ครบเครื่อง
ญ. อมตะ



วธ.ปลุกพลังรัก มอบรางวัล “วันภาษาไทยแห่งชาติ” 2568 “อ.พยัพ - ครูสลา” นำทีมศิลปินรับรางวัล “เพชรในเพลง”

กระทรวงวัฒนธรรมจัดงาน “วันภาษาไทยแห่งชาติ พ.ศ. 2568” ภายใต้แนวคิด “ร่วมสืบสานภาษาไทย ภาษาของชาติ ปลูกปัญญาด้านภาษาอย่างยั่งยืน” โดยมี “นายประสพ เรียงเงิน” ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม เป็นประธาน พร้อม “นายพนมบุตร จันทรโชติ” อธิบดีกรมศิลปากร, “นางยุถิกา อิศรางกูร ณ อยุธยา” อธิบดีกรมส่งเสริมวัฒนธรรม ร่วมด้วยผู้บริหารกระทรวงวัฒนธรรม ศิลปิน ดารา นักร้อง และผู้ได้รับรางวัลเนื่องในวันภาษาไทยแห่งชาติ พุทธศักราช 2568 เข้าร่วม ณ หอประชุมใหญ่ ศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย

ภายในงานมีการจัดแสดงนิทรรศการและศิลปวัฒนธรรม ซึ่งเป็นกิจกรรมในการส่งเสริมการเรียนรู้ภาษาไทย และสร้างแรงบันดาลใจให้แก่เด็ก เยาวชน และประชาชนทั่วไป เพื่อให้เกิดการอนุรักษ์และการใช้ภาษาไทยอย่างภาคภูมิใจ ซึ่งหนึ่งในไฮไลท์สำคัญคือการมอบรางวัล “เพชรในเพลง” รางวัลประกวดเพลง และผู้ประพันธ์เพลง เพื่อยกย่องบุคคลในวงการเพลงที่มีผลงานดีเด่นด้านภาษาไทย รวมถึงเชิดชูเกียรติบุคคลที่มีความสามารถในการผสมผสานภาษา วรรณศิลป์ คีตศิลป์ และจินตนาการได้อย่างเหมาะสม ตลอดจนนักร้องที่ขับร้องเพลงได้ชัดเจน ถูกต้องตามหลักภาษาไทย สามารถใช้เสียงและถ่ายทอดจังหวะอารมณ์ในการขับร้องได้อย่างยอดเยี่ยม

โดย “กรมศิลปากร” มอบให้ทั้งสิ้น 20 รางวัล อาทิ รางวัลชนะเลิศผู้ประพันธ์คำร้องเพลงไทยลูกทุ่ง ได้แก่ “สลา คุณวุฒิ” จากเพลง “ผู้หญิงหัวใจอีสาน”, รางวัลชนะเลิศผู้ประพันธ์คำร้องเพลงเพื่อชีวิต ได้แก่ “พยัพ คำพันธุ์” จากเพลง “สู้ชีวิต”, รางวัลชนะเลิศผู้ขับร้องเพลงไทยสากลชาย ได้แก่ “พลพล พลกองเส็ง” จากเพลง “อยากให้รู้ว่าห่วงใย”, รางวัลชนะเลิศผู้ขับร้องเพลงไทยลูกทุ่งชาย ได้แก่ “นัน อนันต์” จากเพลง “จีบเธอได้ไหม”, รางวัลชนะเลิศผู้ขับร้องเพลงเพื่อชีวิตชาย ได้แก่ วรพล นวลผกา (น๊อตตี้ freedom) จากเพลง “สู้ชีวิต” ฯลฯ

“อ.พยัพ” เผยความรู้สึกว่า “สำหรับรางวัลนี้เป็นรางวัลที่ยิ่งใหญ่ที่กระทรวงวัฒนธรรมได้จัดขึ้น เป็นรางวัลดีๆ ที่ส่งเสริมภาษาไทยของเหล่าศิลปินและอนุรักษ์วัฒนธรรมไทย ผมรู้สึกภูมิใจมากครับที่ ‘น๊อตตี้ freedom’ ได้รับรางวัลในเพลง ‘สู้ชีวิต’ ซึ่งเป็นบทประพันธ์ของผมที่มอบให้เขา เพลงนี้ผมเขียนด้วยจิตวิญญาณ เขียนด้วยความรู้สึก ทุกคนเกิดมาต้องสู้ชีวิตอย่างไปท้อแท้ ต้องอยู่ให้ได้ และภาษาไทยจะยังคงเป็นรากเหง้าของเพลง แม้กาลเวลาจะเปลี่ยนแปลงไป”

