ครบเครื่อง
ญ. อมตะ



ครั้งแรกของโลก! หมูเด้ง AI แข่งขันออกแบบ Moodeng AI Challenge 2025...

เมื่อวันที่ 21 ม.ค. 68 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า MIT Media Lab ร่วมกับองค์การสวนสัตว์แห่งประเทศไทย, ViaLink, The Standard ประกาศเปิดตัว Moodeng AI Challenge การแข่งขันที่จะเปลี่ยนโฉมหน้าการปฏิสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์และสัตว์ด้วยเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์...

การแข่งขันนี้ได้แรงบันดาลใจจาก “หมูเด้ง” ลูกฮิปโปแคระ ที่โด่งดังไปทั่วโลก เปิดรับนักพัฒนานวัตกรรมจากทั่วโลกในการพัฒนา AI เพื่อเชื่อมโยงมนุษย์และสัตว์โลกเเละธรรมชาติเข้าด้วยกัน

โดยการแข่งขันประกอบด้วย 3 ด้านหลัก ที่มุ่งเน้นการพัฒนาปฏิสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์และสัตว์ คือ 1.AI สำหรับถอดรหัสการสื่อสารของสัตว์ พัฒนาระบบ AI แบบหลายรูปแบบเพื่อแปลความหมายพฤติกรรม เสียงร้อง และการแสดงออกของสัตว์ 2.AI สำหรับส่งเสริมปฏิสัมพันธ์และความเข้าใจระหว่างมนุษย์และสัตว์ สร้าง Interface สำหรับการเชื่อมต่อที่มีความหมาย และ 3.AI สำหรับเสริมศักยภาพสัตวแพทย์และผู้ดูแลสัตว์ ออกแบบโซลูชั่น AI ที่ช่วยจัดการงานบริหารและยกระดับการดูแลสัตว์...

ทั้งนี้ การแข่งขันให้ความสำคัญกับการพัฒนา AI อย่างยั่งยืน โดยมีการแข่งขันพิเศษสำหรับการสร้างนวัตกรรมที่ประหยัดทรัพยากรและลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ผู้เข้าแข่งขันสามารถเลือกพัฒนาโครงการที่เกี่ยวกับหมูเด้ง ช้าง หรือสัตว์ชนิดอื่น ๆ ตามที่สนใจ โดยสามารถใช้ชุดข้อมูลที่หลากหลายและเครื่องมือ AI ที่ทันสมัย

หมูเด้ง ลูกฮิปโปน้อยสุดน่ารักได้สร้างความประทับใจไปทั่วโลก นับตั้งแต่คลิปวิดีโอน่ารักของหมูเด้งแพร่สะพัดไปทั่วโลก ผู้คนนับล้านต่างหลั่งไหลไปชม หลงใหลในตัวหมูเด้ง และกระตุ้นความสนใจในสวนสัตว์และการอนุรักษ์ธรรมชาติ จึงเป็นโอกาสสำคัญที่หาได้ยากของประเทศไทยในการเป็นผู้นำบนเวทีโลกในการสร้างความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้นระหว่างมนุษย์ ธรรมชาติ และเทคโนโลยี โดยเฉพาะในยุคที่ปัญญาประดิษฐ์ (AI) กำลังสร้างผลกระทบมากขึ้นต่อชีวิตมนุษย์และธรรมชาติ

Moodeng AI Challenge คือการแข่งขัน hackathon ระดับโลกเพื่อไปสู่โลกที่มนุษย์ สัตว์ และ AI รักกัน อยู่ร่วมกันได้ยั่งยืนยิ่งกว่าเดิม จัดโดยเครือข่ายผู้นำทางความคิดด้าน AI ของประเทศไทย ภายใต้ความร่วมมือกับมหาวิทยาลัย MIT

การแข่งขันครั้งนี้ตั้งโจทย์ว่าเราจะสามารถสร้างโมเดล AI แบบ multimodal ขั้นสูงและ large language model เพื่อถอดรหัสและตีความการสื่อสารระหว่างคนกับสัตว์ ซึ่งเป็นความพยายามที่ยังไม่ประสบความสำเร็จมาก่อนได้หรือไม่

นอกจากนี้ เมื่อผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมของ AI สูงขึ้น ก็ยิ่งเกิดคำถามสำคัญว่า เราจะออกแบบ model ขนาดเล็กที่ประหยัดพลังงานโดยยังคงความสามารถที่ทรงพลังได้อย่างไร?

