นายมงคล ไชยภักดี หัวหน้าอุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน เปิดภาพ ความอุดมสมบูรณ์ของธรรมชาติ 'นกเงือกสีน้ำตาล' รวมฝูง ร่อนถลาลมกลางสายฝน เหนือป่ามรดกโลก
เมื่อวันที่ 16 มิ.ย.68 นายมงคล ไชยภักดี หัวหน้าอุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน เปิดเผยภาพ ขณะที่ นายพงษ์ศักดิ์ กันทุกข์ เจ้าหน้าที่อุทยานฯ แก่งกระจาน ประจำจุดบ้านกร่าง ปฎิบัติหน้าที่ อำนวยความสะดวกนักท่องเที่ยว อยู่บริเวณกม.18 ถนนทางขึ้นเขาพะเนินทุ่ง ได้พบกับ เหล่านกเงือกสีน้ำตาล ออกมารวมตัวกันบริเวณดังกล่าว จึงได้นำกล้องถ่ายภาพมาบันทีกภาพไว้
โดยภาพดังกล่าว แสดงถึงพฤติกรรมสัตว์ป่า และอิริยาบทของเหล่านักเงือกในช่วงของฝนตกชัดเจน ซึ่งต่างบินและแสดงพฤติกรรมออกมา อย่างมีความสุข ท่ามกลางบรรยากาศที่ลงตัวของธรรมชาติ
นายมงคล กล่าวว่า จากการพบว่านกเงือกสีน้ำตาล สัตว์ป่าคุ้มครอง บินออกมาโชว์ตัวครั้งนี้ ถือว่าเป็นสัญญาณดี เนื่องจากที่ผ่านมาการรวมฝูงของนกเงือกจะพบเห็นได้ยาก การรวมฝูงจะต้องปลอดภัย ฉะนั้นการเห็นภาพการรวมฝูงครั้งนี้ ถือว่าเป็นสัญญาณที่ดี ที่สัตว์ป่าคุ้มครองยังใช้พื้นที่นี้อย่างปกติและปลอดภัย ท่ามกลางการเฝ้าระวังอย่างเข้มงวดจากเจ้าหน้าที่ทุกนาย....
สหรัฐยกระดับมาตรการคุ้มครอง “ตัวลิ่น” ทุกสายพันธุ์ เพื่อให้ข้อจำกัดด้านการค้ามีความเข้มงวดยิ่งขึ้น และเน้นย้ำถึงปัญหาเร่งด่วนในการอนุรักษ์สัตว์ชนิดดังกล่าว
สำนักข่าวเอเอฟพีรายงานจากกรุงวอชิงตัน สหรัฐอเมริกา เมื่อวันที่ 17 มิ.ย. ว่า ตัวลิ่น หรือตัวนิ่ม เป็นสัตว์ขนาดเล็กที่หากินเวลากลางคืน พบได้ในป่าและทุ่งหญ้าสะวันนาทั้งในแอฟริกาและเอเชีย มีลักษณะเด่นเฉพาะตัว เชื่องช้าและสงบ รวมถึงมีนิสัยชอบขดตัวให้มีลักษณะคล้ายลูกบอล เมื่อเผชิญกับการคุกคามหรือถูกโจมตี
แม้จำนวนประชากรตัวลิ่นทั่วโลกจะลดลงอย่างรวดเร็ว แต่มีเพียงตัวลิ่นแอฟริกาเท่านั้น ที่ถูกคุ้มครองภายใต้กฎหมายคุ้มครองสัตว์ใกล้สูญพันธุ์ของสหรัฐ
ทั้งนี้ ข้อเสนอของสำนักงานกิจการปลาและสัตว์ป่าของสหรัฐ (เอฟดับเบิลยูเอส) จะช่วยขยายสถานะดังกล่าว ให้ครอบคลุมตัวลิ่นสายพันธุ์ที่ทราบทั้งหมด 8 ชนิด
นอกจากนั้น หน่วยงานยังมีความตั้งใจที่จะขึ้นทะเบียนตัวลิ่น 4 ชนิดในเอเชีย ได้แก่ ลิ่นจีน ลิ่นอินเดีย ลิ่นซุนดา และลิ่นฟิลิปปินส์ รวมถึงอีก 3 ชนิดในแอฟริกา ได้แก่ ลิ่นท้องขาว ลิ่นท้องดำ และลิ่นยักษ์
ปัจจุบัน ตัวนิ่มได้รับการคุ้มครองภายใต้อนุสัญญาว่าด้วยการค้าระหว่างประเทศซึ่งชนิดสัตว์ป่าและพืชป่าที่ใกล้สูญพันธุ์ (ไซเตส) ซึ่งห้ามการค้าระหว่างประเทศ และอนุญาตได้เฉพาะในกรณีพิเศษเท่านั้น.
