ครบเครื่อง
ญ. อมตะ



วิธีปฐมพยาบาลเบื้องต้น เมื่อถูกงูพิษกัดในภาวะน้ำท่วม

สิ่งที่มาพร้อมกับน้ำท่วมนอกจากโรคภัยไข้เจ็บและเชื้อโรคต่างๆ แล้ว งูและสัตว์มีพิษนานาชนิดก็มาพร้อมกับน้ำท่วมด้วยเช่นกัน โดยเฉพาะงูพิษที่ต้องระวังเป็นพิเศษ เพราะสามารถพบเจอได้ง่ายและมีอันตรายถึงชีวิต ถ้าหากพลาดโดนกัดขึ้นมาจะต้องปฐมพยาบาลเบื้องต้นอย่างไร

วิธีปฐมพยาบาลเมื่อโดนงูพิษกัด

หากโดนงูพิษกัด สิ่งแรกที่ควรทำคือตั้งสติให้ดี อย่าตกใจ พยายามเคลื่อนไหวร่างกายให้น้อยที่สุด เพราะหากมีอาการตื่นเต้นหรือเคลื่อนไหวเร็วจะส่งผลให้หัวใจเต้นเร็วกว่าปกติ ทำให้พิษงูถูกสูบฉีดแล่นเข้าสู่หัวใจได้เร็วขึ้น ซึ่งพิษงูจะเริ่มออกอาการตั้งแต่ 15 - 30 นาที หรืออาจนานถึง 9 ชั่วโมง จึงต้องสังเกตอาการอย่างต่อเนื่อง จากนั้นจึงทำการปฐมพยาบาลเบื้องต้น

ล้างแผลด้วยน้ำและสบู่ ไม่ควรใช้เหล้า ยาสีฟัน ขี้เถ้าทาแผล หรือสมุนไพรใดๆ เพราะอาจทำให้ติดเชื้อและมีอาการรุนแรงกว่าเดิมได้

บีบเลือดออกจากแผลให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ไม่ควรใช้ปากดูดหรือเปิดปากแผลด้วยของมีคม

การรัด ควรรัดเหนือและใต้บาดแผลประมาณ 3 นิ้วมือ ไม่ควรรัดเหนือบาดแผลให้แน่นมาก เพราะจะทำให้อวัยวะส่วนปลายขาดเลือดและเน่าตาย ควรคลายความแน่นพอสอดนิ้วมือได้ 1 นิ้ว จุดประสงค์เพื่อให้อวัยวะนั้นอยู่นิ่ง ไม่ใช่เป็นการห้ามพิษเข้าสู่หัวใจตามที่คนส่วนใหญ่เข้าใจไม่ถูกต้อง

ใช้ผ้าสะอาดห้ามเลือดด้วยการกดแผลโดยตรง ถ้าสามารถใช้แอลกอฮอล์หรือเบต้าดีนทาแผลได้ก็จะเป็นผลดีต่อการทำลายเชื้อโรคต่างๆ

พยายามเคลื่อนไหวร่างกายให้น้อยที่สุด เพราะหากเคลื่อนไหวมาก จะทำให้พิษของงูเข้าสู่กระแสเลือดเร็วขึ้น

วางอวัยวะส่วนนั้นให้ต่ำกว่าหรือระดับเดียวกับหัวใจ

รับประทานยาแก้ปวดหากรู้สึกปวด แต่ห้ามใช้ยาที่มีฤทธิ์แอลกอฮอล์ ยาระงับประสาท ยานอนหลับ ยาดองเหล้า เป็นต้น

รีบนำผู้ป่วยส่งสถานพยาบาลใกล้บ้าน ไม่จำเป็นต้องนำซากงูมาให้แพทย์ตรวจดูว่าเป็นงูประเภทใด เนื่องจากอาจจับได้ในบริเวณใกล้เคียงซึ่งไม่ใช่เป็นตัวที่กัด ปัจจุบันใช้การดูรอยกัดและลักษณะแผลเพื่อกำหนดการใช้เซรุ่มต้านพิษงูฉีดให้เหมาะสม

ให้ระลึกเสมอว่างูที่กัดทุกตัวเป็นงูมีพิษ

ในกรณีที่เป็นผู้ประสบอุทกภัย ที่รอบตัวมีแต่น้ำท่วมขัง วิธีปฐมพยาบาลจะต่างออกไป ดังนี้

1. กฎเหล็ก “ห้าม” ใช้น้ำท่วมล้างแผลเด็ดขาด

เพราะน้ำท่วมขังเต็มไปด้วยเชื้อแบคทีเรีย ปรสิต และเชื้อโรค เช่น ฉี่หนู การเอาน้ำท่วมมาล้างแผลงูกัด จะทำให้เกิดการติดเชื้อในกระแสเลือด ซ้ำซ้อน ซึ่งอาจอันตรายกว่าพิษงูในบางกรณี

