

หลายครั้งที่เรามักได้ยินข่าวการจากไปของคนดังด้วยการหลับไปเฉยๆ หรือที่เรียกกันว่า “โรคใหลตาย” ที่มักพบได้บ่อยในวัยทำงาน โดยเฉพาะชาวเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มีสาเหตุจากอะไร และเราสามารถป้องกันได้หรือไม่
โรคใหลตาย คืออะไร โรคใหลตายคือการเสียชีวิตขณะนอนหลับ ในภาษาอังกฤษเรียกว่า Sudden unexplained nocturnal death syndrome (SUNDS) โรคนี้มีชื่อจำเพาะแตกต่างกันไปในแต่ละท้องถิ่น ในประเทศไทยเรียกว่า “ใหลตาย” ในญี่ปุ่นเรียก “Pokkuri Death Syndrome” (PDS) ส่วนฟิลิปปินส์ให้ชื่อว่า “Bangungut”
โรคใหลตายเป็นโรคทางกรรมพันธุ์ที่เกิดขึ้นจากความผิดปกติของเซลล์หัวใจ ทำให้คลื่นไฟฟ้าหัวใจที่ทำงานผิดปกติ ส่งผลต่อเนื่องให้เกิดภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะแบบสั่นพลิ้วขั้นรุนแรง ทำให้หมดสติ และเสียชีวิตในเวลาอันรวดเร็ว
ผู้ที่เป็นโรคใหลตายมีอาการแตกต่างกัน หรือบางรายอาจไม่มีอาการอะไรเลยก็ได้ ส่วนใหญ่แล้วผู้ป่วยโรคใหลตายมักเสียชีวิตฉับพลันขณะหลับโดยไม่ทราบว่ามีอาการผิดปกติมาก่อน แต่ในบางรายอาจมีอาการนำมาก่อน เช่น
หัวใจเต้นผิดจังหวะ อาจรู้สึกใจสั่น หายใจไม่อิ่ม
อาการชักเกร็ง หายใจติดขัดขณะนอนหลับ
เป็นลม หมดสติระหว่างนอน
หายใจเสียงดังหรือมีเสียงเฮือกขึ้นมาเหมือนหิวอากาศ
ปัสสาวะและอุจจาระราด
ใบหน้าและริมฝีปากเขียวคล้ำ
หากพบอาการดังกล่าว ควรรีบนำผู้ป่วยส่งโรงพยาบาลโดยเร็วที่สุด เพราะถึงแม้โรคใหลตายยังไม่ได้มีวิธีรักษาที่ต้นตอ แต่การแพทย์ก็มุ่งเป้ารักษาผู้ที่มีภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะแทน เช่น ฝังเครื่องกระตุกไฟฟ้าหัวใจ การจี้ไฟฟ้า หรือการใช้ยา โดยขึ้นอยู่กับแพทย์พิจารณา
ปัจจัยเสี่ยงที่ควรเลี่ยง
ปัจจัยส่งเสริมทำให้ผู้ป่วยมีพันธุกรรมโรคใหลตายเกิดภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะขั้นรุนแรงและอาจทำให้เสียชีวิตประกอบด้วย
การเป็นไข้สูง
การดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์
การใช้ยานอนหลับ
การขาดแร่ธาตุโพแทสเซียม
โรคใหลตาย ป้องกันได้ไหม
หากรู้ตัวว่าเป็นกลุ่มเสี่ยงดังกล่าว ควรลดและเลี่ยงปัจจัยส่งเสริมที่กล่าวมาด้านบน เช่น ถ้ามีไข้สูง ควรใช้ยาลดไข้ ลดและเลี่ยงเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ เป็นต้น รวมถึงการฝังเครื่องกระตุกหัวใจเข้าไปในร่างกาย
ขณะเดียวกัน ผู้ที่ไม่มีประวัติทางพันธุกรรมก็ควรตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ (Electrocardiogram – ECG) เป็นประจำทุกปี เนื่องจากคนไข้ที่เป็นโรคใหลตายจะมีความเสี่ยงเกิดภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะรุนแรงจนทำให้เสียชีวิตจากโรคใหลตาย ซึ่งเป็นการวินิจฉัยโรคใหลตายที่ช่วยป้องกันก่อนเกิดเหตุได้
