายุที่เป็นโรคปอดจะมีความเสี่ยงที่จะเกิดภาวะแทรกซ้อนจากภาวะอกรวนได้มาก

ทั้งนี้ ใน “ภาวะอกรวน” มีการเปลี่ยนแปลงของผนังทรวงอก และการหักของซี่โครง ทำให้ผนังทรวงอกเคลื่อนไหวตรงกันข้ามกับที่ควรจะเป็นระหว่างการหายใจ เรียกว่า paradoxical movement ทําให้ประสิทธิภาพของปอดในการแลกเปลี่ยนก๊าซลดลงจึงทําให้เกิดภาวะขาดออกซิเจนได้

อาการ “ภาวะอกรวน”

กดเจ็บ คลำได้กระดูกกรอบแกรบบริเวณที่หัก ทรวงอกผิดรูป เจ็บหน้าอกรุนแรง หายใจเร็ว หายใจไม่เต็มที่ (เพราะผู้ป่วยจะรู้สึกเจ็บเวลาหายใจ) หายใจลำบาก paradoxical respiration (การหายใจที่ผิดปกติ คือ ขณะหายใจออกผนังทรวงอกข้างที่ปกติจะยุบลงแต่ผนังทรวงอกที่ได้รับภยันตรายกลับจะโป่งพองขึ้น ) มีภาวะขาดออกซิเจน พบ seatbelt sign (seatbelt sign คือ การปรากฏรอยช้ำที่เกิดจากการมีเลือดออกใต้ชั้นผิวหนัง (contusion) รอยแดงบนผิวหนัง (erythema) หรือรอยถลอก (abrasion) ตามแนวพาดของเข็มขัดนิรภัย ที่ปรากฏบริเวณคอ หน้าอก หน้าท้องของผู้ป่วย)

แต่ในส่วนของเคส “ป้าบัวผัน” หรือ ป้ากบ เพจ Drama-addict หรือ นพ.วิทวัส ศิริประชัย อธิบายว่า เกิดจากถูกก๊วนลูกตำรวจ รุมทุบจนอกรวน และจากผลชันสูตร พบว่า สาเหตุที่ป้าตายจริงๆ ไม่ใช่อกรวน ลมรั่วในปอดด้วยซ้ำ แต่ป้าตายจากเลือดออกในสมอง พูดง่ายๆ จากผลชันสูตรป้ากบ ป้าตายสามรอบได้เลย เพราะมีการทุบหน้าอก จนอกรวน ลมรั่วในปอด ซึ่งเป็นภาวะที่รุนแรง ถึงตาย นอกจากนี้ ยังทุบศีรษะอย่างแรง จนมีแผลเหวอะหวะ และเลือดออกในสมอง ซึ่งรุนแรง และถึงตายได้ แต่ป้ากบ กระเสือกกระสนเอาตัวรอดลงน้ำ แต่สุดท้าย ก็ถูกจับกดน้ำจนเสียชีวิต


อาลัย 'วณิช วรรณพฤกษ์' หนึ่งในผู้บุกเบิกด้านแพทยศาสตร์ศึกษาของไทย

23 ม.ค.67 พล.อ.ท.นพ.อิทธพร คณะเจริญ เลขาธิการแพทยสภา ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก Ittaporn Kanacharoen โดยระบุข้อความว่า แพทยสภา ขอแสดงความอาลัยในการจากไปของ ศาสตราจารย์เกียรติคุณ พลตรีหญิงแพทย์หญิง วณิช วรรณพฤกษ์ แพทย์ดีเด่นแพทยสภาประจำปี 2545 อดีตกรรมการแพทยสภา และคณบดี ม.สุรนารี สวดพระอภิธรรมที่วัดโสมนัสฯ ศาลา 10 รายละเอียดคืบหน้าจะแจ้งต่อไปครับ

เช่นเดียวกับ สำนักวิชาแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี ได้โพสต์ข้อความว่า คณะผู้บริหาร คณาจารย์ บุคลากรและนักศึกษาแพทย์ และศิษย์เก่า สำนักวิชาแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี ขอแสดงความเสียใจอย่างสุดซึ้ง และร่วมไว้อาลัย ต่อการถึงแก่อนิจกรรมของ ศ.เกียรติคุณ พลตรีหญิง แพทย์หญิงวณิช วรรณพฤกษ์ ท่านผู้ซึ่งมีคุณูปการต่อการสร้าง "หมอดีแห่งแผ่นดิน" ด้วยความรักและเคารพยิ่ง