เครดิตภาพ : GETTY IMAGES...
วันอังคาร ที่ 17 มิถุนายน พ.ศ. 2568, On the way with Chom สัปดาห์นี้ พามารู้จักกับแสงสีแดง แสงมหัศจรรย์ที่ไม่ได้มีดีแค่ชะลอวัย แต่ยังฟื้นฟูเซลล์สมอง และกระตุ้นพลังชีวิต! เปิดโลก Red Light Therapy กับ "หมอเดียร์ ธรณัส" อายุรแพทย์ผู้หลงใหลนวัตกรรมการแพทย์แห่งอนาคต ที่จะพาไปเข้าใจทุกมิติของนวัตกรรมแสงบำบัด เทรนด์สุขภาพที่กำลังเปลี่ยนชีวิตคนทั่วโลก
Light Therapy (แสงบำบัด) ประวัติความเป็นมา ?
หมอเดียร์ : มีประวัติการใช้งานมายาวนานตั้งแต่สมัยอียิปต์โรมัน มีเริ่มตั้งแต่ช่วงปี 1900 เริ่มนำแสงมาบำบัดค้นพบว่าแสงมาบำบัด ค้นพบว่าแสง UV สามารถนำมากระตุ้นการสร้างวิตามินและรักษาโรคได้ พัฒนามาเรื่อย ๆ ปี 1960 เริ่มนำมาเขียนเป็นหนังสือจริงจังมากขึ้น ในปี 2000 นักวิทยาศาสตร์ฝั่งตะวันตกเริ่มมีการสนใจมากขึ้นเรื่อย ๆ เพราะพบว่าสามารถนำมารักษาในหลายๆโรคได้
ตัวอย่างการใช้ Light Therapy ในประเทศไทย ?
หมอเดียร์ : มีการใช้ Light Therapy ในประเทศไทยมานานแล้ว เช่น เมื่อประมาณ 50-60 ปีที่แล้ว สมาคมป่าวัณโรค ใช้การรักษาวัณโรคโดยให้ผู้ป่วยนอนตากแดด เปิดหน้าต่างให้แสงแดดเข้า เพื่อรับแสง UV ไปกระตุ้นให้ร่างกายสร้างวิตามินดี ซึ่งช่วยในการรักษาและทำให้ผู้ป่วยแข็งแรงขึ้น
Red Light Therapy พัฒนามาอย่างไร ?
หมอเดียร์ : องค์กร NASA สหรัฐอเมริกา ได้พัฒนา Red Light Therapy ตั้งแต่ปี 1990 ศึกษาโดยใช้แสงสีแดงกับพืชในอวกาศ พบว่าต้นไม้เติบโตขึ้น และยังนำแสงสีแดงมาบำบัดนักบินอวกาศ พบว่าบาดแผลหายเร็วขึ้นและเนื้อเยื่อฟื้นฟูได้ดีขึ้น พบว่าแสงสีแดงมีประโยชน์ในการบำบัด รักษา และฟื้นฟูเซลล์ แสงสีแดงที่เราสนใจอยู่ในกลุ่ม Visible Light ในทางการแพทย์มีการนำแสง 5 สีหลักมาใช้ ได้แก่ สีน้ำเงิน สีเขียว สีเหลือง สีแดง และอินฟราเรด Red Light Therapy ปัจจุบันมีแหล่งผลิตหลัก 2 แหล่ง คือ เลเซอร์ ซึ่งเป็นแสงที่ถูกขยาย มีทิศทางและสามารถกำหนดความแรงและความลึกได้ และ LED ซึ่งมีความแรงน้อยกว่าและแสงจะกระจายออกไป
Red Light Therapy ถูกนำมาใช้ในด้านความงามและการดูแลสุขภาพอย่างไร ?
