ครบเครื่อง
ญ. อมตะ



ศาสตร์แห่งกลิ่นบำบัด ไม่ใช่แค่ความหอม เปิดมิติใหม่สู่การดูแลสุขภาพแบบองค์รวม

ปัจจุบันเทรนด์น้ำหอมได้รับความนิยมมากขึ้นทั่วโลก นอกจากกลิ่นหอมที่สะท้อนตัวตนและบุคลิกแล้ว ในทางวิทยาศาสตร์ยังส่งผลต่ออารมณ์และความรู้สึกของมนุษย์อีกด้วย

จากเวทีเสวนาแลกเปลี่ยนความรู้ระหว่าง พญ. ณัฏฐ์นรี บุญศิรภัสสร ผู้ชำนาญการด้านเวชศาสตร์ป้องกัน และ คุณวรวิทย์ ศิริพากย์ ผู้ก่อตั้งและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ของปัญญ์ปุริ ผู้บุกเบิกแนวคิด Aromatic Wellness ในประเทศไทย เกี่ยวกับบทบาทของ "กลิ่น" ในฐานะเครื่องมือทางวิทยาศาสตร์ที่ส่งผลต่ออารมณ์ ความรู้สึก และสุขภาวะที่ดี หรือ Wellbeing ของมนุษย์

พญ. ณัฏฐ์นรี ได้ให้ข้อมูลที่น่าสนใจทางวิทยาศาสตร์ว่าย้อนไปในช่วงกลางศตวรรษที่ 20 งานวิจัยด้านกลิ่นเคยถูกละเลย โดยนักวิทยาศาสตร์เชื่อว่าการรับกลิ่นไม่จำเป็นต่อการเอาตัวรอดของมนุษย์เท่าสัตว์ อย่างไรก็ตาม สถานการณ์เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิงเมื่อมีการค้นพบต่อมรับกลิ่นและระบบประสาทในการรับกลิ่นของมนุษย์ในปี 1990 ซึ่งนำไปสู่การได้รับรางวัลโนเบล และจุดประกายงานวิจัยด้านกลิ่นอย่างจริงจัง

จากการศึกษาพบว่า กลิ่นมีความสัมพันธ์อย่างลึกซึ้งกับระบบความจำและอารมณ์ของสมอง

กลิ่นและความทรงจำ (Olfaction and Memory)

เมื่อเราสัมผัสประสบการณ์ต่าง ๆ เช่น การได้ยิน มองเห็น สัมผัส ร่วมกับกลิ่นนั้น ๆ ข้อมูลจะถูกจัดเก็บไว้ในสมองส่วนที่เกี่ยวข้องกับความทรงจำ (Hippocampus) และความรู้สึก หรืออารมณ์ เมื่อเวลาผ่านไป หากเรากลับมาได้รับกลิ่นเดิมอีกครั้ง กลิ่นนั้นจะไปกระตุ้นสมองในบริเวณดังกล่าว ทำให้ภาพความทรงจำและอารมณ์ความรู้สึกในอดีตย้อนกลับมาได้ นี่จึงเป็นแนวคิดที่นำไปสู่การวิจัยใช้กลิ่นเพื่อช่วยเหลือผู้ป่วยอัลไซเมอร์ในการดึงความทรงจำในวัยเด็กกลับมา

กลิ่นติดต่อทางความสุข (Happiness Smell is Contagious)

งานวิจัยแสดงให้เห็นว่าอารมณ์สามารถ "ติดต่อ" กันได้ผ่านกลิ่นเหงื่อ โดยกลุ่มคนที่ดูหนังน่ากลัวและมีความกลัว จะปล่อยกลิ่นเหงื่อที่มีสารเคมีที่ต่างจากกลุ่มคนที่มีความสุข ซึ่งสามารถส่งผลต่ออารมณ์ของผู้ที่ได้ดมกลิ่นเหล่านั้นได้

