ครบเครื่อง
ญ. อมตะ



ผู้สูงอายุกลั้นปัสสาวะไม่อยู่ เกิดจากอะไร รักษาได้ไหม

ภาวะกลั้นปัสสาวะไม่อยู่ในผู้สูงอายุ นับเป็นปัญหาสำคัญที่ส่งผลต่อการใช้ชีวิตของผู้สูงวัย กระทบต่อความมั่นใจ ทำให้ไม่อยากเข้าสังคม ที่สามารถส่งผลถึงปัญหาสุขภาพจิตและการเกิดอุบัติเหตุจากการหกล้มเนื่องจากการรีบเข้าห้องน้ำได้ในอนาคต ปัญหานี้เกิดจากอะไร และสามารถรักษาได้หรือไม่

สาเหตุผู้สูงอายุกลั้นปัสสาวะไม่อยู่

ผู้สูงอายุกลั้นปัสสาวะไม่อยู่ มาจากสาเหตุหลายปัจจัยด้วยกัน ซึ่งพบได้ในผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย

ผู้หญิง : เกิดจากฮอร์โมนเอสโตรเจนลดลงอย่างรวดเร็วในวัยหมดประจำเดือน เป็นเหตุให้ผนังท่อปัสสาวะบางลง ลดความสามารถในการปิดของหูรูดท่อปัสสาวะ ส่งผลให้หูรูดปิดสนิทได้ยากขึ้น กล้ามเนื้ออุ้งเชิงกรานอ่อนแอ ปัสสาวะเล็ดได้ง่ายเมื่อไอ จาม หัวเราะ หรือยกของหนัก

ผู้ชาย : เกิดจากต่อมลูกหมากโต ขวางทางเดินปัสสาวะ ทำให้ปัสสาวะตกค้างในกระเพาะปัสสาวะมาก ทำให้ต้องปัสสาวะบ่อย หรือปัสสาวะเล็ด

ระบบประสาทในการควบคุมการขับถ่ายบกพร่อง มักพบในผู้ป่วยทางจิตเวช เช่น ผู้ป่วยสมองเสื่อม ซึมเศร้า สมาธิสั้น วิตกกังวล

ติดเชื้อ หรือมีเนื้องอกในทางเดินปัสสาวะ

สภาพร่างกายที่เคลื่อนไหวไม่ได้หรือไม่สะดวก

มีอาการไอ จาม เป็นประจำ

ท้องผูกเป็นประจำ

นอกจากนี้ยังมีปัจจัยอื่นๆ ที่ทำให้เกิดปัญหาการกลั้นปัสสาวะไม่อยู่ เช่น กล้ามเนื้ออุ้งเชิงกรานอ่อนแอ ซึ่งอาจเกิดจากการตั้งครรภ์และการคลอดบุตร ผู้ที่มีความสามารถในการเคลื่อนไหวร่างกายบกพร่อง ผู้ที่มีน้ำหนักเกิน หรือการได้รับยาบางชนิด เป็นต้น

อาการผู้สูงอายุกลั้นปัสสาวะไม่อยู่

ความรุนแรงของอาการ เริ่มตั้งแต่การมีปัสสาวะหยดมาเปื้อนกางเกงในปริมาณที่ไม่มากนัก ไปจนถึงมีอาการปัสสาวะเล็ดออกมาเป็นปริมาณมาก บางครั้งอาจมีอุจจาระเล็ดร่วมด้วย ผู้สูงวัยบางท่านแม้ยังไม่เริ่มมีอาการดังกล่าวแต่ก็อาจเริ่มมีอาการดังต่อไปนี้ เช่น

ซึ่งอาการเหล่านี้ล้วนมีความสัมพันธ์ต่อการเกิดอาการปัสสาวะเล็ดได้ทั้งสิ้น

วิธีแก้ไขปัญหาผู้สูงอายุกลั้นปัสสาวะไม่อยู่

ผู้สูงอายุกลั้นปัสสาวะไม่อยู่ สามารถแก้ไขได้ ด้วยวิธีดังต่อไปนี้

1. ฝึกควบคุมการขับถ่ายของกระเพาะปัสสาวะ (bladder training)