หมอเดียร์ : Red Light Therapy ถูกนำมาใช้ในด้านความงามและสุขภาพหลายรูปแบบ เช่น การใช้มาสก์ LED เพื่อบำรุงผิวหน้า และการใช้หมวกที่มีแสงสีแดงเพื่อกระตุ้นการสร้างเซลล์ผมใหม่และลดผมร่วง ช่วงความยาวคลื่นที่เหมาะสมของ Red Light Therapy อยู่ที่ 620-700 นาโนเมตร หากเกิน 700 นาโนเมตรขึ้นไปจะจัดอยู่ในกลุ่ม Near Infrared ซึ่งสามารถลงลึกได้มากกว่าแสงสีอื่น ๆ ประมาณ 5 เซนติเมตรจากชั้นผิวหนัง การซึมลึกนี้ทำให้ Near Infrared สามารถนำมาใช้กระตุ้นสมองได้ องค์การอาหารและยาของสหรัฐอเมริกา (USFDA) ได้อนุมัติการใช้งานประมาณ 5 อย่าง ได้แก่ สิว, กล้ามเนื้ออักเสบและข้ออักเสบ, ผมร่วง, และการเพิ่มการไหลเวียนของเลือดในอวัยวะที่บำบัด เช่น ช่วยให้แผลหายเร็วขึ้น
แสงแต่ละสีที่ใช้ในการบำบัดมีคุณสมบัติอย่างไร
หมอเดียร์ : แสงสีน้ำเงินช่วยฆ่าเชื้อโรคและลดการอักเสบ แสงสีเขียวช่วยสร้าง Nitric oxide ซึ่งอาจช่วยลดความดันได้ แสงสีแดงช่วยเรื่อง Anti-aging ชะลอวัย แสงสีขาวและแสงสีเหลือง คล้ายแสงแดด ช่วยกระตุ้นการสร้างวิตามินดีในร่างกาย อินฟราเรดสามารถลงลึกได้ประมาณ 5 เซนติเมตร ทะลุถึงสมองได้ จึงถูกนำมาใช้กับผู้ป่วยอัลไซเมอร์ หลงลืม และซึมเศร้า เพื่อกระตุ้นและฟื้นฟูเซลล์สมองที่อักเสบหรือฝ่อ
แสงสีแดงกระตุ้นฟื้นฟูเซลล์และ Mitochondria ได้อย่างไร
หมอเดียร์ : Mitochondria ทำหน้าที่สร้างพลังงานที่เรียกว่า ATP เราทานอาหารเข้าไปก็จะเข้าอยู่ในเซลล์โดยสังเคราะห์จาก Mitochondria สร้างพลังงานออกมา แสงสีแดงเข้าไปทำให้ปล่อยพลังงานออกมาคล้าย ๆ กับสังเคราะห์แสงในพืชที่คลอโรฟิลล์ดูดซับแสง ในมนุษย์ ฮีโมโกลบินในเม็ดเลือดแดงเป็นตัวดูดซับแสงสีแดง แล้วนำไปสู่ทุกเซลล์ ทำให้กระบวนการหายใจของ Mitochondria สมบูรณ์ และสร้างพลังงาน ATP ออกมาได้มากขึ้น
ในปัจจุบันส่งผลต่อการได้รับแสงสีแดงอย่างไร
หมอเดียร์ : ปัจจุบันเรารับแสงสีแดงไม่เพียงพอ เพราะตื่นเช้ามาขับรถเข้าออฟฟิศ ไม่โดนแสงแดด แต่จะโดนแสงสีฟ้า (Blue light) ซึ่งไม่ช่วยดูแลสุขภาพ
แสงสีแดงสามารถป้องกันอันตรายจากแสง UV ได้หรือไม่
หมอเดียร์ : Red Light Therapy สามารถที่จะป้องกันแสง UV ที่จะมาทำร้ายเซลล์ผิวหนังได้ งานวิจัยพบว่าแสงสีแดงสามารถกระตุ้นเซลล์ผิวหนังให้สร้างพลังงานและแข็งแรงขึ้น ครีมกันแดดจะกัน UV แต่ไม่ได้กันแสงสีแดง