โดยเชิญชวนให้นักศึกษา นักสร้างนวัตกรรม นักวิจัย และผู้หลงใหล AI จากทั่วโลกส่งวิธีแก้ปัญหาใหม่ ๆ ที่ทำให้เข้าใจสัตว์อย่างหมูเด้งมากขึ้น ในขณะเดียวกันก็ให้ความสำคัญกับการออกแบบที่ยั่งยืนและคำนึงถึงทรัพยากร โดยหวังว่า Moodeng AI Challenge จะเป็นจุดเริ่มต้นสำคัญของนวัตกรรมการใช้ AI เพื่อต่อยอดองค์ความรู้ที่จำเป็นต่อการกระชับความสัมพันธ์และสร้างประโยชน์ต่อกันและกันอย่างยั่งยืนระหว่างมนุษย์และธรรมชาติ และเป็นตัวอย่างของการขยายผล Soft Power จากประเทศไทยไปสู่วงการวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีระดับโลก

วัตถุประสงค์ของโครงการนี้ เป็นการใช้ประโยชน์จาก large multimodal AI system และ language model ในการถอดรหัสพฤติกรรมและการสื่อสารของสัตว์ส่งเสริมปฏิสัมพันธ์ระหว่างคนกับสัตว์เพื่อทำให้เกิดความเชื่อมโยงกับธรรมชาติที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้น

โดยใช้หมูเด้ง เป็นกรณีศึกษาและแหล่งของ Input การพัฒนาความเข้าใจเกี่ยวกับสติปัญญาของสัตว์อาจจุดประกายให้เกิด framework ใหม่สำหรับสาขา AI ให้ความสำคัญกับวิธีแก้ปัญหา AI ที่ใช้ทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพ ลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมโดยไม่ลดประสิทธิผลกระตุ้นให้ไตร่ตรองถึงการมีปฏิสัมพันธ์ที่มีจริยธรรมและมีความหมายกับสัตว์ป่า...

สำหรับรางวัลสำหรับผู้ชนะ ประกอบด้วย รางวัลใหญ่ : เงินรางวัล 35,000 บาท พร้อมโอกาสพิเศษในการพบกับหมูเด้ง รางวัลแต่ละด้าน : เงินรางวัล 17,500 บาทต่อด้าน ผู้ชนะทุกรางวัลจะได้รับตั๋วเครื่องบิน (สนับสนุนโดย ViaLink) เพื่อเข้าร่วมกิจกรรมพิเศษกับหมูเด้ง

คณะกรรมการตัดสินประกอบด้วยผู้เชี่ยวชาญจาก MIT Media Lab, ViaLink และองค์การสวนสัตว์แห่งประเทศไทย การแข่งขันเปิดรับผลงานตั้งแต่วันที่ 21 มกราคม ถึง 1 พฤษภาคม 2568 และจะประกาศผลในวันที่ 1 มิถุนายน 2568

สำหรับข้อมูลเพิ่มเติมและการส่งผลงาน กรุณาเยี่ยมชม: https://moodeng.media.mit.edu/

เปิดโอกาสให้ เริ่มส่งผลงาน ตั้งแต่วันที่ 21 มกราคม 2568 หมดเขตส่งผลงานวันที่ 1 พฤษภาคม 2568 รอบตัดสินตั้งแต่วันที่ 1-14 พฤษภาคม 2568

โดยการแข่งขันนี้จัดตั้งเพื่อ ให้ AI เพื่อถอดรหัสการสื่อสารของสัตว์ และให้ AI เพื่อส่งเสริมปฏิสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์และสัตว์ รวมทั้งให้ AI ที่ช่วยงานเจ้าหน้าที่สวนสัตว์...


เปิด 5 ผลไม้เสริมพลังทางเพศ อร่อย-สุขภาพดีเพิ่มความฟิตปั๋ง!

ใครจะคิด! 5 ชนิดผลไม้นี้ ช่วยเสริมพลังทางเพศ ได้ทั้งความอร่อย-สุขภาพดี และยังช่วยเพิ่มความฟิตปั๋ง!