ทั้งนี้ ภาวะใหลตายพบได้ในคนทั่วโลก แต่พบบ่อยในเอเชีย โดยเฉพาะเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ทั้งไทย พม่า ลาว ฟิลิปปินส์ โดยเฉพาะในคนวัยทำงานอายุ 30-50 ปี และพบในผู้ชายมากกว่าผู้หญิง มีอัตราการเกิดโรคใหลตาย 1 ใน 1,000 คน ในขณะที่ประเทศอื่นๆ อัตราการเกิดโรคอยู่ที่ 1 ใน 2,000 คน โดยในประเทศไทยมักพบการใหลตายในภาคเหนือและภาคอีสาน แต่พบน้อยในภาคใต้
อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันยังอยู่ในขั้นตอนการศึกษาวิจัยเพื่อหาสาเหตุว่าเพราะอะไรชาวเอเชียตะวันออกเฉียงใต้จึงมีความเสี่ยงจากการเป็นโรคใหลตายมากกว่าชนชาติอื่นๆ
ที่มา: คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, โรงพยาบาลวิมุต, คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี
วันคริสต์มาส (ภาษาอังกฤษ : Christmas Day) เป็นเทศกาลสำคัญที่เต็มไปด้วยความอบอุ่น สะท้อนให้เห็นถึงศาสนา วิถีชีวิต วัฒนธรรม และประเพณีที่สืบทอดกันมาอย่างยาวนาน ทั้งนี้ วันคริสต์มาสวันที่เท่าไหร่ มีประวัติที่มาอย่างไรบ้าง ติดตามเกร็ดข้อมูลน่ารู้ได้ที่นี่
วันคริสต์มาสวันที่เท่าไหร่
วันคริสต์มาสตรงกับวันที่ 25 ธันวาคมของทุกปี เป็นเทศกาลเก่าแก่ที่มีมาอย่างยาวนาน ทั้งนี้ จะมีการจัดกิจกรรมเพื่อเฉลิมฉลองทั่วโลก และใช้เวลาอยู่ร่วมกับครอบครัว เนื่องจากวันที่ 25 ถือเป็นวันประสูติของพระเยซูคริสต์ ผู้ก่อตั้งศาสนาคริสต์
ประวัติวันคริสต์มาสมีความสำคัญอย่างไร
วันคริสต์มาส คือ วันสำคัญแห่งการเฉลิมฉลอง เดิมทีในช่วงวันคริสต์มาส หรือปลายเดือนธันวาคมจะมีการจัดงานเฉลิมฉลองเทศกาล เพื่อต้อนรับฤดูกาลใหม่ที่จะมาถึง โดยจะมีการจัดกิจกรรม เช่น ทำอาหาร ดื่มสุราที่บ่มไว้เอง เผาท่อนไม้ และอื่นๆ โดยในอาณาจักรโรมันยังมีการจัดกิจกรรมเฉลิมฉลองเทพเจ้าแห่งการเกษตร
ในช่วงศตวรรษที่ 4 คริสตจักรได้กำหนดให้วันที่ 25 ธันวาคมเป็นวันหยุด และเป็นวันประสูติของพระเยซู ซึ่งเป็นศาสดาของศาสนาคริสต์ โดยได้จัดงานเฉลิมฉลอง จัดงานรื่นเริง แจกอาหารและเครื่องดื่ม ซึ่งในระยะเวลาต่อมาเทศกาลนี้แพร่หลายไปยังหลายประเทศทั่วโลก โดยคำว่า "คริสต์มาส" มาจากคำว่า "Cristes Maesse" ซึ่งหมายถึง พิธีมิสซาของพระคริสต์ นั่นเอง
กิจกรรมวันคริสต์มาส ทำอะไรบ้าง
เนื่องจากวันคริสต์มาสจะมีการจัดงานเฉลิมฉลอง โดยส่วนใหญ่นิยมจัดกิจกรรม ดังนี้
ประดับและตกแต่งต้นคริสต์มาส ไม่ว่าจะเป็นไฟ ของขวัญ ของเล่น หรือดาวบนยอดต้นไม้