2. ทางเลือกเมื่อไม่มีน้ำสะอาด

หากไม่มีน้ำประปา ให้ลองมองหาทางเลือกเหล่านี้ตามลำดับ

ทางเลือกที่ 1: น้ำดื่มบรรจุขวด

หากมีน้ำดื่มพกติดตัว ให้ “สละน้ำดื่ม” ส่วนหนึ่งมาล้างแผลทันที เพราะความสะอาดของแผลสำคัญมาก โดยเทล้างผ่านแผลให้สิ่งสกปรกหลุดออก และห้ามขัดถูแรง

ทางเลือกที่ 2: เช็ดด้วยผ้าแห้งที่สะอาดที่สุดเท่าที่มี

หากไม่มีน้ำดื่ม ให้หาผ้าที่แห้งและดูสะอาดที่สุด เช่น ชายเสื้อส่วนที่ไม่เปียกน้ำเช็ดคราบพิษหรือสิ่งสกปรกออกจากปากแผลเบาๆ โดยเช็ดปาดออกไปทางเดียว ไม่ถูไปมา

3. ขั้นตอนสำคัญที่สุด “ทำแผลให้กันน้ำ”

เนื่องจากคุณต้องอยู่ท่ามกลางน้ำท่วม การป้องกันไม่ให้แผลสัมผัสน้ำระหว่างรอการช่วยเหลือหรือเดินทางสำคัญมาก

หลังจากเช็ดหรือปิดแผลแล้ว ให้พันด้วยผ้าให้กระชับ และดามไม้ตามขั้นตอนปกติ

ใช้ ถุงพลาสติก เช่น ถุงแกง ถุงขยะ หรือพลาสติกห่อของ หุ้มทับบริเวณที่พันแผลไว้ แล้วมัดปากถุงให้แน่นพอประมาณ แต่อย่ารัดจนเลือดไม่เดิน

พยายามยกอวัยวะส่วนนั้นให้พ้นน้ำตลอดเวลา จากนั้นรีบนำตัวผู้ที่โดนงูพิษกัดส่งโรงพยาบาลให้เร็วที่สุด

วิธีสังเกตว่าเป็นงูพิษหรือไม่

วิธีสังเกตว่างูที่กัดนั้นมีพิษหรือไม่ ดูได้จากรอยเขี้ยว ถ้างูไม่มีพิษ รอยฟันบนผิวหนังจะเรียงเป็นแถว แต่ถ้าเป็นงูพิษ จะมีรอยเขี้ยว 2 จุดชัดเจน หรือมีเลือดซึมออกจากแผล และบริเวณรอบๆ รอยเขี้ยวมีสีคล้ำ หรืออาจพองเป็นถุงน้ำ ซึ่งพิษของงูจะส่งผลต่อร่างกาย แบ่งเป็น 3 ประเภทใหญ่ ๆ ดังนี้

ลักษณะรอยกัดของงูพิษ (ภาพจาก iStock)

1. พิษต่อระบบประสาท (Neurotoxin) ได้แก่ งูเห่า งูจงอาง งูสามเหลี่ยม และงูทับสมิงคลา อาการที่พบคือ

เริ่มจากแขนไม่มีแรง

กระวนกระวาย

ลิ้นเกร็ง

พูดจาอ้อแอ้

ตามัว

น้ำลายฟูมปาก เนื่องจากกล้ามเนื้อการกลืนเป็นอัมพาต

หยุดหายใจ และเสียชีวิตในที่สุด

2. พิษต่อระบบการแข็งตัวของเลือด (Hematotoxin) ได้แก่ งูเขียวหางไหม้ งูแมวเซา และงูกะปะ อาการที่แสดงออกได้แก่

เริ่มจากปวดแผลมาก

มีเลือดซึมออกจากแผล

เลือดออกจากอวัยวะต่างๆ เช่น เลือดกำเดา เหงือก ไอ อาเจียน

ปัสสาวะและอุจจาระเป็นเลือด เกิดจากภาวะระบบไหลเวียนล้มเหลว และเสียชีวิตในที่สุด

3. พิษต่อกล้ามเนื้อ (Mytotoxin) ส่วนใหญ่เป็นงูทะเล จึงไม่พบในภาวะน้ำท่วม ซึ่งพิษจะทำลายกล้ามเนื้อโดยตรงทำให้เกิดอาการดังต่อไปนี้