หรือฝึกการปัสสาวะตามเวลาที่กำหนด เป็นการฝึกเพื่อยืดระยะเวลาของการเข้าห้องน้ำแต่ละครั้งให้นานขึ้น และให้กระเพาะปัสสาวะมีความเคยชินกับปริมาณปัสสาวะที่มากขึ้น โดยเริ่มจากฝึกกลั้นปัสสาวะให้นานขึ้นครั้งละประมาณ 30 นาที จนกระทั่งรู้สึกว่าสามารถทนได้ดี (อาจใช้เวลา 3-5 วัน) จากนั้นให้ปรับเพิ่มระยะเวลาระหว่างครั้งให้นานขึ้น จนความถี่ในการเข้าห้องน้ำลดลงเป็นทุกๆ 2-4 ชั่วโมง

2. ฝึกบริหารกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกราน (pelvic floor muscle exercise)

ซึ่งทำได้โดยขมิบรูทวารและกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกราน (สังเกตการขมิบกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกรานได้จากการพยายามจะกลั้นปัสสาวะ) ระหว่างขมิบให้นับ 1-5 ช้าๆ แล้วคลายกล้ามเนื้อลง ให้ทำซ้ำประมาณ 10-15 ครั้ง จำนวน 3 เซต เป็นประจำทุกวัน และไม่ควรกลั้นหายใจขณะบริหารกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกราน

3. การหลีกเลี่ยงปัจจัยกระตุ้น

เช่น เครื่องดื่มที่มีคาเฟอีนอย่าง ชา กาแฟ โกโก้ และเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ การใช้ยาเพื่อลดการบีบตัวของกระเพาะปัสสาวะ เช่น ยากลุ่ม Anti-muscarinic และ Beta-3 agonist

4. หลีกเลี่ยงการยกของหนัก

โดยเฉพาะในบริเวณที่มีฝุ่นหรือกลิ่นแรง ป้องกันการเป็นหวัด เพื่อเลี่ยงการไอ จาม

5. แก้ปัญหาท้องผูก

ด้วยการรับประทานผักผลไม้ ดื่มน้ำให้เพียงพอ เคลื่อนไหวร่างกาย และออกกำลังกาย เป็นต้น

6. ควบคุมน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ

เพื่อช่วยลดแรงดันภายในช่องท้อง

ในกรณีที่ไม่สามารถรักษาภาวะกลั้นปัสสาวะไม่อยู่ด้วยตนเองได้ ควรปรึกษาแพทย์เพื่อรับการรักษา ซึ่งจะมีตั้งแต่การรักษาด้วยการฉีดสาร Botulinum toxin, การรักษาด้วยการใช้เลเซอร์ ไปจนถึงการรักษาด้วยการผ่าตัด

ข้อมูลอ้างอิง : คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล, CaregiverThai.com พลังใจสู้สมองเสื่อม, รพ.กรุงเทพ


ศิลปินดิจิทัลโชว์ผลงานหักล้างคำกล่าวหา “มนุษย์เหยียบดวงจันทร์เป็นเรื่องโกหก”

ศิลปินหนุ่มเผยผลงาน “สืบจากภาพ” ที่ทำให้เขากล้ายืนยันได้ว่า คำกล่าวหาว่าเหตุการณ์ที่นักบินอวกาศจากยานอพอลโล 11 ลงจอดบนดวงจันทร์เป็นเรื่องหลอกลวงนั้น เป็นเพียงข่าวลือที่ไม่มีมูลความจริง

แม้นีล อาร์มสตรองจะเป็นมนุษย์คนแรกที่ก้าวเท้าเหยียบลงบนพื้นผิวของดวงจันทร์เมื่อปี 2512 แต่ภาพถ่ายของบัซซ์ อัลดริน นักบินอวกาศอีกคนจากยานอพอลโล 11 ที่กำลังยืนอยู่บนดวงจันทร์ก็เป็นภาพถ่ายที่น่าจดจำที่สุดภาพหนึ่งในประวัติศาสตร์ของเผ่าพันธุ์มนุษย์