อย่างไรก็ตาม ศาสตราจารย์เกียรติคุณ พลตรีหญิง แพทย์หญิงวณิช วรรณพฤกษ์ แพทย์ดีเด่นแพทยสภา ประจําปี 2545 ผู้ก่อตั้งหน่วยโรคไตของเด็กวิทยาลัยแพทยศาสตร์พระมงกุฎ ผู้บุกเบิกหน่วยแพทยศาสตร์ศึกษาของสถาบันหน่วยแพทยศาสตร์ศึกษา ซึ่งเป็นหน่วยงาน ของทุกโรงเรียนแพทย์

แพทย์หญิงวณิช เป็นผู้มีความชํานาญโรคไตในเด็ก และมีความพยายามขวนขวายหาความรู้ จนเป็นผู้มีความรู้รอบด้านแพทยศาสตร์ศึกษา ตลอดจนงานประกันคุณภาพการศึกษา และมีความรู้ด้านเวชจริยศาสตร์ จนเวชจริยศาสตร์ถูกผลักดันจนกลายเป็นหนึ่งในนโยบายที่ทุก โรงเรียนแพทย์ต้องสอน อาจถือได้ว่าแพทย์หญิงวณิชเป็นหนึ่งในผู้บุกเบิกในด้านแพทยศาสตร์ศึกษาคนสําคัญคนหนึ่งของประเทศไทย


'GWM'เปิดผลสำรวจ'รถยนต์ไฟฟ้า'มาแรงแบบฉุดไม่อยู่!!

กรุงเทพฯ 17 มกราคม 2567 - เกรท วอลล์ มอเตอร์ ร่วมกับศูนย์สำรวจความคิดเห็น “นิด้าโพล” หรือ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ สำรวจความคิดเห็นและพฤติกรรมคนไทยที่มีต่อรถยนต์พลังงานไฟฟ้า 1,000 คนทั่วประเทศในเดือนธันวาคม 2566 พบว่า คนไทยให้ความสนใจรถยนต์พลังงานไฟฟ้าแบบแบตเตอรี่ (Battery Electric Vehicle: BEV) มากที่สุดถึง 64.8% ซึ่งเพิ่มขึ้นจากผลสำรวจในปี 2564 อย่างมีนัยสำคัญถึง 37.5% ตามด้วยรถยนต์พลังงานไฟฟ้าแบบไฮบริด (Hybrid Electric Vehicle: HEV) ที่ 22.2% และรถยนต์พลังงานไฟฟ้าแบบปลั๊กอินไฮบริด (Plug-in Hybrid Electric Vehicle: PHEV) ที่ 13.0% โดยผลสำรวจระบุว่า คนไทยพิจารณาราคาค่าชาร์จไฟที่ถูกกว่าราคาน้ำมัน (34.1%) และความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม (18.9%) เป็นปัจจัยหลักที่ส่งผลต่อการตัดสินใจซื้อรถยนต์ไฟฟ้า สะท้อนให้เห็นถึงความสนใจในรถยนต์พลังงานใหม่ของผู้บริโภคชาวไทยที่ให้ความสำคัญกับการขับขี่ที่ใส่ใจต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้น และความคุ้มค่าในด้านค่าใช้จ่ายของการชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าเมื่อเทียบกับราคาน้ำมันที่มีแนวโน้มพุ่งขึ้นสูงอย่างต่อเนื่องในปัจจุบัน

ผลสำรวจความเห็นและพฤติกรรมคนไทยเรื่องรถยนต์พลังงานไฟฟ้าปี 2566 ที่ผ่านมานี้ ได้แบ่งกลุ่มตัวอย่างออกเป็น 2 กลุ่ม ได้แก่ กลุ่มผู้ใช้รถยนต์ไฟฟ้า จำนวน 200 คน และกลุ่มผู้ใช้รถยนต์สันดาป 800 คน ในช่วงอายุระหว่าง 30 - 60 ปี สำหรับกลุ่มผู้ใช้รถยนต์ไฟฟ้า