แสง UV มีผลดีและผลเสียอย่างไร
หมอเดียร์ : แสง UV มีทั้ง UVA และ UVB โดย UVB เป็นตัวหลักที่ทำร้ายผิวหนัง หากได้รับในปริมาณที่ เหมาะสม UVB จะช่วยกระตุ้นการสร้างวิตามิน D3 ในร่างกายได้
แสงมีผลต่อการนอนหลับและวงจรชีวิต (Circadian rhythm) อย่างไร
หมอเดียร์ : การได้รับแสงแดดในตอนเช้าจะกระตุ้นต่อม Pineal ในสมองให้สร้างสารสื่อประสาท Serotonin ซึ่งทำให้เกิดอารมณ์ดีและสุขภาพจิตดี Serotonin ที่สร้างในตอนเช้าจะถูกเก็บไว้และเปลี่ยนเป็น Melatoninในเวลากลางคืนเป็นฮอร์โมนที่ช่วยในการนอนหลับ
ในปัจจุบันส่งผลต่อการได้รับแสงธรรมชาติอย่างไร
หมอเดียร์ : หลายคนตื่นเช้ามามักจะจับโทรศัพท์และโดนแสงสีฟ้าก่อนที่จะได้รับแสงแดด สำหรับผู้ที่ไม่สามารถได้รับแสงแดดธรรมชาติได้เพียงพอ เช่น ผู้ที่ตื่นแต่เช้ามืดมีอุปกรณ์แสงอาทิตย์สังเคราะห์ที่สามารถช่วยกระตุ้นร่างกายให้ตื่นตัวและสร้าง Serotonin ได้ วิธีที่ดีที่สุดคือการเปิดหน้าต่างรับแสงแดดในตอนเช้าเป็นเวลา 10-20 นาที
งานวิจัยใหม่ๆ เกี่ยวกับ Red Light Therapy
หมอเดียร์ : งานวิจัยเกี่ยวกับ Longevity Medicine เวชศาสตร์ชะลอวัย เอาแสงสีแดงมาใช้เพื่อชะลอความแก่และอายุยืนขึ้น ในปัจจุบันงานวิจัยในต่างประเทศและการศึกษาในทางการแพทย์กำลังโฟกัสในระดับเซลล์ในระดับโมเลกุล Mitochondria Metabolic Therapy ใช้ Mitochondria เป็นตัวสำคัญในการรักษาร่างกายของเรา ถ้า Mitochondria เราแข็งแรงทำให้เราผลิตพลังงานของเราแม้จะอายุมากขึ้น
แนวโน้มในอนาคตของ Red Light Therapy และวงการ Anti-aging จะเป็นอย่างไร
หมอเดียร์ : ในอนาคตข้างหน้า Red Light Therapy จะกลายเป็นอุปกรณ์ประจำบ้านที่ทุกคนนำมาใช้ได้เอง ไม่ได้จำกัดอยู่แค่ในคลินิกหรือสปา มันจะกลายเป็นเหมือน Gadget ที่จำเป็นในชีวิตประจำวัน เช่นเดียวกับเครื่องฟอกอากาศหรือหุ่นยนต์ดูดฝุ่น เพื่อทำให้คุณภาพชีวิตของเราดีขึ้น อยู่ที่ว่าเราต้องฉลาดเลือกผู้ผลิตที่น่าเชื่อถือและเหมาะกับเรา
สามารถติดตาม "On the way with Chom" ได้ที่ช่องทาง Podcast : Life Dot , Facebook: Life Dot , Youtube : Life Dot วันจันทร์ (สัปดาห์เว้นสัปดาห์) เวลา 18.00 น.