ยิ่งไปกว่านั้น ภาพของเขายังโดนคนกลุ่มหนึ่งนำไปวิเคราะห์และอ้างว่า เป็นภาพแห่งหลักฐานที่บ่งบอกว่า ยานอพอลโล 11 ไม่ได้ลงจอดบนดวงจันทร์จริงๆ และภาพถ่ายทั้งหมดของนักบินอวกาศบนดวงจันทร์นั้น เป็นเพียงการจัดฉากขึ้นบนโลกมนุษย์ ทั้งที่หลังจากนั้นก็มีโครงการส่งมนุษย์สู่ดวงจันทร์อีกหลายครั้ง โดยครั้งสุดท้ายที่มีผู้เหยียบพื้นดวงจันทร์คือเดือนธันวาคม 2515

เวลาล่วงเลยมากว่าครึ่งศตวรรษ และข่าวลือที่ว่า “มนุษย์เหยียบดวงจันทร์เป็นเรื่องโกหก” ก็ยังคงมีคนเชื่อ

แต่ตอนนี้ ไมเคิล เรนเจอร์ ศิลปินหนุ่มคนหนึ่งที่เรียกตัวเองว่าเป็น “นักโบราณคดีดิจิทัล” ได้โพสต์ผลงานและข้อมูลที่เขาค้นพบจากรายละเอียดของภาพถ่ายบัซซ์ อัลดรินจากองค์การการบินและอวกาศแห่งสหรัฐหรือ “นาซา” ลงบนเว็บบอร์ด “เรดดิท” ซึ่งบ่งชี้ว่า ภาพถ่ายของนาซาเป็น “ของจริง” ซึ่งหมายถึงว่าได้บันทึกภาพไว้ขณะที่นักบินอวกาศทีมนี้อยู่บนดวงจันทร์จริงๆ

เรนเจอร์เริ่มจากภาพถ่ายของอัลดรินซึ่งนีล อาร์มสตรอง กัปตันทีมเป็นผู้ถ่ายไว้ขณะที่พวกเขาสำรวจและเก็บตัวอย่างจากดวงจันทร์ โดยทิ้งให้ไมเคิล คอลลินส์ นักบินอีกคนคอยควบคุมยานอพอลโล 11 และยังคงโคจรอยู่ในวงโคจรของดวงจันทร์

เมื่อมองเข้าไปใกล้ๆ ตรงจุดที่มีภาพสะท้อนจากกระบังหน้าของหมวกอวกาศที่อัลดรินสวมอยู่ คนในภาพสะท้อนคืออาร์มสตรอง และถ้าเพ่งมองดีๆ ก็จะมองเห็นโลกของเราอยู่ด้านหลังด้วย

เรนเจอร์อธิบายระหว่างให้สัมภาษณ์เว็บไซต์ภาพถ่ายดิจิทัล “พีตาพิกเซล” ว่า “กระบังหน้าของชุดอวกาศนั้นเคลือบด้วยทองคำ ดังนั้น ผมจึงแก้ไขค่าสีโดยดึงสีทองออกไป โดยใช้ข้อมูลของภาพถ่ายทั้งหมดเป็นตัวอ้างอิงสีของโลกแห่งความเป็นจริง”

เรนเจอร์ยังจัดการปรับภาพสะท้อนจากกระบังหน้าให้ชัดขึ้นและเปลี่ยนให้เป็นภาพพาโนรามาแบบ 360 องศา เขาอธิบายว่า “ผมยังเพิ่มพื้นที่ว่างให้ภาพเดิมที่โดนตัดขอบตรงบริเวณกรอบกระบังหน้าหมวกด้วย เพื่อให้เวลาที่แผ่ภาพออกมา จะได้พื้นที่ในภาพแบบ 360 องศาในขั้นสุดท้ายโดยมีความถูกต้องตรงกับภาพสะท้อนจากหมวกของเขา”