ปวดกล้ามเนื้ออย่างรุนแรง

กล้ามเนื้ออ่อนแรง

ปัสสาวะเป็นสีเข้ม เนื่องจากกล้ามเนื้อสลายตัว

อาจมีภาวะโพแทสเซียมในเลือดสูง และไตวายตามมา

นอกจากนี้ งูที่มีพิษต่อระบบประสาท (neurotoxins) เช่น งูเห่า, งูจงอาง, งูสามเหลี่ยม และงูทับสมิงคลา ก็ส่งผลกระทบต่อกล้ามเนื้อเช่นกัน แต่เป็นผลทางอ้อมคือทำให้กล้ามเนื้ออ่อนแรง โดยพิษจะไปยับยั้งการทำงานของระบบประสาท ทำให้ไม่สามารถสั่งการกล้ามเนื้อได้

ที่มา: คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล, กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข


5 โรคที่ห้ามกินกระเทียม มีอะไรบ้าง เช็กสรรพคุณ และโทษควรระวังที่นี่

กระเทียมเป็นสมุนไพรที่นิยมนำไปทำอาหารและใช้เป็นยาพื้นบ้าน ซึ่งแม้กระเทียมจะมีสรรพคุณดีหลายอย่าง แต่ก็มีบางโรคที่ห้ามกินกระเทียมมากเกินไป เนื่องจากฤทธิ์ของกระเทียมอาจส่งผลให้โรคกำเริบ หรือเสี่ยงต่อภาวะแทรกซ้อนได้

บทความนี้ ไทยรัฐออนไลน์จะพาไปทำความรู้จัก "กระเทียม" สมุนไพรสรรพคุณมากมาย พร้อมทั้งทำความรู้จัก 5 มีอะไรบ้าง และวิธีกินกระเทียมสดอย่างถูกต้อง

รู้จัก ข้อดีและข้อเสียของกระเทียม

กระเทียมมีสรรพคุณที่ดีต่อร่างกาย ดังนี้ ต้านเชื้อแบคทีเรีย-เชื้อรา ช่วยยับยั้งเชื้อโรคในร่างกาย

ช่วยลดไขมัน LDL หรือไขมันเลว และเพิ่มไขมันดี (HDL) แทน

ลดความดันโลหิตสูง เพิ่มภูมิคุ้มกัน ช่วยต้านทานไข้หวัด และลดการอักเสบ ช่วยควบคุมน้ำตาลในเลือด เพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของอินซูลิน บำรุงหัวใจและหลอดเลือด ช่วยย่อยอาหารบางชนิด ลดอาการอักเสบตามข้อ ขับลม ขับเหงื่อ บำรุงธาตุ กระจายโลหิต อย่างไรก็ดี แม้จะมีประโยชน์และข้อดีหลายอย่าง

แต่หากกินกระเทียมเยอะก็อาจผลเสียต่อร่างกายได้ด้วยเช่นกัน ดังนี้

แสบท้อง ระคายกระเพาะ เนื่องจากกระเทียมมีฤทธิ์ร้อนแรง และกรดสูง

กลิ่นปาก กลิ่นตัวแรง

เลือดออกง่าย และหยุดช้า เนื่องจากฤทธิ์ต้านการเกาะกลุ่มของเกล็ดเลือด

มีอาการเวียนหัว คลื่นไส้

ท้องเสีย หรือปวดบิด

ความดันตก

5 โรคที่ห้ามกินกระเทียมมีอะไรบ้าง

แม้กระเทียมจะดีต่อสุขภาพ แต่สำหรับบางโรค การกินกระเทียมมากเกินไป อาจทำให้เกิดผลเสียได้ ซึ่งผู้ป่วยที่ควรระวังหรือหลีกเลี่ยงมีดังนี้

1. โรคกระเพาะอาหาร หรือกรดไหลย้อน

เนื่องจากกระเทียมสดมีฤทธิ์เผ็ดร้อน อาจทำให้เกิดการระคายเคืองบริเวณกระเพาะได้ นอกจากนี้การกินกระเทียมจำนวนมากเกินไปอาจส่งผลให้เกิดอาการแสบร้อน แน่นท้อง หรือจุกเสียดได้

2. ผู้ป่วยที่มีภาวะเลือดออกง่าย หรือเกล็ดเลือดต่ำ

เนื่องจากกระเทียมมีฤทธิ์ต้านการเกาะกลุ่มของเกล็ดเลือด หากกินมากเกินไปอาจทำให้เลือดหยุดไหลยาก ฟกช้ำง่าย หรือเลือดกำเดาไหลได้บ่อย

3. ผู้ที่กินยาละลายลิ่มเลือด

หากเป็นผู้ป่วยและจำเป็นต้องกินยาละลายลิ่มเลือดเป็นประจำ เช่น Warfarin, Aspirin หรือ Clopidogrel อาจทำให้เลือดเลือดออกในอวัยวะภายใน หรือเสี่ยงมีเลือดออกมาก เนื่องจากกระเทียมมีฤทธิ์เสริมยาเหล่านี้