คลิกชมรายการย้อนหลัง : https://www.youtube.com/watch?v=lXO-TmH3qzY&ab_channel=LIFEDOT
สามารถติดตามและอัปเดตข่าวสารได้ที่ช่องทาง
Podcast : Life Dot , Facebook: Life Dot , Youtube : Life Dot , IG : lifedot.official , TikTok : lifedot_official , Spotify : Lifedot_official
อันตรายแค่ไหน? "แบคทีเรียกินเนื้อคน" หรือ โรคเนื้อเน่า Necrotizing Fasciitis อาการเริ่มต้นเป็นอย่างไร อันตรายถึงตายจริงหรือ ใครมีอาการเหล่านี้พบหมอด่วน
โรคแบคทีเรียกินเนื้อคน หรือโรคเนื้อเน่า Necrotizing Fasciitis เป็นการติดเชื้อแบคทีเรียที่เนื้อเยื้อใต้ผิวหนัง อาทิ ไขมันใต้ผิวหนัง ผังผืดและกล้ามเนื้อ จะมีความรุนแรงมาก อันตรายถึงชีวิต หากรักษาไม่ทัน เพราะเชื้อจะทำลายเนื้อเยื่อใต้ผิวหนัง กล้ามเนื้อที่มักพบบ่อยที่แขนขา บริเวณฝีเย็บ และลำตัว มักมีประวัติได้รับอุบัติเหตุ ไปเที่ยวทะเล ถูกก้างปลาตำ
เชื้อที่เป็นสาเหตุ
เกิดจากเชื้อแบคทีเรียที่เรียกว่า Streptococcus เมื่อเชื้อเข้าสู่เนื้อเยื่อ โดยผ่านทางแผลที่ผิวหนัง เชื้อจะเจริญอย่างรวดเร็วและหลั่งสารพิษ (Toxin) ซึ่งมีฤทธิ์ทำลายเนื้อเยื่อ มีผลทำให้เลือดมาเลี้ยงบริเวณนั้นไม่พอทำให้กล้ามเนื้อตาย และเชื้อจะเข้าสู่กระแสเลือดและลามไปทั่วร่างกาย
อาการของ โรคแบคทีเรียกินเนื้อคน
ไข้สูง
หนาวสั่น
คลื่นไส้อาเจียน
เหงือออก
เป็นลม
ช็อกหมดสติ
อาการของโรคแบ่งตามระยะเวลาที่เกิดโรค
อาการของโรควันที่ 1-2 มีอาการปวดบริเวณที่เกิดโรค บวม และแดง ลักษณะจะคล้ายกับผิวหนังอักเสบหรือไฟลามทุ่ง แต่โรคเนื้อเน่าเกิดในชั้นลึกกว่านั้นซึ่งมองไม่เห็น อาการปวดจะรุนแรงมากขึ้นซึ่งไม่สอดคล้องกับอาการทางผิวหนังที่ตรวจพบ ไม่ตอบสนองต่อยาปฎิชีวนะ ผู้ที่เป็นโรคนี้จะมีอาการไข้ ครั่นเนื้อครั่นตัวหัวใจเต้นเร็ว มีลักษณะอาการขาดน้ำ
อาการของโรควันที่ 2-4 พบว่าบริเวณที่บวมจะกว้างกว่าบริเวณผิวหนังที่แดง มีผื่นผุพองซึ่งบ่งบอกว่าผิวหนังขาดเลือด และมีเลือดออก ผิวมีสีออกคล้ำเนื่องจากผิวหนังเริ่มตาย เมื่อกดผิวจะพบว่าแข็งไม่สามารถคลำขอบของกล้ามเนื้อได้ อาจจะคลำได้กรอบแกรบใต้ผิวหนัง เนื่องจากเกิดแก๊สใต้ผิวหนัง
อาการของโรควันที่ 4-5 จะมีความดันโลหิตต่ำ และมีภาวะโลหิตเป็นพิษ ผู้ป่วยจะไม่ค่อยรู้สึกตัว
อาการแทรกซ้อน
อัตราเสียชีวิตจะสูง เกิดภาวะโลหิตเป็นพิษ การติดเชื้ออาจจะทำให้เส้นประสาท กล้ามเนื้อและหลอดเลือดถูกทำลาย อาจจะต้องตัดอวัยวะทิ้ง