แลกของขวัญวันคริสต์มาส ถือเป็นธรรมเนียมที่สื่อถึงความปรารถนา และการอยู่พร้อมหน้ากับคนในครอบครัว
มอบอาหารและเครื่องดื่มให้กับคนไร้บ้าน
จัดแสดงโชว์ร้องเพลง การตกแต่งหลายๆ พื้นที่ด้วยแสงและสีให้สวยงาม
ส่งการ์ดอวยพร พร้อมข้อความสั้นๆ แสดงความปรารถนาดี
ร่วมพิธีกรรมทางศาสนาที่โบสถ์
ทำอาหารและอบขนม เพื่อกินในครอบครัวและนำไปแจกจ่าย
5 เกร็ดน่ารู้วันคริสต์มาสมีอะไรบ้าง
นอกจากประวัติวันคริสต์มาสที่มีมาอย่างยาวนานและน่าสนใจแล้ว ยังมีเรื่องน่ารู้ในวันคริสต์มาสอีก เช่น
สีประจำวันคริสต์มาส คือ สีแดง สีเขียว และสีทอง โดยสีแดง หมายถึง ความเสียสละของพระเยซู, สีเขียว หมายถึง ความเป็นนิรันดร์ และ สีทอง หมายถึง ความรุ่งเรืองและความหวัง
หลายประเทศกำหนดให้วันที่ 26 ธันวาคมเป็นวันหยุดต่อ เรียกว่า "Boxing Day" หรือวันแห่งการจับจ่ายใช้สอย เนื่องจากหลายๆ ร้านจะจัดโปรโมชัน ลดราคา และยังมีกิจกรรมสนุกๆ ให้เข้าร่วมอีกด้วย
การแขวนถุงเท้าของเด็กๆ เพื่อรอรับของขวัญจากซานตาคลอสมีต้นกำเนิดมาจากชาวดัชต์ ตามตำนานเล่าว่านักบุญนิโคลัสปีนปล่องไฟเพื่อมอบเงินเป็นของขวัญ แต่ทว่าเหรียญเงินนั้นตกลงไปในถุงเท้าที่แขวนอยู่หน้าเตาผิง จึงกลายเป็นจุดเริ่มต้นธรรมเนียมแขวนถุงเท้า
ซานตาคลอส มีต้นแบบมาจากนักบุญนิโคลัส บาทหลวงชาวตุรกี เดิมทีภาพซานตาคลอสไม่ได้สวมชุดแดง แต่ในช่วง ค.ศ.1930 บริษัท Coca-Cola ได้วาดภาพโฆษณาให้ซานตาคลอสสวมชุดสีแดงเหมือนสีของแบรนด์ จึงกลายเป็นที่มาภาพจำ
เดิมทีคนนิยมกินห่าน แต่เนื่องจากไก่งวงมีเนื้อเยอะ ทำได้หลายเมนู กินได้ทั้งครอบครัว และเป็นเสมือนสัญลักษณ์ของคนชนชั้นสูง ทำให้ในระยะเวลาต่อมาได้กลายเป็นเมนูยอดฮิตช่วงเทศกาลคริสต์มาส
วันคริสต์มาสถือเป็นเทศกาลสุดอบอุ่นที่หลายคนรอคอย เพราะนอกจากจะได้เฉลิมฉลองการประสูติของพระเยซูแล้ว ยังเป็นโอกาสที่ดีที่จะได้อยู่พร้อมหน้ากับคนในครอบครัวแล้ว รวมถึงได้ประดับตกแต่งสถานที่ แลกของขวัญ รวมถึงร่วมกิจกรรมสุดอบอุ่นตลอดเทศกาลนี้อีกด้วย
เมื่อวันที่ 20 พ.ย. ที่ผ่านมา ถือได้ว่าเป็นอีกหนึ่งวันที่สำคัญทางด้านสุขภาพ เนื่องจากเป็น ”วันปอดอุดกั้นเรื้อรังโลก (World COPD Day)“ ซึ่งโรคดังกล่าวนี้เป็นโรคปอดชนิดหนึ่งที่ทำให้ผู้ป่วยมีภาวะไอ หอบ เหนื่อยง่าย หายใจไม่สะดวก จัดเป็นโรคเรื้อรังที่ไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้และส่งผลกระทบต่อสุขภาพชีวิตของผู้ป่วย