จากนั้น เรนเจอร์ก็ชี้ไปที่จุดหนึ่งในภาพ “สังเกตจุดสีฟ้าจางๆ นั่นสิ” แล้วอธิบายว่า จุดสีฟ้าเล็กๆ นั้นคือโลกของเรา

เรนเจอร์ระบุว่า จุดเล็กๆ ตรงมุมขวาบนในวงกลมคือโลก

ในภาพที่เรนเจอร์ปรับขยายออกมา จะเห็นอาร์มสตรองอยู่ข้าง ๆ ยานอีเกิลที่ลงจอดบนดวงจันทร์ กำลังใช้งานกล้องที่ติดตั้งไว้ที่ช่วงอกของเขา และจะมองเห็นจุดสีฟ้าจางเล็กๆ ที่มุมขวาบนของภาพ ซึ่งก็คือโลก

เรนเจอร์ยังทำคลิปที่เป็นภาพนิ่งที่เคลื่อนตามมุมมองเอาไว้ด้วย (ชมคลิป)

ชาวเน็ตที่ได้เห็นผลงานของเรนเจอร์ต่างแสดงความทึ่งและชื่นชมที่เขามีแนวคิดในการดึงข้อมูลออกจากภาพถ่ายเก่าในอดีต กลายเป็นการเปิดมุมมองใหม่ของการเยือนดวงจันทร์ครั้งแรกของมนุษยชาติ

“ว้าว นั่นน่าทึ่งมากที่เพิ่งได้เห็นอีกมุมหนึ่งของการลงจอดบนดวงจันทร์ที่แสนจะโด่งดัง” ชาวเน็ตรายหนึ่งแสดงความเห็น ขณะที่อีกรายคาดหวังว่า เรนเจอร์น่าจะลองปรับแต่งภาพอื่นๆ ที่ได้จากภารกิจอพอลโล 11 ด้วย

“นี่มันน่าทึ่งจริงๆ เป็นแนวคิดที่แปลกใหม่ ไม่เหมือนใครสุดๆ ไม่น่าเชื่อว่าจะไม่เคยเห็นมาก่อน พนันได้เลยว่า คุณทำแบบนี้กับรูปภาพของยานอพอลโลได้อีกหลายรูปเลย!”

ที่มา : ladbible.com

เครดิตภาพ : GETTY IMAGES, Michael Ranger... สามารถติดตามต่อได้ที่ : https://www.dailynews.co.th/articles/4499886/


อย่ามองข้าม! ประเด็นแวดล้อม 'ปลาหมอสีคางดำ' ปลาสวยงามเพื่อการค้าที่ไม่ควรละเลย

ครบรอบ 1 ปี ที่ปลาหมอสีคางดำเป็นกระแสในไทย จนถึงวันนี้ยังไม่มีการชี้ขาดว่าใครผิดใครถูก หรือการพิสูจน์หลักฐานทางวิทยาศาสตร์ที่ชัดแต่อย่างใด เป็นเพียงความรู้สึกและตีความโจมตีผู้นำเข้าอย่างถูกต้องตามกฎหมายเพียงรายเดียว หากได้ตรวจสอบข้อมูลเรื่องการแพร่ระบาดของปลาชนิดนี้ในต่างประเทศ

จะพบว่ามีข้อมูลการค้าระหว่างประเทศ และพฤติกรรมในตลาดปลาสวยงาม ซึ่งควรนำมาใช้ประกอบการพิจารณา เพื่อตรวจสอบว่าผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการแพร่ระบาดทั้งหมดคือใคร หรือแท้จริงแล้วมีปัจจัยอื่นที่เป็นต้นเหตุสำคัญของปัญหานี้