เทรนด์ใหม่ Functional Fragrance กลิ่นหอมบำบัดสุขภาพจิต

คุณวรวิทย์เผยว่า หลังช่วงโควิด-19 ผู้บริโภคเริ่มตระหนักถึงความเชื่อมโยงระหว่าง "กลิ่น" กับ "สุขภาพ" มากขึ้น

“จากที่เคยถูกมองว่าเป็นเพียงเรื่องความสวยงามหรือการดึงดูดใจ ตอนนี้กลิ่นได้เปลี่ยนเป็น Functional Fragrance ที่ใช้เพื่อสุขภาวะส่วนตัว (Wellbeing) มากขึ้น ซึ่งเป็นผลมาจากความเครียดที่เพิ่มขึ้นในชีวิตประจำวัน และภาวะหมดไฟ โดยพบว่า ผู้บริโภคจำนวนมาก เช่น 78% ในอังกฤษ, 80% ในอเมริกา มองหากลิ่นเพื่อยกระดับอารมณ์ และทำให้รู้สึกสงบ ผ่อนคลาย”

ด้วยเหตุนี้จึงส่งผลให้แบรนด์ชื่อดังระดับโลกเริ่มให้ความสำคัญ โดยมีการพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่อ้างอิงหลักการ Neuroscience Fragrance และร่วมมือกับศูนย์วิจัยเพื่อยืนยันผลการบำบัดทางอารมณ์

Forest Bathing และกลิ่นจากธรรมชาติ เพิ่มภูมิคุ้มกันให้ร่างกาย

แนวคิด Forest Bathing หรือ ชินริน-โยคุ (Shinrin-yoku) จากญี่ปุ่น เชื่อว่าการกลับสู่ธรรมชาติช่วยลดความเครียดที่เกิดจากเทคโนโลยี (Techno-stress) ได้ ซึ่งกลิ่นจากป่าเป็นปัจจัยสำคัญ ได้แก่

ไพตอนไซส์ (Phytoncides) คือสารที่ต้นไม้ผลิตออกมาเพื่อป้องกันตัวเองจากเชื้อรา แบคทีเรีย หรือแมลง

อัลฟ่า-พาย (Alpha-Pinene) เป็นกลิ่นไม้สนเมืองหนาวที่เป็นไพตอนไซส์ที่มีการวิจัยมากที่สุด พบว่าช่วยลดฮอร์โมนความเครียด (คอร์ติซอล, อะดรีนาลีน) และที่สำคัญคือเพิ่มภูมิคุ้มกัน โดยเฉพาะ NK Cell Activity หรือเซลล์นักฆ่าตามธรรมชาติ คือเม็ดเลือดขาวชนิดหนึ่ง ที่มีหน้าที่ในการทำลายเซลล์ที่ติดเชื้อไวรัสและตอบสนองต่อการก่อตัวของก้อนมะเร็ง

“มีงานวิจัยพบว่าการสูดดมกลิ่นไพตอนไซส์ในสภาพแวดล้อมปกติ เช่น ห้องนอน หรือที่ทำงาน สามารถให้ผลในการเพิ่ม NK Cell Activity คล้ายกับการไปเข้าป่าจริง ๆ” พญ. ณัฏฐ์นรี กล่าว

คุณวรวิทย์ กล่าวเสริมว่า ปัญญ์ปุริได้นำความรู้ทางวิทยาศาสตร์เกี่ยวกับกลิ่นมาพัฒนาเป็นผลิตภัณฑ์ Wellness Fragrance Series ภายใต้แคมเปญ "The Art of Slowness" เพื่อส่งเสริมการชะลอชีวิตให้ช้าลงและอยู่กับปัจจุบัน และได้ทำการวิจัยเพื่อยืนยันผลกระทบทางอารมณ์

โดยทำการศึกษาทดลองที่ศูนย์ทดสอบในเบลเยียม ด้วยระเบียบวิธี OSKVR (Olfactory Stimulation Therapy and Memory Reconstruction) โดยให้ผู้ที่มีอาการ Burnout ได้สัมผัสกลิ่น พบว่าความรู้สึกเครียดลดลงภายใน 5 นาที