4. ผู้ป่วยโรคตับ

การกินกระเทียมสดมากเกินไป อาจทำให้เอนไซม์ตับสูงขึ้น เสี่ยงต่อการระคายเคือง ดังนั้น ผู้ที่ป่วยเป็นโรคตับควรเลี่ยงกินกระเทียมสด หรือควรปรึกษาแพทย์ก่อนกิน

5. ผู้ที่เป็นไมเกรน

เนื่องจากกระเทียมมีกลิ่นฉุนและฤทธิ์ร้อน อาจกระตุ้นอาการปวดหัวในบางรายได้เช่นกัน

นอกจากนี้ ผู้ที่ต้องเข้าผ่าตัดควรงดหรือเลี่ยงกินกระเทียมสดอย่างน้อย 7 วันก่อนการผ่าตัด เพราะอาจส่งผลให้เลือดออกมากหรือหยุดยากในระหว่างการผ่าตัดได้

กระเทียมดำ คืออะไร โรคที่ห้ามกินกระเทียมดำมีอะไรบ้าง

กระเทียมดำ (Black Garlic) คือ กระเทียมสดที่ผ่านการแปรรูปด้วยการหมักบ่ม ทำให้เปลี่ยนสีเป็นสีดำ ไม่มีกลิ่นฉุน เนื้อนุ่ม รสชาติหวานยิ่งขึ้น และกินได้ง่ายกว่ากระเทียมสด แต่ผู้ที่ใช้ยาลดความดัน ยาละลายลิ่มเลือด ผู้ที่เป็นกรดไหลย้อน หรือผู้ที่ป่วยที่เป็นโรคเบาหวานควรหลีกเลี่ยงการกิน เนื่องจากกระเทียมดำมีน้ำตาลสูงขึ้นเล็กน้อย

แจกวิธีกินกระเทียมสดที่ถูกต้อง เพื่อสุขภาพที่ดี

หากต้องการกินกระเทียม เพื่อให้ได้ประโยชน์สูงสุดต่อร่างกาย แนะนำให้กินดังนี้

บดหรือสับให้ละเอียดก่อนกิน เพราะอัลลิซิน สารในกระเทียมจะถูกกระตุ้นหลังบดทิ้งไว้ประมาณ 10 นาที

ไม่ควรกินตอนท้องว่าง เพื่อลดโอกาสระคายเคืองกระเพาะ

ควรกินพร้อมอาหาร เพื่อช่วยย่อยอาหารให้ง่ายขึ้น

หลีกเลี่ยงการกินก่อนเข้านอน เนื่องจากอาจทำให้แสบท้อง หรือเรอได้

อย่างไรก็ดี แม้กระเทียมเป็นสมุนไพรที่ดีต่อสุขภาพ แต่หากเป็นโรคที่กล่าวมาในข้างต้น แนะนำให้งด เลี่ยง หรือกินในปริมาณที่เหมาะสม อีกทั้งหากมีโรคประจำตัวหรือกินยาเฉพาะทางอยู่ควรปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญก่อนเสมอ


จากอัมพฤกษ์ อัมพาต สู่ชีวิตใหม่ การฟื้นฟูหลัง Stroke ที่เริ่มได้ตั้งแต่วันนี้

อัมพฤกษ์ อัมพาต เป็นสิ่งที่เกิดจากโรคหลอดเลือดสมอง หรือ Stroke เป็นภัยร้ายที่ไม่มีใครอยากให้เกิด เพราะมันพรากความสามารถในการใช้ชีวิตประจำวันไปจากเดิม ผู้ป่วยอาจพูดไม่ได้ พูดไม่ชัด กลืนลำบาก มีอาการชา ร่างกายอ่อนแรง ขยับตัวไม่ได้ ซึ่งนอกเหนือจากการรักษาจากแพทย์แล้ว การฟื้นฟูหลังการรักษา โดย “เวชศาสตร์ฟื้นฟูและกายภาพบำบัด” คือความหวังสำคัญของทั้งผู้ป่วยและครอบครัวในการพาผู้ป่วยกลับมาช่วยเหลือตัวเองและมีคุณภาพชีวิตที่ดีอีกครั้ง

แนวทางการฟื้นฟูอัมพฤกษ์ อัมพาตหลัง Stroke ได้แก่

1. การออกแบบโปรแกรมฟื้นฟูเฉพาะบุคคล

การฟื้นฟูผู้ป่วย Stroke ไม่ใช่แค่การทำกายภาพทั่วไป แต่ต้องอาศัยการประเมินอาการ ความรุนแรง และความต้องการของผู้ป่วยแต่ละคน

ทีมฟื้นฟูประกอบด้วยแพทย์เวชศาสตร์ฟื้นฟู นักกายภาพบำบัด นักกิจกรรมบำบัด และนักเวชศาสตร์การสื่อความหมาย