โดย ผศ. นพ. อภิชาติ คณิตทรัพย์ กรรมการมูลนิธิโรคหืดแห่งประเทศไทย กล่าวผ่าน Healthy Clean ว่า “โรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง จัดเป็น “ความตายเงียบ” และเป็นสาเหตุการเสียชีวิตอันดับ 3 ของไทย คร่าชีวิตคนไทยกว่า 20,000 คนต่อปี หรือเฉลี่ยวันละ 50 คน ซึ่งสูงกว่าโรคหลอดเลือดสมอง, โรคมะเร็งเต้านม, เบาหวาน หรืออุบัติเหตุบนท้องถนน แม้จะมีผู้ป่วยในประเทศ มากกว่า 3 ล้านคน แต่ที่น่าเป็นห่วงคือครึ่งหนึ่งของผู้ป่วยโรคนี้ ยังไม่รู้ว่าตนเองป่วย เนื่องจากความเข้าใจผิดว่า อาการเหนื่อยง่าย หอบ หรือหายใจติดขัด เป็นเพียงเรื่องของวัย หรืออาจเคยชินกับอาการที่เป็นมาอย่างยาวนาน
“โรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง จึงเปรียบ เสมือน ‘ภัยเงียบที่ใกล้กว่าที่คิด’ ซึ่งกำลังพรากชีวิตคนไทยไปอย่างต่อเนื่อง การจัดงานในครั้งนี้จึงย้ำเตือนว่า การรู้ เท่าทันโรคและการเข้าถึงการตรวจคัดกรองตั้งแต่เนิ่นๆ คือ กุญแจสำคัญ ที่จะช่วยปกป้องลมหายใจของทั้งผู้ป่วย และคนรอบข้าง”
ด้าน ผศ. (พิเศษ) พญ. ณับผลิกา กองพลพรหม กรรมการฝ่ายวิชาการ สมาคมอุรเวชช์แห่งประเทศไทยฯ ได้เปิดเผยข้อมูลเพิ่มเติมว่า ในเชิงสถิติที่แสดงให้เห็นถึงความรุนแรงและผลกระทบของภาวะกำเริบของโรคต่อชีวิตและระบบสาธารณสุข ของประเทศไทยว่า “เมื่อผู้ป่วย COPD มีอาการกำเริบเพียง 1 ครั้ง ย่อมส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อสุขภาพในระยะยาว” กระทบทั้งปอด ทั้งหัวใจ และทั้งชีวิต โดยเฉลี่ยแล้ว ในแต่ละปีผู้ป่วยชาวไทยเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล ด้วยอาการ กำเริบ มากกว่า 1 ล้านคน ด้วยค่าใช้จ่ายในการรักษาสูงถึง 80,000 บาทต่อครั้ง
ซึ่งแต่ละครั้งที่อาการกำเริบนั้น จะทำให้การ ทำงานของปอดลดลง และที่น่าตกใจคือ อาการกำเริบแต่ละครั้งยัง เพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือด ขึ้นประมาณ 3 เท่า ยิ่งไปกว่านั้น ราวครึ่งหนึ่งของผู้ป่วยจะเสียชีวิตภายใน 3.6 ปี หลังอาการกำเริบครั้งแรก” พญ. ณับผลิกา เน้นย้ำว่า สถิติเหล่านี้คือเหตุผลสำคัญที่ทุกคนต้องตระหนักว่า “แค่เพียงหายใจที่เต็มปอดได้เต็มพลัง คือสิ่งมีค่าที่สุด ที่ไม่ควรถูกมองข้าม”
คุณโรมัน รามอส ประธานบริษัท แอสตร้าเซนเนก้า (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า วันที่ 19 พฤศจิกายนของทุกปี คือวัน COPD โลก โดยในปีนี้มีคำขวัญว่า “หายใจติดขัด คิดถึง COPD” ซึ่งสะท้อนถึงความจำเป็นในการสร้างตระหนักรู้ถึงโรคนี้ให้มากขึ้นทั่วโลก โรค COPD เป็นสาเหตุการเสียชีวิตอันดับ 3 ของโลก โดยมีสาเหตุหลักจากการสูบบุหรี่ ควันจากบุหรี่ไฟฟ้า ฝุ่น PM 2.5 และมลพิษทางอากาศ ผู้ป่วย COPD ยังมีความเสี่ยงสูงต่อโรคอื่นๆ ตามมาอีกมากมาย..