อย่างที่เราทราบกันดีว่า “ผลไม้” มีคุณสมบัติในการช่วยบำรุงสขภาพ มีสารที่ช่วยส่งเสริมร่างหายให้แข็งแรงมากยิ่งขึ้น แต่เคยทราบกันบ้างหรือไม่ว่า.. “ผลไม้หลายชนิดมีส่วนช่วยเสริมสร้างสมรรถภาพทางเพศได้อย่างน่าสนใจ” เนื่องจากมีสารอาหาร วิตามิน และแร่ธาตุที่ช่วยกระตุ้นระบบต่างๆ ในร่างกาย รวมถึงระบบสืบพันธุ์ ทำให้คุณรู้สึกกระปรี้กระเปร่าและมีพลังมากขึ้น

เรามาดูกันว่า “ผลไม้ 5 ชนิดยอดนิยมที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพทางเพศ” มีอะไรบ้าง?

1.กล้วย เป็นผลไม้ที่อุดมไปด้วยโพแทสเซียม ช่วยเพิ่มพลังงานและความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ บำรุงระบบประสาทและช่วยให้ผ่อนคลาย นอกจากนี้ กล้วยยังมีเอนไซม์โบรมีเลน (Bromelain) ที่เชื่อว่าช่วยเพิ่มสัญชาตญาณทางเพศ ปริมาณที่ควรทาน: 1-2 ผลต่อวัน

2.แตงโม

สำหรับแตงโมมีสารซิทรูลีน (Citrulline) ซึ่งร่างกายจะเปลี่ยนเป็นอาร์จินีน (Arginine) ช่วยขยายหลอดเลือด ทำให้การไหลเวียนโลหิตดีขึ้น เปรียบเสมือนไวอากร้าจากธรรมชาติ ปริมาณที่ควรทาน: 1-2 ชิ้นต่อวัน

3.มังคุด

เป็นผลไม้ที่มีสารต้านอนุมูลอิสระสูง ช่วยลดความเครียดและอ่อนล้า บำรุงระบบภูมิคุ้มกัน และอาจช่วยเพิ่มระดับฮอร์โมนเพศชาย ปริมาณที่ควรทาน: 5-10 ผลต่อวัน

4.สตรอเบอรี่

อุดมไปด้วยวิตามินซี แต่ใครจะรู้ว่า สตอเบอรี่ช่วยเพิ่มความต้องการทางเพศและปรับปรุงคุณภาพอสุจิ ปริมาณที่ควรทาน: 1 ถ้วยต่อวัน

5.อะโวคาโด

ในอะโวคาโด อุดมไปด้วยวิตามินบี, วิตามินอี และโพแทสเซียม ช่วยเพิ่มระดับฮอร์โมนเพศชาย และบำรุงสุขภาพหัวใจ แต่ควรทานในปริมาณที่เหมาะสม ปริมาณที่ควรทาน ½ ผลต่อวัน

ทั้งนี้ ในการทาน “5 ผลไม้เสริมพลังทางเพศ” พึงระลึกไว้ว่า “ผลไม้ไม่ใช่ยา” ไม่สามารถรักษาโรคทางเพศได้ หากอยากมีพลังทางเพศและร่างกายที่แข็งแรงขึ้น จึงควรทานอาหารให้ครบ ทานผลไม้ดังกล่าวควบคู่กับการออกกำลังกาย ดื่มน้ำให้เพียงพอ หลีกเลี่ยงอาหารแปรรูป และที่สำคัญคือการนอนหลับพักผ่อนอย่างเพียงพอจะช่วยให้ร่างกายฟื้นฟูและพร้อมสำหรับกิจกรรมต่างๆ อีกด้วย.....


องค์การอวกาศยุโรป หรือ ESA ประกาศการสิ้นสุดภารกิจยานอวกาศ Gaia

นักสร้างแผนที่ทางช้างเผือก อย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 15 มกราคม 2025 หลังจากเชื้อเพลิงในยานใกล้หมดลง Gaia ออกเดินทางจากโลกเมื่อวันที่ 19 ธันวาคม 2013 พร้อมภารกิจเฝ้าติดตามวัตถุมากกว่า 2,000,000,000 ชิ้น เพื่อสร้างแผนที่ทางช้างเผือกที่ดีที่สุดในประวัติศาสตร์

โดยตลอดทศวรรษที่ผ่านมา ยานอวกาศลำนี้ได้ปฏิวัติวงการดาราศาสตร์ ด้วยการสร้างแผนที่สามมิติที่แม่นยำที่สุดของทางช้างเผือก ผ่านการสำรวจมากกว่า 3 ล้านล้านครั้ง ซึ่งขยายขอบเขตความเข้าใจของเราต่อโครงสร้างและวิวัฒนาการของกาแล็กซี