โปรแกรมการฟื้นฟูออกแบบให้เหมาะกับอาการและเป้าหมายเฉพาะบุคคล พร้อมประเมินและติดตามอย่างต่อเนื่อง

2. กายภาพบำบัด คือหัวใจของการฟื้นฟู

การฟื้นฟูที่ได้ผลดีที่สุดคือตั้งแต่เริ่มป่วยจนถึงระยะเวลา 6 เดือน โดยเฉพาะช่วง 3 เดือนแรกจะมีการฟื้นตัวค่อนข้างเร็ว เพราะสมองและกล้ามเนื้อยังตอบสนองได้ดี และจะค่อยเริ่มชะลอลง แต่ยังสามารถพัฒนาได้ ให้เน้นการฝึกซ้ำๆ บ่อยๆ ในลักษณะเดิม เพื่อกระตุ้นการเรียนรู้ของสมองและร่างกาย

การฝึกแขน จะฝึกเพื่อให้เกิดการเคลื่อนไหวและทิศทางการเหยียดของแขน เพราะผู้ป่วยมักมีปัญหาการขยับแขนและเหยียดได้ยาก

การฝึกเดิน จะฝึกในท่าเดินที่ถูกต้อง เน้นการทำซ้ำจำนวนครั้งมากๆ เพื่อให้ร่างกายจดจำและพัฒนา

3. อุปกรณ์และเทคโนโลยีช่วยฟื้นฟู

การทำกายภาพบำบัดในบางกรณีอาจต้องใช้อุปกรณ์ช่วย เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการฟื้นฟู เช่น

จักรยานปั่นขา

เครื่องพยุงช่วยเดินหรือสลิงยกตัว

ระบบ Biofeedback วิเคราะห์การก้าวเท้า การลงน้ำหนัก การกระจายน้ำหนักฝ่าเท้า เพื่อปรับท่าทางให้ถูกต้อง

กิจกรรมบำบัด

นักกิจกรรมบำบัดมีความสำคัญในการบำบัดและฟื้นฟูผู้ป่วยอัมพฤกษ์ อัมพาต โดยฝึกให้ผู้ป่วยกลับมาทำกิจวัตรประจำวันพื้นฐานตามศักยภาพได้ เช่น

การกลืน การฝึกหายใจ

การอาบน้ำ การแต่งตัว การใช้ชีวิตประจำวัน

เวชศาสตร์การสื่อความหมาย

นักเวชศาสตร์การสื่อความหมายถือเป็นนักแก้ไขการพูด จะเข้ามามีส่วนช่วยในเรื่องการสื่อสารในชีวิตประจำวัน เช่น

การฝึกเรื่องการกลืน สำหรับผู้ที่กลืนไม่ได้ หรือกลืนลำบาก

การฝึกเรื่องพูดสื่อสาร พูดไม่ออก นึกคำพูดไม่ได้ พูดไม่ชัด พูดไม่รู้เรื่อง ฟังคนอื่นพูดไม่เข้าใจ

การฝึกเรื่องการเขียน เขียนไม่ได้ อ่านไม่ได้ มีปัญหากับตัวเลข จำนวนและการคำนวณ

การฝึกเรื่องการปฏิบัติตนในชีวิตประจำวัน

การฟื้นฟูร่างกาย เยียวยาจิตใจ ครอบครัวคือพลังสำคัญ เพราะ Stroke ไม่เพียงสร้างผลกระทบต่อร่างกายและจิตใจของผู้ป่วย แต่ยังส่งผลต่อครอบครัว ที่ต้องดูแลผู้ป่วยและเผชิญความกังวล การฟื้นฟูที่ดีจึงช่วยแบ่งเบาภาระ ลดความเครียด และสร้างความหวังให้ผู้ป่วยและคนที่รัก เพราะการฟื้นฟูคือการเริ่มต้นใหม่ ไม่ใช่เพียงการรักษาร่างกาย แต่คือการฟื้นหัวใจของทั้งผู้ป่วยและครอบครัว

ข้อมูลโดย : ศูนย์เวชศาสตร์ฟื้นฟูและกายภาพบำบัด โรงพยาบาลพญาไท 3


สหรัฐฯพบผู้ติดเชื้อ "ไข้หวัดนก H5N5" ข้ามสายพันธุ์สู่คน "รายแรก" สธ. จี้กลุ่มเสี่ยง เฝ้าระวังเข้ม! ย้ำไทย "ยังไม่พบ" ผู้ติดเชื้อ!