ด้าน “น๊อตตี้ freedom” กล่าวปิดท้าย “เพลงนี้ได้เรียบเรียงประพันธ์ขึ้นมาเพื่อให้กำลังใจคนที่กำลังท้อแท้ คนที่กำลังเผชิญอยู่ในทุกๆ วิกฤต ชีวิตยังมีพรุ่งนี้เสมอ อยากให้สู้ๆ กันไปครับ ขอบคุณสำหรับรางวัลมากๆ ครับ”


หญิงตายแล้วฟื้น เผยสิ่งที่เห็นในโลกหลังความตาย บอก "ไม่อยากกลับมาเลย"

หญิงคนหนึ่งที่ถูกประกาศว่าเสียชีวิตไปแล้วถึง 2 นาที ได้เผยสิ่งที่เธอเห็นจาก “โลกหลังความตาย” เจอสิ่งมีชีวิตคล้ายหนังดัง

นิโคล มิวส์ วัย 49 ปี ศิลปินคนหนึ่ง เปิดเผยกับสื่อ NeedToKnow ว่า ขณะนอนแน่นิ่งอยู่บนเตียงในโรงพยาบาล และถูกประกาศว่าเสียชีวิตไปแล้ว เธอรู้สึกเหมือนถูกดึงออกจากร่าง และเข้าสู่ “อุโมงค์แห่งแสง” ก่อนจะพบกับสิ่งมีชีวิตผิวสีน้ำเงิน

เธออยู่ในโรงพยาบาลหลังจากสูญเสียลูก และต้องเข้ารับการผ่าตัดฉุกเฉิน แต่ด้วยภาวะแทรกซ้อน ทำให้เธอเริ่มหมดสติเป็นระยะ ๆ จนในที่สุดหัวใจก็หยุดเต้น

“ฉันรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังเคลื่อนผ่านอุโมงค์แห่งแสงสีฟ้าและสีขาว มันไม่ใช่ลำแสง แต่เป็นทางเดินที่ดูเหมือนมีชีวิต” เธอกล่าว

มิวส์ ซึ่งมาจากประเทศกรีซ เล่าว่า แสงนั้นมีทั้งอุณหภูมิและเสียงคล้ายดนตรีที่หลอมรวมกับสายน้ำ และเมื่อเธอผ่านเข้าไป ก็พบกับพื้นที่เรืองรองที่เต็มไปด้วยสีสันนุ่มนวลอย่างสีเงิน สีม่วงอ่อน และสีน้ำเงินเข้มเปล่งประกาย

“มันไม่ได้รู้สึกน่ากลัวเลย กลับรู้สึกเหมือนมีใครบางคนเรียกให้ฉันกลับบ้าน” เธอกล่าว

“ห้องนั้นกว้างใหญ่เกินจินตนาการ ใหญ่กว่าสิ่งปลูกสร้างใด ๆ บนโลก และทุกอย่างดูเหมือนเต้นเป็นจังหวะเบา ๆ คล้ายจังหวะหัวใจ” เธอเล่าเสริม “แล้วฉันก็เห็นพวกเขา”

มิวส์เผยว่า เธอได้รับการต้อนรับจากสิ่งมีชีวิตผิวสีน้ำเงิน หน้าตาเหมือนมนุษย์ คล้ายตัวละครในภาพยนตร์เรื่อง Avatar

“มีสิ่งมีชีวิตขนาดใหญ่สองตน นั่งอยู่บนบัลลังก์คล้ายหินอ่อนที่เปล่งประกายพลังงาน ดวงตาของพวกเขาใหญ่และเป็นสีคราม ลึกซึ้ง เต็มไปด้วยความเมตตาและความคุ้นเคย” เธอกล่าว “พวกเขาดูเหมือนมนุษย์ แต่มีเหงือกเล็ก ๆ ที่แก้ม และฉันจำได้ว่าเห็นหางคล้ายปลาแทนขา ปกคลุมด้วยเกล็ดแวววาว” :