ปัจจัยเสี่ยงของการเกิดโรคเนื้อเน่า ได้แก่
ผิวหนังมีแผลจากแมลงกัดต่อย อุบัติเหตุถูกของมีคมตำหรือบาด แผลผ่าตัด
มีโรคประจำตัว เช่น ติดสุรา ติดยาเสพติด โรคตับ โรคเบาหวาน โรคมะเร็ง โรคภูมิคุ้มกันบกพร่อง วัณโรค
อาจเกิดหลังจากป่วยเป็นโรคไข้สุกใส
มีการใช้ยา Steroid
การรักษา โรคแบคทีเรียกินเนื้อคน
มาพบแพทย์โดยด่วนเพื่อวินิจฉัยให้เร็ว และผ่าตัดเอาเนื้อที่ตายหรือเนื้อที่ติดเชื้อออกให้มากที่สุด ผ่าตัดเพื่อระบายเอาหนองออก และตัดเนื้อเยื่อที่ตาย หากติดเชื้อรุนแรงอาจจำเป็นต้องตัดอวัยวะนั้นออก
การป้องกันโรคแบคทีเรียกินเนื้อคน
การดูแลแผล การดูแลแผลจะเป็นวิธีการที่ดีที่สุดในการป้องกันโรคเนื้อเน่า
เมื่อเกิดแผล รีบทำความสะอาดแผลด้วยน้ำสะอาดทันที
ทำความสาดแผลทุกวัน และใช้อุปกรณ์ทำแผลที่สะอาด
ระหว่างที่มีแผลควรหลีกเลี่ยงการใช้สระน้ำ และอ่างอาบน้ำร่วมกัน
ล้างมือทุกครั้งก่อนแหละหลังสัมผัสแผล
บริเวณที่ติดเชื้อได้ง่าย
โรคเนื้อเน่าเกิดกับส่วนใดๆ ของร่างกายก็ได้ แต่พบบ่อยที่แขน / ขา บริเวณฝีเย็บและลำตัว
มักจะมีประวัติได้รับอุบัติเหตุ เช่น ถูกก้างปลาตำ เป็นต้น
15 มิถุนายน 2568 สวนสัตว์เชียงใหม่ออกแถลงการณ์แจงอาการป่วยและตายของแรดอินเดียหนึ่งเดียวที่เหลืออยู่ โดยแถลงการณ์ระบุว่า เมื่อวันที่ 2 มิ.ย.ที่ผ่านมา สวนสัตว์เชียงใหม่ได้สูญสียแรดอินเดียเพศเมียชื่อ “กาลิ” ในช่วงเช้าของวันดังกล่าวโดยพนักงานลี้ยงสัตว์ประจำจุดได้รายงานการพบ “กาลิ” นอนนิ่งอย่างสงบบริเวณภายในส่วนจัดแสดง จึงเข้าไปตรวจดูพบว่า ได้เสียชีวิตแล้ว ระยะเวลาที่ผ่านมาแรดอินเดียชื่อ “กาลิ” มีความผิดปกติของระบบสืบพันธุ์ คือมีของเหลวเป็นมูกไหลจากช่องคลอด Vaginal Discharge) เป็นบางครั้งมาโดยตลอด พบครั้งแรกเมื่อเดือน ตุลาคม 2555
โดยพบว่า เป็นความผิดปกติของระบบสืบพันธุ์ในแรดอินเดียเพศเมียที่มีอายุมากและไม่เคยผสมพันธุ์หรือมีลูกมาก่อน โดยมักจะพบเนื้องอกในมตลูก กรณีนี้ที่ตรวจพบมีของเหลวไหลจากช่องคลอดทางทีมสัตวแพทย์ได้วินิจฉัยและรักษาโดยการใช้ยาปฏิชีวนะให้กินร่วมกับอาหาร เพื่อควบคุมการติดเชื้อแทรกช้อนและเก็บตัวอย่างของเหลว เพื่อส่งตรวจทางห้องปฏิบัติการและได้ทำการรักษาอย่างต่อเนื่อง ตรวจสุขภาพอย่างสม่ำเสมอสังเกตความผิดปกติต่างๆ ของร่างกายและพฤติกรรมทั่วไป มีการจัดเตรียมสูตรอาหารที่เหมาะสมกับแรดสูงอายุ ให้วิตามินเสริมเพื่อบำรุงร่างกาย