คอลัมน์ : Healthy Clean
โดย “พรรณรวี พิศาภาคย์”... สามารถติดตามต่อได้ที่ : https://www.dailynews.co.th/articles/5332082/
ภาวะหัวใจวายเฉียบพลัน เป็นอาการที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหัน และมักรุนแรงถึงขั้นเสียชีวิต สามารถพบได้ในทุกเพศทุกวัย โดยเฉพาะในผู้สูงอายุ มักเป็นภัยเงียบที่สะสมจากพฤติกรรมการใช้ชีวิตและโรคประจำตัว แต่สามารถป้องกันได้
สาเหตุของภาวะหัวใจวายเฉียบพลัน
ภาวะหัวใจวายเฉียบพลัน เกิดจากหลอดเลือดหัวใจอุดตันฉับพลัน ทำให้กล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดและขาดออกซิเจน สาเหตุหลักมาจากการสะสมของไขมันที่ผนังหลอดเลือดจนเกิดการปริแตก และมีลิ่มเลือดไปอุดตัน ทำให้เลือดไม่สามารถไปเลี้ยงหัวใจได้ ก่อให้เกิดอาการต่าง ๆ ที่เป็นอันตรายและอาจมีความรุนแรงจนถึงขั้นเสียชีวิต
เช็กอาการหัวใจวายเฉียบพลัน
เป็นอาการที่แสดงออกถึงภาวะหัวใจวายเฉียบพลันที่มีความรุนแรง หรืออาจเป็นอาการแสดงของโรคอื่น ๆ ที่มีความรุนแรงถึงชีวิตได้เช่นเดียวกัน อาการดังกล่าว เช่น
เจ็บหน้าอก
เป็นลม หมดสติ หรือมีอาการเหนื่อยเพลียมาก
หัวใจเต้นเร็วหรือเต้นผิดจังหวะ
ร่วมกับมีอาการหายใจหอบ เจ็บหน้าอก หรือหมดสติ
มีอาการหายใจไม่อิ่มที่เป็นขึ้นมาทันที หรือเป็นอย่างรุนแรง
มีอาการไอ
มีเสมหะปนฟองสีชมพู
หากมีอาการต่าง ๆ ดังกล่าว ควรนำผู้ป่วยส่งโรงพยาบาลโดยเร็ว เพื่อรับการตรวจและรักษาโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ
กลุ่มเสี่ยงของภาวะหัวใจวายเฉียบพลัน
ภาวะหัวใจวายเฉียบพลัน สามารถเกิดขึ้นได้กับคนทุกเพศทุกวัย แต่คนที่เป็นกลุ่มเสี่ยงและพบได้บ่อยที่สุดคือผู้สูงอายุ รวมถึงผู้ที่มีโรคประจำตัวเกี่ยวกับความผิดปกติของหัวใจอยู่เดิม เช่น โรคหัวใจขาดเลือด และสามารถเกิดได้กับผู้ที่ไม่เคยมีโรคหัวใจแต่มีโรคประจำตัวเรื้อรังที่ส่งผลต่อหัวใจ เช่น
โรคไตระยะท้าย
โรคพิษสุราเรื้อรัง
โรคลิ่มเลือดอุดตันในปอด
โรคเบาหวาน
โรคความดันเลือดสูง
โรคอ้วน
โรคต่อมไทรอยด์ทำงานมากผิดปกติ (hyperthyroidism)
มีภาวะหยุดหายใจขณะหลับ
โรคหลอดเลือดสมอง
การติดเชื้อไวรัสที่ส่งผลต่อหัวใจ
ภาวะหัวใจวายเฉียบพลัน ป้องกันได้ไหม
ปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้เกิดภาวะหัวใจวายเฉียบพลัน มีทั้งที่เราเลี่ยงได้และเลี่ยงไม่ได้ ปัจจัยที่เลี่ยงไม่ได้คือ อายุที่มากขึ้น ส่วนปัจจัยเสี่ยงอื่น ๆ ที่มาจากโรคเรื้อรัง ส่วนใหญ่มักเป็นผลจากพฤติกรรมการใช้ชีวิตที่สามารถปรับเปลี่ยนและควบคุมเพื่อป้องกันภาวะหัวใจวายเฉียบพลันที่อาจเกิดขึ้นได้ เช่น
รักษาน้ำหนักให้เป็นปกติ เพราะหากโรคอ้วนเสี่ยงต่อการเกิดภาวะหัวใจวายเฉียบพลันได้
ออกกำลังกายสม่ำเสมอ
รับประทานอาหารที่สมดุล ซึ่งมีเนื้อแดงและน้ำตาลในปริมาณน้อย
เลิกสูบบุหรี่
หาวิธีจัดการกับความเครียด
นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ
จำกัดการดื่มแอลกอฮอล์
นอกจากนี้ควรตรวจสุขภาพอย่างต่อเนื่องเป็นประจำทุกปี หากพบว่ามีอาการผิดปกติควรแจ้งให้แพทย์ทราบ เพราะยิ่งได้รับการวินิจฉัยอาการและเริ่มการรักษาได้เร็วก็ช่วยให้มีคุณภาพชีวิตดีขึ้น
ที่มา: โรงพยาบาลสมิติเวช, โรงพยาบาลบีเอ็นเอช
เรียกว่า “อยู่จนถือไม้เท้ายอดทอง กระบองยอดเพชร” ของจริง สำหรับ “ไลล์-เอลินอร์ กิทเทนส์” สามีภรรยาชาวอเมริกัน อายุ 108 ปี และ 107 ปี ที่ใช้ชีวิตคู่อยู่กินฉันสามีภรรยากันมาได้นานถึง 83 ปี!!
เล่นครองรักมาราธอนนานขนาดนี้ ทำให้เมื่อไม่นานนี้ ไลล์และเอลินอร์ ขึ้นครองตำแหน่ง “คู่สามีภรรยาที่แต่งงานกันมายาวนานที่สุดในโลก” จากการยืนยันของ LongeviQuest เว็บไซต์ที่จัดทำบันทึกเกี่ยวกับผู้ที่มีอายุ 100 ปีขึ้นไป
โดยมี “ใบทะเบียนสมรส” ของทั้งสองที่จดทะเบียนแต่งงานกันในปีค.ศ.1942 รวมถึงบันทึกสำมะโนประชากรของสหรัฐ และเอกสารอื่นๆ เป็นหลักฐานยืนยัน
การรั้งแชมป์โลกครั้งนี้ของ ไลล์และเอลินอร์ เกิดขึ้นหลังจาก “มาโนเอล-มาเรีย ดีโน” คู่สามีภรรยาชาวบราซิล อายุ 106 ปีและ 102 ปี แชมป์เก่าที่สร้างสถิติครองชีวิตคู่แต่งงานมานาน 85 ปี ได้เสียชีวิตลง
ตามข่าวบอก ตำนานรักของแชมป์ใหม่ เริ่มขึ้นเมื่อ ไลล์ ลงแข่งบาสเก็ตบอลของทีมมหาวิทยาลัยคลาร์กแอตแลนตา ที่เอลินอร์มาดู หลังเกิดปิ๊งปั๊ง ทั้งสองก็จูงมือเข้าประตูวิวาห์ในวันที่ 4 มิถุนายนปีค.ศ.1942
มีช่วงเวลาที่ไลล์ ต้องไปเป็นทหารรับใช้ชาติ ก่อนเอลินอร์จะตั้งท้องลูกคนแรก จนได้กลับมาอยู่ด้วยกัน และมีพยานรักเพิ่มอีก
ไลล์ เล่าถึงชีวิตคู่ว่า เขามีความสุขเสมอ ที่ได้ใช้เวลากับภรรยา ส่วนเคล็ดลับของการครองรัก ก็ไม่มีอะไรมาก แค่ “เรารักกัน” เท่านั้น…หวานซะ!!...