“พวกเขาเป็นทั้งชายและหญิงในร่างเดียวกัน และไม่ได้สื่อสารด้วยคำพูด แต่ฉันเข้าใจทุกอย่างที่พวกเขาต้องการจะบอก” มิวส์เสริม

เธอกล่าวว่าแม้เธอจะไม่เข้าใจภาษาของพวกเขา แต่สิ่งมีชีวิตคล้ายตัวละครจาก Avatar เหล่านั้นกลับทำให้เธอรู้สึกอบอุ่นเหมือนได้กลับบ้าน และสื่อสารกับเธอทางจิตว่า แท้จริงแล้ว ชีวิตคือภาพลวงตา และเราจะเริ่มมีชีวิตจริง ๆ ก็ต่อเมื่อเราตายแล้ว

มิวส์ยังเล่าว่า สิ่งมีชีวิตเหล่านั้นบอกเธอว่า เธอไม่ได้เกิดมาเพื่อมีลูก แต่ได้รับพรพิเศษให้ทำหน้าที่ถ่ายทอดเรื่องราวเกี่ยวกับ “โลกหลังความตาย”

“ฉันรู้สึกเหมือนได้รับการเข้าใจอย่างลึกซึ้ง มากกว่าที่เคยรู้สึกมาตลอดชีวิต จนไม่อยากจากที่นั่นไปเลย” เธอกล่าว “ฉันเข้าใจสถานที่แห่งนี้ เข้าใจความรู้สึกนี้ และเชื่ออย่างแท้จริงว่านี่คือบ้านดั้งเดิมที่เราทุกคนเคยมาจาก”

“ฉันได้เรียนรู้ว่า ความตายไม่ใช่จุดจบ แต่คือการกลับไปใช้ชีวิตที่แท้จริงของเรา” มิวส์กล่าวเสริม

หลังจากที่ถูกประกาศว่าเสียชีวิตไปแล้วไม่กี่นาที มิวส์ก็ถูก “ดึงกลับ” เข้าร่างอย่างกะทันหัน และเมื่อสามีของเธอ คริสตอส วัย 65 ปี พยายามพูดด้วย เธอกลับสื่อสารด้วยเสียงแหลมสูงในภาษาที่ไม่มีใครรู้จัก

“มันฟังคล้ายเสียงคลิกของโลมา และมันเกิดขึ้นต่อเนื่องอยู่นาน จนทุกคนรอบข้างตกตะลึง แต่ฉันหยุดมันไม่ได้ มันไม่ใช่เสียงจากตัวฉันเอง แต่มันไหลผ่านตัวฉันออกมา” มิวส์เล่า

“ประสาทสัมผัสของฉันไวขึ้นมาก ฉันได้ยินอารมณ์ของผู้คนผ่านเสียงที่แปรเป็นสีสัน ฉันกลับมาในสภาพที่เปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง ราวกับได้เกิดใหม่อีกครั้ง” เธอกล่าวเสริม

ตั้งแต่เหตุการณ์ครั้งนั้น มิวส์ก็ไม่เคยมีประสบการณ์เฉียดตายอีกเลย แต่เธอบอกว่า มักเห็นภาพของสิ่งมีชีวิตผิวสีน้ำเงินเหล่านั้นอยู่บ่อยครั้ง

เธอเชื่อว่าพวกเขาไม่ใช่มนุษย์ต่างดาว แต่เป็นสิ่งมีชีวิตจากเผ่า "Apkallu" ซึ่งดำรงอยู่ข้ามมิติ และบางครั้งก็ถูกเรียกว่า “กึ่งเทพ” โดยเชื่อกันว่า พวกเขาเคยมอบอารยธรรมให้แก่มนุษยชาติ

ตามคำบอกเล่าของมิวส์ ภารกิจที่สิ่งมีชีวิตเหล่านี้มอบให้เธอ คือการส่งต่อข้อความว่า

“ความรัก ยิ่งใหญ่กว่าความตาย”

“ความรักจะชนะเสมอ เพราะมันคือจุดเริ่มต้นของเรา เราทุกคนคือครอบครัวเดียวกัน ไม่ว่าจะต่างกันด้านพรมแดน วัฒนธรรม ศาสนา หรือการเมืองก็ตาม ทุกสิ่งที่มีอยู่ ล้วนเกิดจากประกายเดียวกัน” เธอกล่าว