ยาน Gaia สำรวจห้วงอวกาศจากวงโคจร ณ จุดลากรองจ์ (Lagrangian) L2 ระหว่างโลก-ดวงอาทิตย์ ห่างไป 1,500,000 กิโลเมตรจากโลก

กล้องบนยาน Gaia เป็นกล้องโทรทรรศน์ 2 ตัวที่มีมุมมองการมองเห็นได้ 106 องศา ทำให้สามารถวัดระยะห่างของวัตถุท้องฟ้าได้อย่างแม่นยำผ่านวิธีพารัลแลกซ์ (Parallax) นั่นคือเหมือนเราปิดตาทีละข้างแล้วมองเหรียญบนโต๊ะ เราจะเห็นว่าตำแหน่งของเหรียญเคลื่อนเมื่อเทียบจากการมองด้วยตาซ้ายและขวา เมื่อเราขยับออกไกลยิ่งขึ้น ตำแหน่งที่เลื่อนไปนั้นก็จะยิ่งน้อยลง ซึ่งนักดาราศาสตร์ใช้มุมของการเลื่อนของภาพเมื่อมองจากมุมที่ต่างกันของสองกล้อง เพื่อวัดระยะที่แม่นยำของวัตถุท้องฟ้า

นอกจากนี้ Gaia ยังมีอุปกรณ์ Blue and Red Photometers เพื่อวัดความสว่างและสีของดวงดาว ซึ่งทำให้นักดาราศาสตร์ทราบถึงอุณหภูมิ มวล และอายุ ของดวงดาวนั้น ๆ และอุปกรณ์ Radial Velocity Spectrometer เพื่อวัดความเลื่อนสีของสเปกตรัม ที่ทำให้รู้ถึงการเคลื่อนที่ของดวงดาว ว่าเคลื่อนเข้าหา หรือออกจากจากยานอวกาศ และสเปกตรัมของแสงดาว ช่วยให้นักดาราศาสตร์ทราบถึงองค์ประกอบทางเคมีของดวงดาวได้

ทุกครั้งที่ยาน Gaia ปล่อยข้อมูลใหม่ จะเป็นการเผย ‘แผนที่กาแล็กซี่ทางช้างเผือกที่ดีที่สุด ณ ปัจจุบัน’ เสมอ โดยนักดาราศาสตร์ได้เตรียมดาวน์โหลดชุดสุดท้ายจาก Gaia เพื่อเตรียมเผยแพร่ข้อมูลชุดที่ 4 ในปี 2026 และชุดที่ 5 ภายในปี 2030

นอกจากบทบาทการสร้างแผนที่ของทางช้างเผือก ภารกิจของ Gaia ยังได้พบ Gaia BH3 หลุมดำที่มีมวลมากที่สุดในทางช้างเผือก ตรวจพบดาวเคราะห์น้อยพร้อมดวงจันทร์รวมประมาณ 350 ดวง และค้นพบ ‘กาแล็กซีผี’ ชื่อว่า Antlia 2 ซึ่งมีขนาดใหญ่ แต่ความสว่างน้อยกว่าเมฆแมกเจลแลนใหญ่ (Large Magellanic Cloud) ถึง 10,000 เท่า ซึ่งการค้นพบนี้นั้นไม่สามารถค้นพบได้ด้วยกล้องตัวอื่น

หลังจากนี้ จะมีการทดสอบเทคโนโลยีและอุปกรณ์ต่าง ๆ ยาน Gaia เป็นครั้งสุดท้าย ก่อนที่ ESA จะส่งยานเข้าสู่วงโคจรที่ปลอดภัยรอบดวงอาทิตย์ และปลดเกษียณ ‘นักสร้างแผนที่ทางช้างเผือก’ อย่างเต็มรูปแบบในวันที่ 27 มีนาคม 2025