ในคดีที่เกี่ยวข้องกับการแพร่ระบาดของปลาหมอสีคางดำ (Blackchin Tilapia) และข้อกล่าวหาที่มุ่งตรงมายังจำเลย (บริษัทเอกชน) หากแต่มีข้อมูลที่น่าสนใจด้านอื่นนอกเหนือจากการนำเข้าปลามาในประเทศ ควรพิจารณาหลักฐานอื่นประกอบการตัดสินอย่างรอบด้าน โดยเฉพาะข้อมูลจากตลาดค้าปลาและรายงานการนำเข้าที่ชี้ให้เห็นว่า มีการซื้อขายปลาหมอสีคางดำในฐานะปลาสวยงามในหลายประเทศ และยังคงมีการขายอยู่ในบางตลาดภายในประเทศ แสดงให้เห็นว่า การนำเข้าปลาหมอสีคางดำเพื่อการค้าเป็นไปได้สูง

และอาจเป็นต้นเหตุที่แท้จริงของการแพร่กระจายในธรรมชาติ จากบุคคลที่เกี่ยวข้องกับการค้าปล่อยปลาลงในแหล่งน้ำธรรมชาติเมื่อหมดความนิยมหรือปลาไม่ได้มาตรฐาน ซึ่งกรมประมง มีตัวเลขการส่งออกปลาหมอสีคางดำของไทยระหว่างปี 2556-2559 แต่ไม่มีหลักฐานการนำเข้าแสดงให้เห็นว่าปลานี้มีการลักลอบนำเข้าด้วยเช่นกัน

สำหรับการเลี้ยงปลาหมอสีคางดำเป็นปลาสวยงาม มีหลักฐานว่าหลายประเทศมีการเพาะเลี้ยงปลาหมอสีคางดำเป็นปลาสวยงาม (Aquarium Market) และมีการซื้อขายกันในตลาดปลาสวยงามทั่วโลก เช่น สหรัฐอเมริกา ประเทศในสหภาพยุโรป หรือในอาเซียนบางประเทศอย่างฟิลิปปินส์และเวียดนาม และไม่ได้เกิดขึ้นในประเทศไทยเพียงประเทศเดียว โดยสหรัฐอเมริกา มีประวัติการแพร่ระบาดของปลาในมลรัฐฮาวาย และใช้วิธีกำจัดจนสำเร็จในหลายรูปแบบทั้งจับและช็อตด้วยไฟฟ้า เป็นต้น จึงควรตรวจสอบแหล่งนำเข้าและแหล่งขายภายในประเทศ เพื่อหาต้นตอที่แท้จริงของการแพร่กระจาย

นอกจากนี้ การเพาะเลี้ยงปลาหมอสีคางดำเพื่อการค้าในบางพื้นที่ก็มีความเป็นไปได้สูง ซึ่งอาจมีการปล่อยปลาต่ำกว่ามาตรฐานหรือปลาตกเกรด ลงสู่แหล่งน้ำธรรมชาติที่อยู่ใกล้กับฟาร์ม ซึ่งเป็นวิธีปฏิบัติที่ทราบกันดีในหมู่ผู้เพาะเลี้ยงปลาสวยงาม ดังที่มีการโพสต์ในโซเชียลมีเดียเป็นคลิปพบปลาดุกเผือกในท่อระบายน้ำใกล้ตลาดปลาที่สวนจตุจักร หรือ มีกลุ่มคนไปช่วยชีวิตปลาจากท่อระบายน้ำในตลาดเดียวกัน เหล่านี้เป็นหลักฐานเชิงประจักษ์ที่สามารถตรวจสอบได้