“ยิ่งเรายึดติดกับความกลัว ความเกลียดชัง และคำลวงมากเท่าไร มนุษยชาติก็ยิ่งถูกควบคุมได้ง่ายเท่านั้น”

“หากอยากสร้างสวรรค์บนโลก เราต้องใช้แต่ละวันในการส่งต่อความรัก” เธอกล่าวต่อ “ฉันไม่กลัวความตายอีกแล้ว เพราะฉันรู้ว่ามีอะไรที่รออยู่ในอีกฟากหนึ่ง มันไม่ใช่จุดจบ แต่คือการเริ่มต้นต่างหาก”


ฮือฮา! นักวิจัย มข. ค้นพบบึ้งแคระชนิดใหม่ของโลก ไทย-ลาวร่วมตั้งชื่อ 'บึ้งคำแพง'

นักวิจัย มข.ค้นพบบึ้งแคระชนิดใหม่ของโลก “บึ้งคำแพง” จาก สปป.ลาว สานสัมพันธ์มิตรภาพสองฝั่งโขงในงานวิจัยระดับนานาชาติ

29 กรกฎาคม 2568 - ผศ.ดร.นรินทร์ ชมภูพวง อาจารย์คณะเกษตรศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น หรือ มข.เปิดเผยว่าทีมวิจัย สาขากีฏวิทยา และโรคพืชวิทยา คณะเกษตรศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น ได้ลงพื้นที่สำรวจและศึกษาวิจัย นำมาสู่การค้นพบบึ้งแคระใหม่ของโลกที่มีชื่อว่า บึ้งคำแพง จากพื้นที่สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว โดยเป็นผลจากความร่วมมือระหว่างมหาวิทยาลัยขอนแก่น และมหาวิทยาลัยจำปาสัก ซึ่งงานวิจัยดังกล่าวเป็นการรายงานการค้นพบ บึ้งคำแพง ซึ่งจัดอยู่ในสกุล Phlogiellus และนับเป็นครั้งแรกที่มีการใช้เทคนิคทางชีววิทยาระดับโมเลกุลในการศึกษาบึ้งในสกุลนี้ โดยนำมาร่วมวิเคราะห์กับลักษณะทางสัณฐานวิทยาเพื่อการจำแนกชนิดอย่างแม่นยำ ตอกย้ำถึงความสำคัญของการใช้เครื่องมือทางวิทยาศาสตร์หลากหลายแขนงในการศึกษาความหลากหลายทางชีวภาพ

"บึ้งแคระชนิดใหม่นี้มีลักษณะที่น่าสนใจหลายประการ โดยเฉพาะในเพศเมียระยะโตเต็มวัยที่ตรวจพบในช่วงอุ้มถุงไข่ ซึ่งมีขนาดเล็กกว่าเพศเมียทั่วไปในสกุลเดียวกันถึง 3 เท่า ภายในถุงไข่ยังพบตัวอ่อนเพียง 7 ตัว ซึ่งเป็นจำนวนที่ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของบึ้งเพศเมียโดยทั่วไปสำหรับลักษณะที่อยู่อาศัย ทีมวิจัยพบว่ารังของ บึ้งคำแพง มักอยู่ใกล้กับรังมดหรือจอมปลวก และภายในรังยังพบกองซากมดและปลวกจำนวนมาก ซึ่งคาดว่าเป็นแหล่งอาหารหลักของบึ้งแคระชนิดนี้ การใช้ชีวิตเช่นนี้สะท้อนถึงพฤติกรรมการปรับตัวที่จำเพาะต่อสภาพแวดล้อม และยังเป็นข้อมูลใหม่ที่ช่วยเสริมความเข้าใจต่อระบบนิเวศขนาดเล็กในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้"

ผศ.ดร.นรินทร์ กล่าวอีกว่า ปัจจุบันปัญหาพื้นที่ป่าธรรมชาติถูกทำลายจากหลายปัจจัย เช่น การรุกพื้นที่ป่าเพื่อขยายพื้นที่เกษตรกรรมและที่อยู่อาศัยของมนุษย์ รวมถึงการขยายตัวของเมือง และปัญหาสภาพภูมิอากาศที่มีการเปลี่ยนแปลง อาจมีผลทำให้เกิดการสูญเสียแหล่งอาศัยของสิ่งมีชีวิต ซึ่งถ้าเป็นสิ่งมีชีวิตที่สามารถพบได้ในพื้นที่นั้นเพียงพื้นที่เดียว (Endemic species) อาจก่อให้เกิดการสูญพันธุ์ของสิ่งมีชีวิตชนิดนั้นได้