สุดยอดสายพันธุ์มะเขือ ยิ่งกินยิ่งดีต่อสุขภาพแต่มีข้อต้องระวัง

เปิด สุดยอดสายพันธุ์มะเขือ ยิ่งกินยิ่งดีต่อสุขภาพ ไม่ได้แล้วต้องหามากิน แต่มีข้อที่ต้องระวังในการกินเหมือนกัน มะเขือ เป็นผักพื้นบ้าน เป็นผักสวนครัวรั้วกินได้ ที่ใช้เป็นส่วนประกอบในอาหารไทยหลายชนิด แต่หลายคนก็ไม่ยอมรับทั้งกลิ่นและรสของมะเขือที่เฝื่อนและขมนิดๆ แม้จะไม่ปฏิเสธแกงที่มีมะเขือใส่มาด้วย แต่ก็มักจะเขี่ยมะเขือไว้ข้างจานก่อนเปิบ ซึ่งในตำราแพทย์แผนไทย ระบุว่ามะเขือมีคุณสมบัติเป็นยา ผลรสจืด เป็นยากัดเสมหะ แก้น้ำลายเหนียว แก้ไข้สันนิบาต แก้ปวดเมื่อย ฟกช้ำ บวมอักเสบ ทำให้โลหิตไหลเวียนดี ราก รสขื่นเอียน เปรี้ยวเล็กน้อย เป็นยาขับเสมหะ แก้น้ำลายเหนียว แก้ไข้สันนิบาต นำไปแช่น้ำกินแก้ไอ ขับเสมหะ ลดไขมันในเลือด กระทุ้งพิษไข้ แก้ไข้ที่มีพิษร้อน หากนำมาเคี้ยวจะช่วยลดอาการเหงือกบวม เหงือกอักเสบ และปวดฟัน

อย่างไรก็ตาม มะเขือมีหลายพันธุ์ และแต่ละพันธุ์มีรสชาติแตกต่างกันไป แต่เรื่องสรรพคุณทางยานั้น ดีเยี่ยมไม่แตกต่างกันเลย มาดูกันว่าแต่ละพันธุ์มีคุณสมบัติ และมีสรรพคุณทางยาอะไรบ้าง

ลักษณะผลเป็นทรงกลม แป้น พบเห็นได้หลากหลายสีทั้งสีขาว สีเขียว สีม่วง รวมถึงสีส้มและเหลือง บางพันธุ์มีลายที่บริเวณผิว เนื้อแน่นกรอบ มักทานคู่กับเมนูน้ำพริก นำไปผัด หรือแกงเขียวหวาน สรรพคุณ ช่วยลดระดับคอเลสเตอรอล ช่วยย่อยอาหาร บำรุงหัวใจ ช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือด ช่วยขับพยาธิ เส้นใยเยอะทำให้อิ่มท้องได้นานอีกด้วย

1.มะเขือยาว

ลักษณะผลเป็นทรงเรียวยาว เปลือกมีทั้งสีเขียวอ่อนและสีม่วง ให้รสหวานเมื่อลูกอยู่ในระยะสุก นิยมนำไปปรุงเป็นเมนูประเภทผัด แกง ชุบไข่แล้วทอด หรือย่างแล้วยำ ทานคู่กับน้ำพริก สรรพคุณ เต็มไปด้วยวิตามินและเกลือแร่ มีไฟเบอร์สูงช่วยขับถ่าย มีส่วนช่วยในการรักษาหลอดเลือดหัวใจ แคลอรีต่ำ

2.มะเขือพวง

ลักษณะผลขนาดเล็กเม็ดกลม ๆ ออกติดกันเป็นพวงคล้ายองุ่น เปลือกด้านนอกหนากว่ามะเขือประเภทอื่น ๆ ให้รสขม เฝื่อน ๆ นิยมเป็นผักแกล้มน้ำพริก เมนูผัดเผ็ด แกงป่า แกงกะทิ และพะแนง สรรพคุณ แก้ไอ ขับเสมหะ ช่วยให้เจริญอาหาร มีเส้นใยเพคตินช่วยขับถ่าย

มะเขือพวงเป็นพืชที่ช่วยเสริมสุขภาพ โดยมีสรรพคุณตามตำราแพทย์แผนไทยคือ ช่วยเจริญอาหาร ย่อยอาหาร ช่วยระบบขับถ่าย บำรุงธาตุ ขับเสมหะ แก้ไอ ช่วยให้โลหิตหมุนเวียนดี แก้ฟกช้ำ ไอเป็นเลือด ฝีบวมมีหนอง

ข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ได้แสดงคุณสมบัติที่เด่นชัดของมะเขือพวง ในการเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันของลำไส้เพื่อตอบสนองต่อสารพิษที่เข้ามายังระบบทางเดินอาหาร มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระช่วยป้องกันความเสื่อมและแก่ก่อนวัย มีฤทธิ์ช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในโรคเบาหวาน อีกทั้งยังมีสารอาหารที่จำเป็นต่อร่างกายหลายชนิด