ดังนั้น การนำกลิ่นหอมมาใช้ผสมผสานกับกิจกรรมในชีวิตประจำวันและส่งเสริมการทำ Digital Detox เช่น นำกลิ่นมาใช้ร่วมกับการฝึกโยคะ และ Sound Healing จะช่วยเพิ่มสมาธิและความผ่อนคลาย

รวมถึงการออกแบบกลิ่นประจำสถานที่ (Scent Design) เช่น กลิ่นที่ใช้ในโรงแรมญี่ปุ่นอย่าง Hinoki (ไม้สน) ที่ให้ความรู้สึกผ่อนคลาย หรือการใช้กลิ่นวานิลลา (กระตุ้นความรู้สึกอบอุ่นเหมือนวัยเด็ก) และลาเวนเดอร์ ในคอนโดมิเนียม เพื่อสร้างความรู้สึกให้บ้านอบอุ่นและน่าอยู่มากขึ้น


สิ่งที่พ่อแม่ควรรู้เกี่ยวกับพัฒนาการในช่วง 5 ปีแรก

พัฒนาการและคำแนะนำในการกระตุ้นพัฒนาการตามวัย ช่วงวัย 13-24 เดือน

พัฒนาการตามวัย

18 เดือน วิ่งได้คล่อง เริ่มเกาะราวบันไดเดินขึ้นลงได้ จับสีเทียนขีดเป็นเส้นยุ่ง ๆ และต่อก้อนไม้ได้ 2 ชั้น เริ่มพูดคำเดี่ยวที่มีความหมายนอกจากชื่อคนได้หลายคำ รู้จักสิ่งของรอบตัว และหยิบได้ตามคำสั่ง

2 ปี กระโดด 2 เท้าได้ เตะลูกบอลได้ เปิดหนังสือที่เป็นกระดาษอ่อนทีละหน้าและต่อก้อนไม้ได้ 4 ชั้น พูดเป็นวลีสั้น ๆ บอกชื่อสัตว์ได้หลากหลาย ทำตามคำสั่ง 2 ขั้นตอนโดยไม่ต้องมีท่าทางประกอบได้ ใช้ช้อนตักข้าวกินเอง และเริ่มสนใจนั่งเล่นร่วมกับเด็กคนอื่น

การกระตุ้นพัฒนาการตามวัย

ช่วงวัยนี้เป็นช่วงวัยที่ภาษาของเด็กจะพัฒนาอย่างก้าวกระโดด การเล่นกับเด็กผ่านกิจกรรมที่มีภาษาหรือการพูดพากย์กิจกรรมต่าง ๆ เช่น บทบาทสมมติ จะช่วยให้เด็กได้เรียนรู้ภาษาในบริบทสังคมได้ดี เช่นเดียวกับกล้ามเนื้อมัดเล็ก ผู้เลี้ยงดูก็สามารถส่งเสริมผ่านกิจวัตรประจำวัน เช่น การใช้ช้อนตักข้าว ยกแก้วดื่มน้ำ หรือถอดเสื้อผ้าได้ นอกจากนี้ เด็กในวัยนี้จะเริ่มแสดงอารมณ์ที่หลากหลาย การตอบสนองทางอารมณ์โดยการพูดสะท้อนสิ่งที่เด็กรู้สึกจะทำให้เด็กเข้าใจอารมณ์ของตนเองได้ดีขึ้น

ข้อควรระวัง

1. เด็กวัยนี้มีพฤติกรรมสำรวจสิ่งแวดล้อมรอบตัว ดังนั้นจึงควรจัดบ้านและบริเวณแวดล้อมรอบบ้านเพื่อป้องกันการพลัดตกหกล้มและการจมน้ำ รวมถึงควรเริ่มสอนให้เด็กรู้จักหลีกเลี่ยงการเข้าใกล้แหล่งน้ำและจุดอันตรายอื่น ๆ

2. หลีกเลี่ยงการใช้จอมือถือหรือทีวี เพราะอาจกระทบต่อพัฒนาการทางภาษา และลดปฏิสัมพันธ์ทางสังคม