ในตลาดค้าปลาสวยงาม ยังมีการนำเข้าสัตว์น้ำแปลกใหม่มาเป็นปลาสวยงาม และอาจมีผู้ซื้อที่ปล่อยปลาโดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์ได้ กรณีนี้ก็มีตัวอย่างให้เช่นกัน คือ พบปลาหมอบัตเตอร์ ซึ่งเป็น 1 ในสายพันธุ์ปลารุกรานต่างถิ่น (ปลาเอเลี่ยนสปีชีส์) ที่กรมประมงประกาศห้ามเลี้ยงหรือปล่อยลงแหล่งน้ำ แต่กลับพบภายในอ่างเก็บน้ำเขื่อนสิริกิติ์ จังหวัดอุตรดิตถ์ โดยประมงพื้นบ้านจะได้ปลาหมอบัตเตอร์ติดมาด้วย 10-20 ตัวต่อการจับปลาในเขื่อนฯ 100 ตัว

อย่างไรก็ตาม ประเด็นที่ไม่ควรละเลย คือ การเปลี่ยนแปลงสภาพแวดล้อมของโลกและภาวะโลกร้อน ทำให้คุณภาพน้ำเปลี่ยนแปลงส่งผลกระทบต่อสัตว์น้ำและสิ่งมีชีวิตในน้ำ ตลอดจนภัยธรรมชาติที่ทำให้เกิดน้ำท่วมจะช่วยให้ปลาหมอสีคางดำขยายอาณาเขตได้โดยไม่จำเป็นต้องมีผู้ปล่อย เหล่านี้ล้วนเป็นปัจจัยแวดล้อมที่ไม่อาจมองข้ามในการพิจารณาคดีนี้

จากข้อมูลทั้งหมด การพิจารณาคดีนี้ไม่ควรอาศัยข้อสันนิษฐานเพียงอย่างเดียว แต่ควรใช้หลักฐานที่เป็นรูปธรรมและประเด็นแวดล้อมทั้งหมด เพื่อให้การตัดสินคดีเป็นธรรมและมุ่งเน้นไปที่ต้นเหตุที่แท้จริงของปัญหา ในการปิดคดีนี้โดยไม่มีข้อโต้แย้งอีกต่อไป


“โรคงูสวัด” อันตรายกว่าที่คิด แพทย์ย้ำอายุ 50+ และมีโรคร่วมเสี่ยงปัญหาสุขภาพร้ายแรง

แพทย์เตือนผู้ที่มีอายุ 50 ปีขึ้นไปและมีโรคร่วม เสี่ยงที่จะเป็นโรคงูสวัด ซึ่งอาจนำไปสู่ปัญหาสุขภาพ เช่น ปวดเส้นประสาทอย่างรุนแรงและยาวนาน ส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิต ทั้งการนอน การทำงาน และการใช้ชีวิตประจำวัน หากเกิดที่ใบหน้าหรือดวงตา อาจทำให้สูญเสียการมองเห็น หรือเกิดปัญหาทางระบบประสาทได้ ผู้ที่มีอายุ 50 ปีขึ้นไปควรปรึกษาแพทย์เพื่อรับคำแนะนำการป้องกันโรคและภาวะแทรกซ้อน

นพ.วีรวัฒน์ มโนสุทธิ แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคติดเชื้อสถาบันบำราศนราดูร กล่าวว่า ผู้ที่มีอายุ 50 ปีขึ้นไป และมีโรคอื่นร่วมด้วยมีความเสี่ยงเป็นโรคงูสวัด อาจส่งผลต่อปัญหาสุขภาพร้ายแรงตามมา โดยเฉพาะอาการปวดเส้นประสาทที่อาจจะรุนแรงและยาวนานหลายเดือนหรือเป็นปี ส่งผลกระทบต่อการนอน การทำงาน ตลอดจนการใช้ชีวิตประจำวัน บางรายอาจเป็นภาวะซึมเศร้า รู้สึกโดดเดี่ยวจากการเก็บตัวจากสังคม นอกจากนี้ โรคงูสวัดยังอาจนำไปสู่ภาวะแทรกซ้อนอื่น ๆ เช่น การติดเชื้อแบคทีเรียที่ผิวหนังเกิดเป็นแผลเป็นถาวร หากเกิดที่ใบหน้าหรือดวงตาอาจทำให้สูญเสียการมองเห็น หรือเกิดปัญหาเกี่ยวกับระบบประสาทบนใบหน้าได้ ในบางกรณีอาจนำไปสู่การเป็นโรคเส้นเลือดในสมองหรือกล้ามเนื้อหัวใจตายได้ ซึ่งเป็นอันตรายอย่างยิ่ง