3.มะเขือขื่น

หรือเรียกอีกชื่อว่า “มะเขือแจ้” ลักษณะของผลจะเป็นลูกค่อนข้างเล็กกลม ๆ สีเหลืองสดใส ด้านในเมล็ดเยอะ ให้รสเปรี้ยวขื่น ๆ ภาคเหนือ ภาคอีสานนิยมใช้ปรุงในอาหาร ทั้งเมนูส้มตำ หรือส้ามะเขือ มะเขือขื่นมีสรรพคุณ ช่วยขับเสมหะ แก้น้ำลายเหนียว

4.มะเขือม่วง

ลักษณะผล ทรงกลม ยาวดูตัน ๆ ป้อม ๆ อวบ ๆ กว่ามะเขือยาว ผิวด้านนอกมันเงา สีม่วงเข้ม เนื้อด้านในนุ่มแน่น นิยมนำไปย่าง ทานคู่กับน้ำพริก ยำ สรรพคุณในมะเขือม่วงมีสารแอนโทไซยานินทำหน้าที่ช่วยต้านอนุมูลอิสระ ลดระดับคอเลสเตอรอล ลดความเสี่ยงเกิดโรคหลอดเลือดหัวใจ

ควรรับประทานในปริมาณที่เหมาะสม เพราะในมะเขือมีสารโซลานิน อาจสะสมในร่างกายแล้วไปรวมตัวกับไขมันไม่ดี ซึ่งจะเกาะตามข้อต่อ ทำให้ปวดข้อหรือเป็นตะคริวได้

อ้างอิงข้อมูลจาก เว็บไซต์หมอชาวบ้าน และข้อมูลจาก https://bit.ly/4ecYrc8 และ https://bit.ly/3Xnou8Y...


อายุวัฒนะกาแฟ?

สวนทางแตกต่างอย่างชนิดอยู่คนละขั้ว ยืนคนละข้าง กับ “สุขบัญญัติแห่งชาติ” ที่คนไทยเราท่องติดปากกันมาตั้งแต่เด็กว่า 1 ใน 10 ข้อของสุขบัญญัติแห่งชาตินั้น ระบุว่า งดดื่มชา กาแฟ แล้วให้ดื่มน้ำสะอาดมากๆ 8 – 10 แก้วต่อวัน เพื่อสุขภาพพลามัยที่

เมื่อนักวิชาการด้านโภชนาการยุคใหม่จำนวนหนึ่ง ออกมาเปิดเผยผลการศึกษาวิจัยเกี่ยวกับคุณประโยชน์ของการดื่มชา กาแฟ ต่อสุขภาพของผู้ดื่มกันอยู่เป็นระยะๆ

ยกตัวอย่างในการศึกษาวิจัยก่อนหน้า โดยโรงเรียนแพทย์แห่งมหาวิทยาลัยยูทาห์ เมืองซอลต์เลกซิตี รัฐยูทาห์ ประเทศสหรัฐอเมริกา ระบุว่า การดื่มชา กาแฟ อาจจะช่วยผู้ดื่ม ลดความเสี่ยงจากการป่วยด้วยโรคมะเร็งที่พบบ่อย (Common cancer) ในประชากรทั่วโลกได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง โรคมะเร็งที่เกิดขึ้นกับอวัยวะส่วนศีรษะและคอ ซึ่งโรคมะเร็งที่เกิดขึ้นกับอวัยวะทั้งสองส่วนนี้ ตามสถิติข้อมูลเมื่อปี 2020 (พ.ศ. 2563) ระบุว่า พบผู้ป่วยรายใหม่จำนวนมากกว่า 745,000 ราย และมีผู้ป่วยเสียชีวิตกว่า 364,000 ราย

ทั้งนี้ คณะผู้ศึกษาวิจัยจากโรงเรียนแพทย์แห่งมหาวิทยาลัยยูทาห์ ได้ติดตามกลุ่มตัวอย่างที่ดื่มกาแฟวันละ 4 แก้วหรือมากกว่านั้น กับกลุ่มตัวอย่างที่มีสุขภาพดีที่ไม่ดื่มกาแฟ

ต้นกาแฟที่กำลังออกเมล็ด (Photo : AFP)

ผลปรากฏว่า กลุ่มตัวอย่างมีอัตราความเสี่ยงที่จะเป็นมะเร็วบริเวณอวัยวะศีรษะและคอ ต่ำกว่าร้อยละ 17 และอัตราต่ำกว่าร้อยละ 30 สำหรับมะเร็งบริเวณปาก รวมถึงร้อยละ 22 ในผู้ป่วยมะเร็งบริเวณช่องคอ