พญ.จุไร วงศ์สวัสดิ์ นายแพทย์ทรงคุณวุฒิ โฆษกกรมควบคุมโรค กล่าวถึงกรณี สหรัฐอเมริกามีรายงาน โรคไข้หวัดนกสายพันธุ์ H5N5 รายแรกของโลก ว่า ไข้หวัดนกสายพันธุ์ H5N5 ปกติจะเป็นโรค ที่ ติดจากสัตว์สู่สัตว์ ไม่ใช่โรคติดต่อจากจัดสู่คน ดังนั้นกรณีดังกล่าวถือเป็นการติดเชื้อไข้หวัดนกสายพันธุ์ H5N5 จากสัตว์สู่คนและ เสียชีวิตรายแรกของโลก ซึ่งทางศูนย์ควบคุมโรคสหรัฐ อยู่ระหว่างการสอบสวน เบื้องต้นพบว่าผู้เสียชีวิตเป็นผู้สูงอายุ มีโรคประจำตัว ซึ่งถือเป็นกลุ่มเสี่ยงที่จะเกิดการติดเชื้อและอาการรุนแรงได้ไม่ว่าจะเป็นเชื้ออะไรก็ตาม ยิ่งในรายนี้ยังมีปัจจัยเสี่ยงจากการเลี้ยงสัตว์ปีกไว้หลังบ้าน อย่างไรก็ตาม ทางศูนย์ควบคุมโรคสหรัฐก็ได้มีการ ตรวจติดตามผู้สัมผัสใกล้ชิดยังไม่พบว่ามีใครติดเชื้อแต่อย่างใด ดังนั้นการแพร่จากคนสู่คนจึงแทบจะไม่ปรากฏหลักฐาน เช่นเดียวกับไข้หวัดนกสายพันธุ์ H5N1 แต่กรณีที่มีการข้ามมาติดในมนุษย์ อาจจะแปลว่าได้ว่าเชื้อไวรัสมีการปรับตัว

"เคสนี้ที่เจอในคนนั้นถือเป็นรายงาน ครั้งแรกของโลก ที่ไข้หวัดนกสายพันธุ์ H5N5 มีการแพร่เชื้อเข้าสู่มนุษย์ ส่วนการติดเชื้อจากสัตว์สู่สัตว์ที่ผ่านมามีการรายงานที่แคนาดาในกลุ่มสัตว์ปีก และแมวน้ำ ที่ประเทศอังกฤษแต่ไม่เคยมีรายงานพบในคนมาก่อน ดังนั้นเคสนี้อาจจะบอกได้ว่าเชื้อไข้หวัดนกในสัตว์ปีกสามารถข้ามมาติดสู่คนได้ หากไปสัมผัสกับสัตว์ปีกป่วยโดยไม่มีการป้องกัน" พญ.จุไร กล่าว

ไข้หวัดนกสายพันธุ์ H5N5 กับสายพันธุ์ H5N1 แตกต่างกันตรงที่โปรตีน N ซึ่งมีหลายสายพันธุ์ แต่ในแง่ของการระบาด ป้องกัน และรักษา ทั้งสองสายพันธุ์นี้เหมือนกัน สำหรับความรุนแรงในการก่อโรคในคนระหว่างไข้หวัดนกสายพันธุ์ H5N5 กับสายพันธุ์ H5N1 ก็ต้องบอกว่าไข้หวัดนกสายพันธุ์ H5N5 เรายังมีข้อมูลทางคลินิกค่อนข้างน้อย เพราะยังไม่เคยมีรายงานในคนมาก่อน เพราะฉะนั้นเคสนี้เป็นเคสแรกของโลกและเป็นคนที่มีความเสี่ยง คือเป็นผู้สูงอายุและเป็นผู้มีโรคประจำตัว ดังนั้นเราจึงบอกได้ยากว่าหากไข้หวัดนกสายพันธุ์ H5N5 มีการติดเชื้อในคนทั่วไปหรือติดเชื้อในเด็กจะทำให้ความรุนแรงของโรคเป็นอย่างไรบ้าง ดังนั้นเราจึงยังต้องมีการติดตามอย่างใกล้ชิด

แต่สำหรับสายพันธุ์ H5 N1 ยังมีสายพันธุ์ย่อยลงไปอีกโดยเฉพาะตัวที่ระบาดที่สหรัฐอเมริกา โดยเฉพาะเมื่อปีที่ผ่านมา ส่วนใหญ่จะติดต่อมาจากสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม ในฟาร์มปศุสัตว์ อาการอ่อนๆ ไม่รุนแรง ยกเว้น 1 รายที่เสียชีวิตซึ่งก็เป็นผู้สูงอายุ และมีโรคประจำตัวเช่นกัน รวมถึงสายพันธุ์ย่อยในกัมพูชา ค่อนข้าง รุนแรงกว่าสายพันธุ์ย่อยที่เจอในสหรัฐอเมริกา ล่าสุดสายพันธุ์ที่ระบาดในกัมพูชาก็มีเด็กเสียชีวิตเพิ่ม ที่กรุงพนมเปญโดยเป็นผู้มีปัจจัยเสี่ยง สัมผัสกับสัตว์ปีกที่ป่วยตาย "เพราะฉะนั้นที่แน่ๆคือไข้หวัดนกไม่ว่าจะเป็นสายพันธุ์ใดก็ตามจะทำอันตรายกับกลุ่มเสี่ยง ผู้สูงอายุหรือมีโรคประจำตัว" โฆษกกรมควบคุมโรค กล่าว