“ผู้ที่มีอายุ 50 ปีขึ้นไป มีโอกาสเป็นโรคงูสวัดมากกว่าผู้ที่มีอายุน้อย เนื่องจากเมื่ออายุมากขึ้นภูมิคุ้มกันในร่างกายจะลดลง อีกประเด็นหนึ่ง คือ ผู้ที่มีอายุมากส่วนใหญ่จะมีโรคร่วมต่าง ๆ เช่น โรคเบาหวาน หรือโรคที่จะต้องได้รับยากดภูมิคุ้มกัน ส่งผลให้ภูมิคุ้มกันลดลง เมื่อมี 2 ปัจจัยนี้เข้ามาจึงทำให้ผู้สูงอายุเสี่ยงเป็นโรคงูสวัดมากขึ้น” นพ. วีรวัฒน์ กล่าว

โรคงูสวัดเป็นโรคติดเชื้อที่เกิดจากเชื้อไวรัสชนิดเดียวกับอีสุกอีใส แม้ว่าจะหายจากอีสุกอีใสแล้ว แต่เชื้อไวรัสไม่ได้หายไปยังคงแฝงตัวอยู่ในปมประสาท และสามารถกลับมาแสดงอาการได้อีกครั้งเมื่ออายุมากขึ้น เชื้อไวรัสตัวนี้จะออกมาใหม่ในรูปแบบของโรคงูสวัด โดยอาการจะแบ่งเป็น 2 ระยะ ระยะแรกจะมีอาการปวดแสบปวดร้อน ควบคู่กับมีตุ่มน้ำใสขึ้นตามร่างกาย ทำให้เกิดแผล และระยะหลังจากแผลหายจะมีอาการปวดตามปลายประสาท โดยเฉพาะในผู้ที่มีอายุเยอะ รวมถึงผู้ที่มีโรคร่วม อาการปวดจะยิ่งรุนแรง และอาจนำไปสู่ภาวะแทรกซ้อนที่ส่งผลกระทบต่อสุขภาพในระยะยาว

“แนวทางป้องกันโรคงูสวัด สามารถทำได้โดยการดูแลสุขภาพให้แข็งแรง ได้แก่ การออกกำลังกาย นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ รักษาสุขอนามัย และการรับวัคซีนป้องกัน ปัจจุบันมีวัคซีนป้องกันโรคงูสวัด 2 ชนิด ได้แก่ วัคซีนชนิดไม่ใช่เชื้อเป็น สามารถใช้ได้ตั้งแต่อายุ 50 ปีขึ้นไป รวมถึงผู้ที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไปที่มีความเสี่ยงต่อโรคงูสวัดมากกว่าปกติ และวัคซีนชนิดเชื้อเป็นสำหรับผู้ที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไป การรับวัคซีนจะช่วยลดโอกาสเกิดโรคงูสวัด และหากเป็นโรคงูสวัดก็จะช่วยลดความรุนแรงของอาการและภาวะแทรกซ้อนได้” นพ. วีรวัฒน์ กล่าวสรุป

ข้อมูลอ้างอิง

Harpaz, R., et al. (2008). MMWR, 57(RR-5), 1–CE4.

Marra, F., Parhar, K., Huang, B., & Vadlamudi, N. (2020). Open forum infectious diseases, 7(1), ofaa005.

Erskine, N., et al. (2017). PloS one, 12(7), e0181565.