ส่วนกลุ่มตัวอย่างที่ดื่มกาแฟ 3 – 4 แก้วต่อวัน ปรากฏว่า ช่วยลดอัตราความเสี่ยงป่วยด้วยโรคมะเร็งบริเวณคอหอยส่วนล่างได้ถึงร้อยละ 41 และกลุ่มตัวอย่างที่ดื่มชา ก็จะลดอัตราความเสี่ยงโรคมะเร็งบริเวณนี้ได้ราวร้อยละ 29

คณะผู้ศึกษาวิจัยจากโรงเรียแพทย์แห่งมหาวิทยาลัยยูทาห์ ยังระบุด้วยว่า สารคาเฟอีนที่อยู่ในชาและกาแฟ ไม่น่าจะมีผลต่อทำให้ผู้ดื่มมีอัตราความเสี่ยงต่ำที่จะป่วยด้วยโรคมะเร็ง เพราะในการวิจัย ยังได้ศึกษาติดตามจากกลุ่มตัวอย่งที่ดื่มกาแฟที่ไม่มีคาเฟอีน หรือคาเฟอีนถูกทำให้ลดลงจนเหลืออยู่น้อยเต็มที ผลปรากฏว่า กลุ่มตัวอย่างผู้ดื่มก็มีอัตราความเสี่ยงป่วยด้วยโรคมะเร็งบริเวณปากลดลงที่ร้อยละ 25

ทางด้าน กลุ่มตัวอย่างที่ดื่มชา 1 แก้วต่อวัน หรือน้อยกว่านั้น ปรากฏว่า ช่วยลดอัตราความเสี่ยงป่วยโรคมะเร็งบริเวณศีรษะและคอได้ที่ร้อยละ 9 อย่างไรก็ตาม ในกลุ่มตัวอย่างที่ดื่มชามากกว่า 1 แก้วต่อวัน กลับมีความเสี่ยงที่จะป่วยโรคมะเร็งบริเวณลำคอ หรือช่องคอ ที่ร้อยละ 38 ทั้งนี้ เหล่านักวิจัย ตั้งข้อสงสัยว่า ชาอาจจะไปช่วยเพิ่มความกรดในผู้ดื่มที่มีปัญหาเรื่องภาวะกรดไหลย้อนภายในช่องบริเวณลำคอของผู้นั้นก็เป็นได้

ทั้งนี้ ผลการศึกษาวิจัยข้างต้น ได้มีการตีพิมพ์เผยแพร่ลงในวารสารโรคมะเร็ง เมื่อช่วงปลายเดือนธันวาคม 2024 (พ.ศ. 2567) ที่เพิ่งผ่านพ้นมา ยอดฮิตของชาวโลก แม้ในหมู่ผู้นำประเทศระดับโลก (Photo : AFP)

ตามมาด้วยผลการศึกษาวิจัยโดยคณะแพทย์ของโรงพยาบาลเด็กเบนิออฟของซานฟรานซิสโก แห่งมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย ประเทศสหรัฐฯ ซึ่งมีการเผยแพร่เมื่อช่วงเดือนตุลาคมปีที่แล้ว ระบุว่า สารคาเฟอีนที่มีอยู่ในกาแฟ อาจส่งผลดีต่อสุขภาพของทารกในครรภ์ที่จะเกิดใหม่ โดยจะช่วยป้องกันการเกิดโรคสมองพิการของเด็กทารกเกิดใหม่ที่อาจจะเกิดขึ้นหลังคลอดได้

โดยโรคสมองพิการ (Cerebral Palsy) ในเด็กทารกเกิดใหม่หลังคลอดข้างต้นนั้น ก็เป็นผลจากการเด็กทารกฯ มีภาวะขาดออกซิเจนไปเลี้ยงร่างกายในระดับรุนแรงอันเกิดจากการหายใจผิดปกติ

ทั้งนี้ โรคสมองพิการ ก็เป็นโรคทางระบบประสาท ทำให้เกิดความบกพร่องทางด้านกล้ามเนื้อ ท่าทาง การเคลื่อนไหวทางร่างกายต่างๆ เนื่องจากสมองได้รับความเสียหาย

ก่อนหน้านี้ ทางคณะผู้ศึกษาวิจัยจากสถาบันดังกล่าว ก็ยังเคยพบว่า สารคาเฟอีนนั้น สามารถช่วยกระตุ้นเกี่ยวกับระบบทางเดินหายใจในทารกได้ด้วย