ช่วงวัย 2-3 ปี

พัฒนาการตามวัย

2 ปี 6 เดือน โยนลูกบอลขนาดเล็กโดยการยกมือเหนือศีรษะ ต่อก้อนไม้ได้ 8 ชั้น พูดเป็นวลีสั้น ๆ ใช้คำกริยาได้ถูกบริบท และเข้าใจคำบุพบท ในการเล่นร่วมกับผู้อื่นเด็กจะรู้จักรอคอยให้ถึงรอบของตนเองในการเล่นโดยมีผู้ใหญ่คอยบอก

3 ปี ช่วยเหลือตนเองในกิจวัตรประจำวันได้ดีขึ้น เช่น แปรงฟันโดยให้ผู้ใหญ่คอยช่วย ชอบเล่นบทบาทสมมติและเล่นร่วมกับผู้อื่นโดยเข้าใจกฎกติกา พูดเป็นประโยค บอกความต้องการโดยใช้ภาษาได้ดี ปั่นจักรยาน 3 ล้อ วาดรูปวงกลมตามแบบได้

การกระตุ้นพัฒนาการตามวัย

เด็กในวัยนี้จะเข้าใจบริบทสังคมและมีความสามารถจะช่วยเหลือตัวเองในชีวิตประจำวันมากขึ้น ผู้เลี้ยงดูจึงควรเปิดโอกาสให้เด็กช่วยเหลือตัวเองและจัดตารางชีวิตประจำวันให้สม่ำเสมอ รวมถึงควรให้เด็กได้มีโอกาสเล่นร่วมกับเด็กคนอื่นเพื่อฝึกทักษะทางสังคมโดยมีผู้ใหญ่คอยช่วยกำกับ รวมถึงยังแนะนำให้อ่านหนังสือร่วมกับเด็กอย่างต่อเนื่องเพื่อพัฒนาทักษะทางภาษา

ข้อควรระวัง

1. เด็กในวัยนี้มักมีความเป็นตัวของตัวเองสูง ทำให้อาจมีพฤติกรรมร้องดิ้นอาละวาดตามวัยได้ ผู้เลี้ยงดูจึงควรเป็นแบบอย่างในการควบคุมอารมณ์ เช่น ไม่พูดคำหยาบ ใจเย็น รอคอย เมื่อเด็กทำพฤติกรรมไม่เหมาะสมให้ใช้วิธีเพิกเฉยหรือตัดสิทธิ์ หลีกเลี่ยงการตีหรือการใช้ความรุนแรง

2. การเฝ้าระวังอุบัติเหตุ ผู้เลี้ยงดูยังควรดูแลอย่างใกล้ชิด อยู่ในระยะที่มองเห็น และเข้าถึงเด็กได้ทันที รวมถึงควรเริ่มสอนให้เด็กรู้จักหลีกเลี่ยงการเข้าใกล้แหล่งน้ำและจุดอันตรายอื่น ๆ ห้ามเด็กข้ามถนนโดยลำพัง

ช่วงวัย 4-5 ปี

พัฒนาการตามวัย

4 ปี กระโดดขาเดียวได้ พูดออกเสียงได้ชัดเกือบทั้งหมด บอกชื่อ-นามสกุลของตนเอง รู้จักสี 4 สี วาดรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัส แต่งตัวเอง คงสมาธิในการฟังนิทานได้ดี รู้จักรอคอย เล่นสมมติเป็นเรื่องราว

5 ปี เดินต่อเท้าเป็นเส้นตรงไปข้างหน้าได้ วาดรูปคนได้ 6 ส่วน จับใจความเมื่อฟังนิทานหรือเรื่องเล่าที่มีความยาวประมาณ 2-3 นาทีได้ สามารถนับและรู้จำนวน 1-5 เข้าใจเหตุผลเบื้องต้น