สำหรับคำแนะนำคือในช่วงปลายปีซึ่งเป็นช่วงที่พบไข้หวัดนกหรือโรคติดต่อระบบทางเดินหายใจ เพราะสภาพอากาศเย็น ดังนั้นช่วงนี้จึงต้องระมัดระวังเรื่องสัตว์ปีก นกป่า หรือฟาร์มนก โดยเฉพาะฟาร์มเปิด กลุ่มผู้เลี้ยงคือกลุ่มเสี่ยง อาจต้องเพิ่มความระมัดระวัง หากพบสัตว์ป่วยตาย ต้องรีบรายงานปศุสัตว์ในพื้นที่ หากมีการสัมผัสสัตว์ปีกหรือแม้กระทั่งสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม ต้องสวมอุปกรณ์ป้องกัน ทั้งหน้ากากอนามัยและถุงมือ หรือสวมชุดกาวน์ป้องกันเมื่อต้องสัมผัสซากสัตว์ปีก ล้างมือ หากมีไข้ไอน้ำมูกในช่วง 2 อาทิตย์หลังไปสัมผัส ต้องแจ้งประวัตินี้กับแพทย์ที่ทำการรักษาด้วย นอกจากนี้การฉีดวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่ในคน นอกจากป้องกันการป่วยไข้หวัดใหญ่แล้วสิ่งหนึ่งหาก พบไข้หวัดนก วัคซีนนี้ก็จะช่วยป้องกันหาก เพราะบางครั้งถ้าไวรัส 2 ตัวนี้มาเจอกันอาจจะทำให้เกิดการแลกเปลี่ยนสารพันธุกรรมและกลายเป็นไข้หวัดนกปรับตัว ที่สามารถแพร่สู่คนได้ง่ายขึ้น ทั้งนี้ในส่วนของประเทศไทยยังไม่มีรายงานผู้ป่วยติดเชื้อแต่อย่างใด


ปลูกกล้วยหอมทองในร่องสวน สร้างรายได้-พลิกวิกฤตราคามะนาวตกต่ำ

กล้วยหอมทองผลใหญ่ดูน่ารับประทาน ถูกปลูกอยู่ในร่องสวนที่มีดินและน้ำอุดมสมบูรณ์ของ นายสุชัช สายกสิกร เกษตรกรชาวตำบลดอนไผ่ อำเภอดำเนินสะดวก จังหวัดราชบุรี สามารถตัดจำหน่ายได้อย่างต่อเนื่อง สร้างรายได้เลี้ยงดูครอบครัวได้เป็นอย่างดี

กล้วยหอมถือว่าเป็นพืชเศรษฐกิจอีกตัวหนึ่ง เป็นที่นิยมบริโภคของทั้งคนในประเทศและต่างประเทศ ด้วยคุณประโยชน์มากมาย อุดมไปด้วยแร่ธาตุและสารอาหารต่างๆ

ในกล้วยหอมมีน้ำตาลอยู่ 3 ชนิด ได้แก่ ซูโครส ฟรุกโตส และกลูโคส รวมทั้งเส้นใยอาหาร และยังมีสรรพคุณอื่นๆ อีก อาทิ คลายเครียด ช่วยทำให้อารมณ์ดี เพิ่มพลังสมอง บำรุงระบบประสาท ช่วยป้องกันการเกิดโรคโลหิตจาง ช่วยบำรุงสายตา

โดยนายสุชัชเล่าให้ฟังว่า ที่ผ่านมาตนทำสวนมะนาว แต่หลังราคาผลผลิตมะนาวตกต่ำอย่างต่อเนื่อง สวนทางกับต้นทุนการผลิตทั้งราคาค่าปุ๋ย เคมีเกษตร และค่าแรงคนงานที่สูงขึ้น ทำให้ตนตัดสินใจเปลี่ยนมาปลูกกล้วยหอมทองทดแทน เนื่องจากเป็นพืชที่ลงทุนปลูกครั้งเดียว สามารถเก็บผลผลิตได้ต่อเนื่อง โรคและศัตรูพืชน้อย