ผลสำรวจเผยให้เห็นว่า ปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อการตัดสินใจซื้อรถยนต์ไฟฟ้ามากที่สุด คือ ราคาค่าชาร์จไฟที่ถูกกว่าราคาน้ำมัน ตามมาด้วยความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม การออกแบบที่สวยงามและทันสมัย และความปลอดภัยที่สูงกว่า ในขณะที่กลุ่มผู้ใช้รถยนต์สันดาป ปัจจัยในด้านของราคาค่าชาร์จไฟที่ถูกกว่าราคาน้ำมัน และความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ยังคงเป็นสองปัจจัยหลักในการตัดสินใจเปลี่ยนมาซื้อรถยนต์ไฟฟ้าเช่นเดียวกัน ตามด้วยความปลอดภัยที่สูงกว่า และความสามารถในการขับที่ได้ระยะทางที่ไกลกว่า

สำหรับกลุ่มผู้ใช้รถยนต์สันดาปนั้น สัดส่วนมากถึง 81.3% สนใจที่จะซื้อรถยนต์ไฟฟ้ามาใช้ในอนาคต เนื่องจากประหยัดพลังงาน (89.4%) เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม (72.3%) และมองว่ารถยนต์ไฟฟ้ามีเทคโนโลยีที่ทันสมัย (49.9%) โดยรูปแบบรถยนต์ไฟฟ้าที่ผู้ใช้รถยนต์สันดาปอยากเป็นเจ้าของมากที่สุด คือ รถยนต์แบบซีดานสูงสุดที่ 63.6% ตามด้วยรถยนต์อเนกประสงค์ SUV 27.8% รถกระบะ 5.1% และรถยนต์อเนกประสงค์ PPV 3.5% โดยส่วนใหญ่มีแผนที่จะซื้อรถยนต์ไฟฟ้าในอีก 3 - 4 ปี และคาดหวังว่ารถยนต์ไฟฟ้าที่จะซื้อนั้นจะมีระยะทางการขับขี่ต่อหนึ่งการชาร์จในช่วงระหว่าง 501 - 600 กิโลเมตร ในราคาประมาณ 700,001 - 900,000 บาท โดยส่วนใหญ่จะเลือกซื้อรถยนต์ไฟฟ้าจากแบรนด์จากประเทศจีนสูงถึง 83.1% เนื่องจากเชื่อมั่นในแบรนด์ นวัตกรรมและเทคโนโลยี และคุณภาพของผลิตภัณฑ์ อย่างไรก็ตาม เหตุผลหลักที่กลุ่มผู้ใช้รถยนต์สันดาปยังไม่ตัดสินใจซื้อรถยนต์ไฟฟ้าในขณะนี้ มาจากความไม่มั่นใจในเรื่องระบบความปลอดภัยเป็นหลัก (66.0%) ตามด้วยจำนวนสถานีชาร์จที่มีจำกัด (50.7%) และความกังวลเกี่ยวกับเวลาในการชาร์จที่ยาวนาน (40.0%)