การกระตุ้นพัฒนาการตามวัย

การเปิดโอกาสให้เด็กได้ช่วยเหลืองานบ้าน โดยให้เด็กได้มีส่วนร่วมในการวางแผน จัดการและรับผิดชอบด้วยตัวเองโดยมีผู้ใหญ่คอยช่วยเหลือ รวมถึงควรให้เด็กได้มีโอกาสเล่นร่วมกับเด็กคนอื่น เพื่อฝึกทักษะทางสังคมโดยมีผู้ใหญ่คอยช่วยกำกับ รวมถึงยังแนะนำให้อ่านหนังสือร่วมกับเด็กอย่างต่อเนื่อง เพื่อพัฒนาทักษะทางภาษา

ข้อควรระวัง

ผู้เลี้ยงดูยังควรเฝ้าระวังอุบัติเหตุและดูแลอย่างใกล้ชิด อยู่ในระยะที่มองเห็นและเข้าถึงเด็กได้ทันที รวมถึงควรเริ่มสอนให้เด็กรู้จักหลีกเลี่ยงการเข้าใกล้แหล่งน้ำและจุดอันตรายอื่น ๆ ห้ามเด็กข้ามถนนโดยลำพัง

ในปัจจุบันแนะนำให้มีการคัดกรองพัฒนาการตามวัยโดยใช้เครื่องมือมาตรฐานที่อายุ 9, 18, 30 เดือน เพื่อให้สามารถคัดกรองปัญหาทางพัฒนาการและช่วยเหลือได้อย่างรวดเร็ว อย่างไรก็ตาม เมื่อผู้ปกครองพบปัญหาหรือข้อสงสัย สามารถปรึกษากุมารแพทย์ที่คลินิกสุขภาพเด็กดีได้เสมอ

แหล่งข้อมูล

อ.พญ.กนกพรรณ ชูโชติถาวร สาขาพัฒนาการและพฤติกรรม ภาควิชากุมารเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล


‘นกกลางคืน’ ลึกลับในความมืด เชื่อมธรรมชาติ รักษาสมดุลระบบนิเวศ...

ความสวยงามแปลกตาของนกที่ปรากฏตัว ไม่ว่าจะเกาะกิ่งไม้ หรือบินอวดโฉมให้ติดตามเฝ้าชม นอกจากบทบาทเชื่อมเรากับธรรมชาติใกล้ชิดกัน การดูนกยังชวนให้สังเกตสิ่งต่างๆรอบตัวลึกซึ้งยิ่งขึ้น ไม่เพียงสีสันปีกสวย “เสียงร้อง” ยังเป็นเอกลักษณ์ และนอกจากความไพเราะ ร้องเสียงใสก้องกังวาน นกบางชนิดส่งเสียงหวีดแหลม ยิ่งบรรยากาศใกล้ค่ำ โพล้เพล้ และการซุ่มซ่อนตัวอยู่ในความมืด เมื่อส่งเสียงอาจชวนให้ ขนลุก ...

นำเรื่องน่ารู้ ชวนรู้จัก “นกกลางคืน” นกนักล่า นกที่มีชื่อคุ้นหูที่ถูกเรียกเป็น “นกผี” ที่ถูกเกี่ยวโยงไปในหลายมิติ โดย นายสัตวแพทย์เกษตร สุเตชะ ศูนย์วิจัยและนวัตกรรมทางสัตวแพทย์ คณะสัตวแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ให้ความรู้ประเด็นนี้ว่า ประเทศไทยมีนกล่าเหยื่อในเวลากลางคืนทั้งหมด 21 ชนิด พบได้ทั่วประเทศไทย ตั้งแต่จังหวัดเชียงรายจรดนราธิวาส และตั้งแต่จังหวัดอุบลราชธานีจรดกาญจนบุรี เป็นหนึ่งในนกที่น่าสนใจ แบ่งเป็น นกแสก 3 ชนิด นกเค้า 16 ชนิด และนกทึดทือ 2 ชนิด โดยมีทั้งนกประจำถิ่นและนกอพยพที่เข้ามาในประเทศไทยในช่วงฤดูหนาว ซึ่งนกเหล่านี้ออกหากินเวลากลางคืนเหมือนกันหมด...