บึ้งก็เป็นหนึ่งในสิ่งมีชีวิตที่ได้รับผลกระทบดังกล่าวซึ่งในธรรมชาติมีบทบาทเป็นทั้งนักล่าที่ช่วยควบคุมประชากรแมลงหรือสัตว์ขนาดเล็ก และยังเป็นอาหารของสิ่งมีชีวิตบางชนิด เช่น ต่อแมงมุม (wasp)

“เมื่อปัญหาดังกล่าวส่งผลให้จำนวนประชากรบึ้งในธรรมชาติลดลงอย่างรวดเร็ว ระบบนิเวศในพื้นที่นั้นก็จะได้รับผลกระทบเช่นกัน ดังนั้นจึงควรวางแผนหาแนวทางอนุรักษ์พื้นที่ป่าธรรมชาติเพื่อให้สิ่งมีชีวิตขนาดเล็กเหล่านี้ยังคงมีแหล่งที่อยู่อาศัยต่อไป อย่างไรก็ตามสำหรับการค้นพบ บึ้งคำแพง ครั้งนี้ ไม่เพียงเป็นการเพิ่มชื่อใหม่ในสารบบทางอนุกรมวิธานของโลกเท่านั้น แต่ยังเป็นสัญลักษณ์ของพลังความร่วมมือข้ามพรมแดนไทย-ลาว ที่จะช่วยผลักดันให้การศึกษาทรัพยากรธรรมชาติในภูมิภาคก้าวหน้าไปอย่างมั่นคง พร้อมสืบสานคุณค่าของความหลากหลายทางชีวภาพในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ให้คงอยู่ต่อไปในอนาคต"


สวนนงนุชฯ จัดช้าง 73 เชือก แปรขบวนเทิดไท้องค์ราชัน สุดตระการตา

วันที่ 28 กรกฎาคม 2568 ณ สวนนงนุชพัทยา อำเภอสัตหีบ จังหวัดชลบุรี นายกัมพล ตันสัจจา ประธานสวนนงนุชพัทยา นำคณะผู้บริหาร พนักงานเกือบ 300 คน พร้อมช้างแสนรู้ 73 เชือก ร่วมขบวนพิธีถวายราชสดุดีเฉลิมพระเกียรติ พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรรามาธิบดีศรีสินทรมหาวชิราลงกรณ พระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว เนื่องในวโรกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษาครบ 73 พรรษา...

พิธีเริ่มต้นด้วยขบวนเฉลิมพระเกียรติ ชื่อชุด “เฉลิมฉัตรสุรเสียง สรรเสริญพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว” อันยิ่งใหญ่อลังการ นับเป็นการรวมพนักงานและช้างร่วมพิธีถวายพระพรจำนวนมากที่สุด โดยมีนายกัมพล ตันสัจจา เป็นประธานในพิธี วางพุ่มทอง-พุ่มเงิน เปิดกรวยกระทงดอกไม้ถวายราชสักการะ พร้อมนำกล่าวถวายราชสดุดีเฉลิมพระเกียรติ และกล่าวคำถวายพระพรชัยมงคล “ทรงพระเจริญ” ร่วมกันทั้งพิธี

ภายในงานยังมีการขับร้องเพลงสรรเสริญพระบารมี และเพลงสดุดีจอมราชา เพื่อแสดงความจงรักภักดีและสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ อีกหนึ่งไฮไลต์ของพิธี คือการแสดงถวายพระพรชุดพิเศษ โดยมีช้างแสนรู้จำนวน 6 เชือก นำขบวนถวายพวงมาลัยเบื้องหน้าพระบรมฉายาลักษณ์อย่างน่าประทับใจ สวนนงนุชพัทยาขอร่วมจารึกความภักดีแด่พระมหากษัตริย์ไทยผู้ทรงเป็นศูนย์รวมจิตใจของปวงชนชาวไทยตลอดมา ด้วยความจงรักภักดีอย่างสูงสุด...