Forbes, H. J., et al (2016). Neurology, 87(1), 94–102.... สามารถติดตามต่อได้ที่ : https://www.dailynews.co.th/news/4510615/


เฮลั่น 2 นักบินอวกาศติดบน ISS 9 เดือน กลับถึงโลกอย่างปลอดภัยแล้ว

2 นักบินอวกาศซึ่งติดอยู่บนสถานีอวกาศนานาชาติมานานกว่า 9 เดือน โดยสารแคปซูลสเปซเอ็กซ์ เดินทางกลับสู่โลกอย่างปลอดภัยแล้ว

สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า นายแบร์รี “บุตช์” วิลมอร์ กับ น.ส.สุนี วิลเลียมส์ สองนักบินอวกาศของนาซาที่ติดค้างบนสถานีอวกาศนานาชาติ (ISS) มานานกว่า 9 เดือน เดินทางกลับถึงโลกแล้ว หลังจากแคปซูล “ครูว์ ดราก้อน” (Crew Dragon) ของบริษัทสเปซเอ็กซ์ ที่พวกเขาโดยสารลงจอดบนมหาสมุทรแอตแลนติก นอกชายฝั่งรัฐฟลอริดา

นายวิลมอร์กับ น.ส.วิลเลียมส์ เดินทางกลับมาพร้อมกับนักบินอวกาศอีก 2 คนคือนาย นิค เฮก จากนาซา กับนาย อเล็กซานเดอร์ กอร์บูนอฟ จากรอสคอสมอส โดยพวกเขาใช้เวลาเดินทาง 17 ชั่วโมง จาก ISS มาลงจอดในมหาสมุทรแปซิฟิกได้สำเร็จ ในเวลาประมาณ 21.50 น. วันอังคารที่ 18 มี.ค. 2568 ตามเวลามาตรฐานกรีนิช (GMT)

สุนี วิลเลียมส์ กลับถึงโลก

จากนั้น เจ้าหน้าที่ของนาซาได้ดำเนินการดึงแคปซูลขึ้นบนเรือช่วยเหลือ ก่อนที่นายเฮกจะปรากฏตัวออกจากแคปซูลเป็นคนแรก หลังจากผ่านไปราว 1 ชั่วโมง ตามด้วยนายกอร์บูนอฟ จากนั้นจึงเป็น น.ส.วิลเลียมส์ซึ่งใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้ม และคนสุดท้ายที่ออกมาคือนายวิลมอร์

ทั้งนี้ นายวิลมอร์กับ น.ส.วิลเลียมส์ติดอยู่ใน ISS มาตั้งแต่เดือนมิถุนายน 2567 หลังจากพวกเขาโดยสารยาน “สตาร์ไลเนอร์” ของบริษัทโบอิ้ง ขึ้นมาบนสถานีอวกาศนานาชาติในเที่ยวบินทดสอบ แต่ยานลำนี้กลับเกิดปัญหามากมาย จนไม่สามารถพาทั้งคู่กลับลงมายังโลกได้

บุตช์ วิลมอร์ กลับถึงโลก

ภารกิจพาทั้งคู่กลับโลกถูกเลื่อนหลายครั้งด้วยเหตุผลด้านการเตรียมการ จนกระทั่งนายเฮกกับนายกอร์บูนอฟเดินทางขึ้นสู่ ISS เมื่อเดือนกันยายน 2567 ด้วยยาน “ครูว์ดราก้อน” โดยมีที่นั่งว่าง 2 ที่นั่ง สำหรับรับนายวิลมอร์กับ น.ส.วิลเลียมส์กลับโลก โดยยานดังกล่าวจอดอยู่ที่ ISS นับแต่นั้น เพื่อรอลูกเรือชุดใหม่ในภารกิจ ครูว์เท็น ที่จะเดินทางมาสับเปลี่ยน

และในที่สุดเมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา ภารกิจ “ครูว์เท็น” (Crew 10) ได้พานักบินอวกาศชุดใหม่ 4 คนไปถึง ISS ซึ่งหมายความว่า นายวิลมอร์ กับ น.ส.วิลเลียมส์ จะสามารถเดินทางกลับบ้านได้แล้ว

ติดตามข่าวต่างประเทศ : https://www.thairath.co.th/news/foreign

ที่มา : the guardian