“ นกกลางคืนที่คนไทยรู้จักกันดี หนึ่งในนี้คือ นกแสก และเฉพาะประเทศไทยเท่านั้น ที่คิดว่านกชนิดนี้เป็น “นกผี” ด้วยเหตุผลจากความเชื่อ ไม่มีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์รองรับ โดยเชื่อกันว่าหากนกแสกบินมาเกาะบ้านใครและส่งเสียงร้องจะมีรางร้าย มีคนเสียชีวิต แต่ในมุมวิทยาศาสตร์ ถ้านกแสกไปเกาะอยู่ที่ใด เกาะที่ไหนเป็นประจำ แสดงว่าที่นั่นมีหนูเยอะ เพราะนกแสกกินหนูเป็นอาหาร บริเวณนั้นเป็นแหล่งอาหาร อย่างเช่นที่ วัด โรงอาหาร สวนปาล์ม ฯลฯ ซึ่งเป็นไปได้ที่จะพบกับนกแสก”...

คุณหมอเกษตร อธิบายอีกว่า นกล่าเหยื่ออาศัยตามแหล่งอาหาร จะไม่อพยพไปไกล แต่ก็อาจมีบางชนิด อย่างเช่น นกเค้าหูยาวเล็ก แต่อย่างไรแล้วส่วนใหญ่เป็นนกประจำถิ่น หากินไม่ไกลจากสถานที่ที่ตัวเองนอนซึ่งนั่นก็แปลได้ว่า นกจะเลือกที่ที่มีอาหาร หากินไม่ไกล

สำหรับเสียงร้องหวีดแหลมผ่านความมืดชวนหลอนนั้น ก็เป็นไปได้ที่จะทำให้เกิดความเข้าใจผิด คิดว่าเป็นเสียงผี เป็นรางร้าย ยิ่งลูกนกจะร้องดังมาก การส่งเสียงเช่นนี้ก็เพื่อป้องกันตัวให้ปลอดภัยจากผู้ล่า อีกทั้งเสียงร้องชวนหลอนยังมีละครร่วมบอกเล่า

“นกแสกในความเป็นจริงไม่น่ากลัวอย่างที่ถูกกล่าวถึง น่าตาเป็นเอกลักษณ์ หน้าเป็นรูปหัวใจสีขาว เป็นหนึ่งในสัตว์ Eco system Service หรือนิเวศบริการ ช่วยกำจัดหนูให้เราฟรีๆ ทั้งเป็นผู้ช่วยชาวสวน โดยที่ผ่านมาในสวนปาล์มที่จังหวัดชุมพร สุราษฎร์ธานี จัดทำบ้านนกแสกไว้ในสวนปาล์ม ด้วยที่ประสบปัญหาหนูมากัดแทะ “นกแสก” นกที่ถูกมองลบ เป็นรางร้ายจึงมีบทบาทเป็นผู้ช่วยชาวสวน ร่วมดูแลผลผลิต ช่วยกำจัดหนู”...

ในต่างประเทศ เกษตรกรยินดีให้นกแสกทำรังที่หน้าจั่วหลังคาโรงนาที่เก็บเมล็ดพันธุ์พืช ด้วยเห็นคุณค่าช่วยกำจัดหนู อยู่ร่วมกัน เป็นมิตรต่อกัน ไม่ทำร้ายกัน ต่างก็ทำหน้าที่ อย่างเช่นเวลาที่เราหลับ นกจะออกหากิน และเมื่อเราตื่น นกก็จะกลับมานอน

นอกจากนกแสก นกกลางคืน “นกเค้าจุด“ ก็มีลักษณะเด่น นกเค้าจุดมีขนาดเล็ก อาศัยอยู่ตามสวนสาธารณะต่าง ๆ และพื้นที่รกร้างว่างเปล่า อาหารหลัก กินหนู กระรอก กิ้งก่า จิ้งเหลน กบ อึ่ง ฯลฯ เป็นนักล่าแห่งรัตติกาลเช่นกัน เสียงร้องของนกในเวลากลางคืนก็อาจทำให้ผู้ที่มีจินตนาการสูงกลัว แต่ความเป็นจริงไม่น่ากลัว นกตัวเล็กนิดเดียว และน่ารัก