วันที่แรดอินเดีย “กาลิ” ตายลง ทางองค์การสวนสัตว์แห่งประเทศไทยฯ ได้จัดส่งทีมสัตวแพทย์ จากสถาบันอนุรักษ์และวิจัยสัตว์ ร่วมกับทีมสัตวแพทย์ประจำสวนสัตว์เชียงใหม่ รวมผู้ช่วยสัตวแพทย์และทีมงานฝ่ายบำรุงสัตว์และฝ่ายอนุรักษ์วิจัย รวมจำนวน 15 คนได้ทำการผ่าชากชันสูตรเบื้องต้น พบว่า สาเหตุการตายเกิดจากสภาพมดลูกอักเสบรุนแรง มีเนื้องอกในมดลูกขนาดใหญ่ ซึ่งสาเหตุดังกล่าว ได้มีการรักษามาอย่างต่อเนื่องตามความที่ระบุข้างต้น ขณะนี้ได้ส่งชิ้นเนื้อไปตรวจและรอผลการชั้นสูตรทางจุลพยาธิวิทยาเพิ่มเติมจากทางห้องปฏิบัติการชันสูตรโรค จากคณะสัตวแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ต่อไป
สำหรับประวัติแรดอินเดียเพศเมียชื่อ “กาลี” ได้นำมาจากประเทศเมปาล โดยสมเด็จพระราชาธิบดีแห่งประเทศเนปาล น้อมเกล้าน้อมกระหม่อมถวายแด่ ในหลวงรัชกาลที่ 9 จากนั้นทรงพระราชทานให้กับองค์การสวนสัตว์ฯ เมื่อวันที่ 22 เมษายน 2529 ตอนนั้นแรดกาลิ มีอายุเพียง 1 ปี 2 เดือน องค์การฯ ได้จัดส่งมาไว้ที่สวนสัตว์เพียงใหม่ “กาลิ” เกิดเมื่อปี 2528 ปัจจุบันอายุ 40 ปี เป็นแรดชรา(มีอายุขัยช่วง 30-40 ปี) มีน้ำหนักตัวประมาณ 2 ตัน สูง 1.5 เมตร มีนอเดียว ผิวหนังมีรอยย่นพับ มองดูคล้ายเสื้อเกราะของนักรบโบราณ ชอบกินใบไม้เป็นหลัก ในระยะเวลาที่ผ่านมาได้ครองตัวเป็นโสดอยู่เพียงตัวเดียวเป็นระยะเวลานานทำให้การทำงานของระบบสืบพันธุ์ผิดปกติ
จากการสูญเสียของแรดอินเดีย “กาลิ” ครั้งนี้ ในนามสวนสัตว์เชียงใหม่ องค์การสวนสัตว์แห่งประเทศไทย กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม มีความเสียใจเป็นอย่างยิ่ง เนื่องจากเป็นแรดอินเดียหนึ่งเดียว ที่มีในประเทศไทยและได้อยู่ที่สวนสัตว์เชียงใหม่มาเกือบ 40 ปี เป็นสัตว์ที่มีเอกลักษณ์และความน่ารักเฉพาะตัว พนักงานเลี้ยงสร้างสีสันให้แรด’กาลิ’เป็นข่าวอยู่เสมอในช่วงเวลาที่ผ่านมา และต้องขอบคุณทุกภาคส่วนที่ได้ให้การสนับสนุบสนุนและติดตามกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับแรดอินเดีย “กาลิ” ของสวนสัตว์เชียงใหม่ด้วยดีมาโดยตลอด อนึ่งหลังจากที่แรด “กาลิ” ได้ล้มลงทางผู้บริหาร สัตวแพทย์ พนักงานเลี้ยงและผู้ที่เกี่ยวข้องนิมนต์พระภิกษุ
จากวัดศรีโลหา มาทำพิธีทางตาสนา ส่งดวงวิญญาณของแรดกาลี ไปสู่ยังภพภูมิที่ดีต่อไปแล้ว โดยผู้บริหารองค์การสวนสัตว์แห่งประเทศไทยได้อนุมัติให้สวนสัตว์เชียงใหม่ ดำเนินการจัดทำแถลงการณ์แจ้งให้กับทุกท่านได้ทราบในห้วงเวลาที่เหมาะสมกับกาลเวลาต่อไป.