โดยนำหน่อ “กล้วยหอมทองสายพันธุ์ปทุมธานี” จำนวน 1,400 ต้น มาปลูกบนร่องสวน ขนาดพื้นที่ 8 ไร่ ซึ่งกล้วยหอมสายพันธุ์นี้มีลักษณะเด่นอยู่ที่ผลใหญ่ยาว เนื้อเหนียวแน่น รสชาติหวานหอม และมีเปลือกบาง เป็นที่นิยมทั้งตลาดในและต่างประเทศ

สำหรับวิธีการปลูกจะเริ่มจากขุดหลุมขนาดกว้าง, ยาว และลึกที่ 50 เซนติเมตร แล้วนำขี้เลนในท้องร่องมาใส่ลงไปที่ก้นหลุม ก่อนจะนำหน่อกล้วยลงปลูก แล้วจึงใส่ดินกลบหลุมอีกครั้งหนึ่ง ซึ่งขี้เลนที่ใส่ลงไปจะเป็นปุ๋ยชั้นเลิศ ช่วยทำให้หน่อกล้วยเย็น แตกรากได้เร็ว โดยเว้นระยะห่างระหว่างต้นประมาณ 2 เมตร

ซึ่งในช่วง 1 เดือนแรกต้องคอยหมั่นรดน้ำวันเว้นวัน เมื่อต้นฟื้น รากเดินได้ดี ก็สามารถเว้นระยะการรดน้ำเป็น 3 ถึง 4 วันต่อครั้ง

นอกจากนั้น จะต้องหมั่นตัดแต่งใบให้ต้นโปร่ง และตัดหน่อกล้วยที่ขึ้นมาใหม่ทิ้ง ให้เหลือ 2-3 ต้นต่อกอ เพื่อไม่ให้แต่ละต้นแย่งอาหารกันเอง และช่วยทำให้มีผลผลิตเก็บเกี่ยวได้อย่างต่อเนื่อง

ส่วนปุ๋ยบำรุงต้น จะเริ่มใส่เมื่อต้นอายุได้ 2 เดือน ด้วยสูตร 25-7-7 เมื่อเข้าสู่เดือนที่ 3 เป็นต้นไป จะใส่ปุ๋ยสูตรเสมอ 15-15-15 กระทั่งกล้วยเริ่มออกปลี จะใส่ปุ๋ยสูตร 21-7-14 หรือ 15-5-20

นายสุชัชบอกอีกว่า ทางสวนของตนเองจะใส่ปุ๋ยมูลไก่หรือมูลวัว ปีละ 2 รอบ ในช่วงฤดูแล้ง เพื่อช่วยรักษาความชื้นหน้าดิน โดยใช้ระยะเวลาปลูกเพียง 8-9 เดือน ก็เริ่มเก็บผลผลิตได้

ที่สำคัญคือ เมื่อกล้วยออกเครือ จะต้องใช้ไม้ไผ่ค้ำที่คอเครือกล้วยให้มั่นคง ตัดหวีกล้วยที่เล็กออกให้เหลือเครือละ 5-6 หวี เพื่อป้องกันคอเครือกล้วยหัก

ด้วยพื้นที่ปลูกเป็นแบบร่องสวน มีน้ำตลอดทั้งปี และสายพันธุ์ที่ดี ส่งผลให้กล้วยหอมที่ปลูกในพื้นที่ อำเภอดำเนินสะดวก มีลักษณะเด่นแตกต่างจากพื้นที่อื่น คือ ลำต้นสมบูรณ์ แข็งแรง ไม่หักคอง่าย เครือและผลอวบใหญ่ ผิวสวย น้ำหนักดี จึงนิยมนำไปใช้ขึ้นหิ้งไหว้เจ้า และประกอบพิธีกรรมงานมงคลต่างๆ

ทั้งนี้ ทางสวนจะเลือกตัดผลแก่ที่ประมาณ 80-90 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งผลของกล้วยจะอวบกลมไม่มีเหลี่ยม ใน 1 เดือนจะเก็บผลผลิตจำนวน 4 รอบ รอบละประมาณ 80-100 เครือ เครือละประมาณ 5-6 หวี โดยมีแม่ค้าในจังหวัดนครปฐมมารับซื้อถึงสวน ราคาจำหน่ายเฉลี่ยอยู่ที่หวีละ 40 บาท

นอกจากนั้น ยังมีรายได้จากการขุดหน่อกล้วยขายเป็นต้นพันธุ์ ในราคาหน่อละ 15 บาทอีกด้วย

ใครที่สนใจกล้วยหอมทองดำเนินสะดวก และหน่อพันธุ์คุณภาพ สามารถติดต่อได้ที่ นายสุชัช สายกสิกร เบอร์โทรศัพท์ 08-9914-1183

ขวัญเพชร โชคบรรดาลสุข... อ่านข่าวต้นฉบับได้ที่ : https://www.khaosod.co.th/lifestyle/news_10033777