อย่างไรก็ตาม คณะนักวิจัยได้แนะนำว่า ยังต่อศึกษากันต่อไป ซึ่งจะส่งผลดีต่อการป้องกันโรคสมองพิการในเด็กทารก โดยโรคนี้แต่ละปี พบมีจำนวนเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในกลุ่มประเทศยากจน

ล่าสุด วารสารโรคหัวใจแห่งยุโรป ก็ได้รายงานเกี่ยวกับประโยชน์ของกาแฟที่มีต่อผู้ดื่ม ซึ่งดำเนินการศึกษาวิจัยโดยมหาวิทยาลัยทูเลน เมืองนิวออร์ลีนส์ รัฐลุยเซียนา ประเทศสหรัฐฯ

โดยผลการศึกษาวิจัย ระบุว่า การดื่มกาแฟอาจช่วยลดความเสี่ยงการเสียชีวิต หรือตายก่อนวัยอันควรให้แก่ผู้ดื่มที่เป็นวัยผู้ใหญ่ ซึ่งการเสียชีวิตก่อนวัยอันควรข้างต้น ก็มาจากสาเหตุของโรคต่างๆ รวมถึงโรคหัวใจด้วย

อย่างไรก็ตาม ในศึกษาวิจัย ก็เปิดเผยด้วยว่า การดื่มกาแฟดังกล่าว ก็จะต้องมีช่วงเวลาของการดื่มด้วยเช่นกัน นั่นคือ ควรดื่มในช่วงเวลาเช้า โดยระบุเวลาว่า อยู่ในระหว่าง 04.00 น. ถึงเวลา 11.59 น. จะเป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุด ยิ่งกว่าการดื่มในช่วงเวลาอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นในช่วงหลังเที่ยงวันถึงเวลาเย็น และช่วงเวลาดึกตั้งแต่ 23.00 น. ไปจนถึงก่อนตี 4 หรือ 4 นาฬิกา

นอกจากนี้ ปริมาณการดื่ม ก็อยู่ที่ราวๆ 2 – 4 แก้วต่อวันเท่านั้น จึงจะส่งผลดีต่อสุขภาพ เมื่อเปรียบเทียบกับกลุ่มตัวอย่างที่ไม่ดื่มกาแฟ และผู้ที่ดื่มกาแฟมากเกินไประดับตลอดทั้งวัน

ทั้งนี้ ทางคณะผู้ศึกษาวิจัยได้ติดตามในกลุ่มตัวอย่างจำนวน 40,000 คน ในระหว่างช่วงปี 1999 – 2018 (พ.ศ. 2542 – 2561)

อย่างไรก็ตาม แม้ผลการศึกษาวิจัยที่ออกมานี้มีความน่าสนใจ แต่ก็ต้องมีศึกษาวิจัยเพิ่มเติมกันอีก

กาแฟถูกนำไปปรุงแต่งด้วยส่วนผสมต่างๆ จนกลายเป็นเครื่องดื่มยอดฮิตหลากหลายรูปแบบ (Photo : AFP) รวมถึงบรรดานายแพทย์ และนักวิทยาศาสตร์ผู้เชี่ยวชาญด้านโภชนาการ ก็แนะนำว่า หากจะดื่มกาแฟ โดยเฉพาะในหมู่คนเอเชีย ที่มีรูปร่างทางร่างกายเล็กกว่าชาวตะวันตก ก็ควรจะต้องลดปริมาณกาแฟลงมาเพื่อความปลอดภัย ตลอดจนผู้ที่ไม่เคยดื่มกาแฟ หากต้องการจะดื่มเพื่อให้ได้ประโยชน์ดังกล่าว ก็ควรปรึกษาแพทย์ก่อน เพื่อความปลอดภัยของผู้ดื่มเช่นกัน ร่างกายของเราเหมาะกับกาแฟ และหรือเหมาะกับสารหลายอย่างในกาแฟหรือไม่ เช่น สารคาเฟอีน เป็นต้น เพราะกาแฟไม่ได้เป็นประโยชน์สำหรับทุกคน แต่อาจจะเกิดโทษต่อผู้ดื่มก็ได้ เช่น ทำให้ใจสั่น นอนไม่หลับ เป็นต้น แบบเข้าทำนองที่ว่า ลางเนื้อชอบลางยา ตามสำนวนไทยเรา