ด้านกลุ่มผู้ใช้รถยนต์ไฟฟ้า ผลสำรวจได้แสดงให้เห็นว่า ผู้ใช้รถยนต์ไฟฟ้าในปัจจุบันส่วนใหญ่ใช้รถยนต์ไฟฟ้าเป็นรถคันหลักในการเดินทาง (91.5%) และมีความพึงพอใจกับการใช้รถเนื่องจากประหยัดค่าใช้จ่าย (ราคาค่าชาร์จไฟที่ถูกกว่าราคาน้ำมัน) มากถึง 49.2% ตามด้วยเทคโนโลยีทันสมัยและการออกแบบที่สวยงาม (16.6%) และการขับขี่คล่องตัว อัตราเร่งดี (14.5%) ขณะที่จำนวนสถานีชาร์จที่น้อย (57.1%) และระยะเวลาในการชาร์จที่นานเกินไป (42.9%) เป็นเรื่องที่ผู้ใช้รถยนต์ไฟฟ้าไม่พึงพอใจที่สุด นอกจากนี้ ผู้ใช้รถยนต์ไฟฟ้าส่วนใหญ่มองว่า การลดอัตราค่าชาร์จไฟตามสถานีชาร์จต่างๆ การลดค่าจดทะเบียนรายปีรวมถึงค่าเบี้ยประกันภัยให้น้อยกว่ารถยนต์แบบสันดาป และที่จอดรถเฉพาะรถยนต์ไฟฟ้าตามสถานที่ต่าง ๆ เป็นสิทธิพิเศษที่ผู้ใช้รถยนต์ไฟฟ้าต้องการมากที่สุด อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ผู้ใช้รถยนต์ไฟฟ้าส่วนใหญ่กังวลเกี่ยวกับการใช้รถคือ อายุของแบตเตอรี่ สถานีชาร์จไฟ รวมถึงอะไหล่และค่าดูแลรักษาต่างๆ ผู้ใช้รถยนต์ไฟฟ้าส่วนมากยังได้ให้เหตุผลว่า จำนวนสถานีชาร์จไฟที่น้อยและไม่ครอบคลุมพื้นที่ต่างๆ และราคาแบตเตอรี่ที่สูง จะเป็นสองปัจจัยหลักที่นำไปสู่การเลิกใช้รถยนต์ไฟฟ้า นอกเหนือจากนี้ ผลสำรวจยังพบว่า ราคารถยนต์ไฟฟ้าที่ต่ำลงกว่าในปัจจุบันจะกระตุ้นให้คนไทยเปลี่ยนใจหันมาใช้รถยนต์ไฟฟ้ามากที่สุด ตามด้วยการมีสถานีชาร์จไฟที่เพียงพอ รวมทั้งสมรรถนะและเทคโนโลยีในการขับรถที่ดีกว่า

ผู้ตอบแบบสอบถามยังได้ให้ความเห็นเกี่ยวกับการสนับสนุนจากรัฐบาลนอกจากมาตรการส่วนลดทางภาษีและเงินอุดหนุนว่า การสนับสนุนจากรัฐบาลในการเพิ่มจำนวนสถานีชาร์จเป็นสิ่งที่ทั้งสองกลุ่มตัวอย่างต้องการมากที่สุด (34.0%) ตามด้วยการสนับสนุนค่าไฟฟ้า (28.0%) และการสนับสนุนค่าบำรุงรักษารถยนต์ (18.0%)

นอกจากนี้ กลุ่มผู้ใช้รถยนต์ไฟฟ้าส่วนใหญ่มองว่า รถยนต์ไฟฟ้าจากแบรนด์จีนนั้นมีการออกแบบดีไซน์ที่สวยงามและทันสมัย ในขณะที่กลุ่มผู้ใช้รถยนต์สันดาปมองว่ารถยนต์ไฟฟ้าจากแบรนด์จีนมีราคาที่จับต้องได้และมีความคุ้มค่ากว่ารถยนต์จากประเทศอื่น ตามด้วยการออกแบบดีไซน์ที่สวยงาม และมีระบบเทคโนโลยีที่ล้ำสมัย โดยผู้ใช้รถยนต์ไฟฟ้าและผู้ใช้รถยนต์สันดาป เชื่อว่าการเข้ามาของรถยนต์พลังงานไฟฟ้าก่อให้เกิดโอกาสหรือการพัฒนาในระบบนิเวศทางธุรกิจ (Business Ecosystem) ในทุกภาคส่วน โดยทำให้เกิดธุรกิจใหม่ ๆ อาทิ การติดตั้งแท่นชาร์จ (Wall Charge), แผงโซล่าเซลล์, สถานีชาร์จไฟฟ้าแบบเร็ว (DC Fast Charge), และการให้เช่ารถยนต์ไฟฟ้า ซึ่งสอดคล้องกับความมุ่งมั่นของ เกรท วอลล์ มอเตอร์ ในการส่งเสริมการลงทุน การจ้างงาน และพัฒนาศักยภาพฝีมือแรงงานไทย เพื่อพัฒนาและยกระดับระบบนิเวศยานยนต์ไฟฟ้า

นายณรงค์ สีตลายน กรรมการผู้จัดการ เกรท วอลล์ มอเตอร์ (ประเทศไทย) กล่าวว่า “ในฐานะหนึ่งในผู้นำด้านรถยนต์พลังงานไฟฟ้าของประเทศไทย เราได้ร่วมมือกับนิด้าโพลในครั้งนี้เป็นปีที่สามของการสำรวจ จากผลการสำรวจ เราจะเห็นได้อย่างชัดเจนถึงแนวโน้มการเปิดรับรถยนต์ไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดดของคนไทย ไม่ว่าจะเป็นจากการเติบโตของยอดขายและยอดจดทะเบียนของรถยนต์ไฟฟ้าในปี 2566 ที่เพิ่มขึ้นมากกว่า 700% จากปี 2565 ที่ผ่านมา อันเป็นผลสืบเนื่องมาจากนโยบายการสนับสนุนการใช้รถยนต์ไฟฟ้าของภาครัฐ การเข้ามาของแบรนด์รถยนต์ไฟฟ้าต่าง ๆ โดยเฉพาะจากประเทศจีน อย่างไรก็ตาม ทั้งภาครัฐและเอกชนต่างต้องร่วมมือกันในการผลักดันการใช้รถยนต์พลังงานไฟฟ้าอย่างต่อเนื่องผ่านนโยบายและสิทธิพิเศษต่าง ๆ การขยายสถานีชาร์จไฟฟ้าให้เพียงพอต่อการเพิ่มขึ้นของจำนวนรถยนต์ไฟฟ้าในปัจจุบัน การทำงานร่วมกันเกี่ยวกับข้อกังวลต่าง ๆ ที่อาจเกิดขึ้นจากการใช้รถยนต์

ไฟฟ้า การนำเสนอผลิตภัณฑ์ที่มีเทคโนโลยีอันทันสมัยที่สามารถวิ่งได้ระยะทางมากขึ้นต่อการชาร์จหนึ่งครั้งเพื่ออำนวยความสะดวกสบายให้กับผู้ขับขี่ รวมถึงการให้ความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับรถยนต์ไฟฟ้าและส่วนประกอบสำคัญอย่างเช่น แบตเตอรี่ ให้มากยิ่งขึ้น ในปี 2567 นี้ อุตสาหกรรมยานยนต์ไทยจะขยายตัวและเติบโตอย่างเห็นได้ชัด จากการที่แบรนด์รถยนต์ไฟฟ้าต่างๆ โดยเฉพาะแบรนด์รถยนต์จากประเทศจีนที่เล็งเห็นโอกาสในตลาดยานยนต์ไทย และเข้ามาลงทุนก่อตั้งโรงงานเพื่อเพิ่มสายการผลิตในประเทศไทย รวมถึงยกให้ประเทศไทยขึ้นเป็นศูนย์กลางการผลิตระดับภูมิภาค เช่นเดียวกันกับ เกรท วอลล์ มอเตอร์ ที่ได้เปิดตัว New GWM ORA Good Cat จากสายการผลิตภายในประเทศที่โรงงาน เกรท วอลล์ มอเตอร์ แมนูแฟคเจอริ่ง (ประเทศไทย) ที่จังหวัดระยอง เพื่อส่งมอบสู่ชาวไทยภายในเดือนมกราคม 2567 ภายใต้นโยบายสนับสนุนยานยนต์ไฟฟ้าตามมาตรการ ZEV 3.0 ของรัฐบาล เกรท วอลล์ มอเตอร์ ในฐานะหนึ่งในผู้นำด้านรถยนต์พลังงานไฟฟ้าในประเทศไทย จะยังคงเดินหน้าพัฒนาและนำเสนอผลิตภัณฑ์ที่มาพร้อมตัวเลือกหลากหลาย พร้อมตอบโจทย์ผู้ขับขี่รถยนต์ไฟฟ้าทั้งรถยนต์แบบแบตเตอรี่ ไฮบริด และปลั๊กอินไฮบริด รวมถึงยกระดับการบริการต่างๆ เพื่อให้ผู้บริโภคชาวไทยได้รับประสบการณ์ของการเป็นเจ้าของยานยนต์คุณภาพที่เต็มไปด้วยความสะดวกสบาย ปลอดภัย และไร้กังวล ควบคู่ไปกับการเดินหน้าเติมเต็มระบบนิเวศยานยนต์ไฟฟ้าให้เติบโตและพัฒนาขึ้นสู่ระดับสากล”