“นกมีสีเทาจุดขาว ม่านตาเหลือง อาศัยหากินอยู่ในโพงไม้ ทั้งนี้ถ้าเห็นนกยืนตากแดด หากเข้าไปใกล้ นกจะหายเข้าไปในโพรง แต่พอเราเดินห่างออกมา นกจะออกมาให้เห็น เป็นความน่ารัก ถ้าศึกษาและเข้าใจในพฤติกรรมของเค้า”

ปัจจุบันจะเห็นถึงการปรับตัว จากที่เคยมองความน่ากลัว อย่างเช่นที่สวนสาธารณะ สวนรถไฟ จะเห็นนักดูนก คนรักนกรอชม มีกลุ่มถ่ายภาพนกในสวนรถไฟที่ช่วยกันดูแลประชากรนก แต่อย่างไรแล้ว “นกเค้าจุด นกแสก” มีความเสี่ยงลดจำนวนลง โดยในต่างจังหวัดการล่ายังคงเป็นปัจจัยสำคัญ ยังเก็บลูกนกนำมาขาย ซึ่งทำให้การสืบพันธุ์ไม่สำเร็จ จำนวนในธรรมชาติลดลงและก็ต้องยอมรับว่า “ความไม่เข้าใจ” มีความสำคัญ โดยนกเค้า นกแสกยังคงถูกมองเป็นสิ่งไม่ดี ...

คุณหมอเกษตร เพิ่มเติมอีกว่า นกฮูกในประเทศไทยเรียกกันตามเสียงร้อง แต่อย่างไรแล้ว นกเค้ากู่ นกเค้าใหญ่ ฯลฯ ก็ร้องฮูก บ้างร้องปู้ คนดูนก ใช้เสียงจำแนกชนิดนกได้ โดยแต่ละชนิดจะร้องไม่เหมือนกัน หรือแม้จะร้องเสียงเหมือนกัน แต่จังหวะการร้องก็ไม่เหมือนกัน การสังเกต การฟังเสียงร้องจึงทำให้มีความเข้าใจนกมากขึ้น

“ที่ผ่านเราจัดอบรมให้ความรู้ ชวนมองความน่ารัก เห็นมุมที่น่าสนใจและเข้าใจพฤติกรรมธรรมชาติของกลุ่มนกล่าเหยื่อที่หากินเวลากลางคืน อย่างเรื่องอาหาร นกทึดทือ เป็นนกหากินกลางคืน เป็นนักล่า กินปลาเป็นอาหารหลัก เมื่อถึงเวลาค่ำจะบินออกจากที่นอนในป่า มาเกาะอยู่ข้างลำน้ำเพื่อจับปลาเป็นอาหาร ฯลฯ

ขณะที่ นกเค้าใหญ่พันธุ์เนปาล กินลูกค้างเป็นอาหาร หรือในกลุ่มนกเค้าขนาดเล็ก กินพวกตั๊กแตน จิ้งหรีด กิ้งก่า งูขนาดเล็ก ฯลฯ และแม้นกล่าเหยื่อกลางคืนจะมี 21 ชนิด แต่จะไม่แย่งอาหารกัน ต่างคนต่างอยู่ อาศัย หากินคนละระดับความสูง อย่าง นกเค้าป่าสีน้ำตาล อาศัยหากินอยู่ยอดดอยอินทนนท์ ขณะที่ นกเค้าแดง อาศัยหากินอยู่ในป่าที่ราบต่ำจังหวัดนราธิวาส การเป็นคู่แข่งหาอาหารและพื้นที่ทำรังวางไข่จึงน้อยมาก และทั้งประเทศก็มีแค่ 21 ชนิดจึงไม่แย่งกัน...

ส่วนที่น่าเป็นห่วง นกแสกทุ่งหญ้า ที่อำเภอแม่จันและอำเภอเชียงแสน จังหวัดเชียงราย พื้นที่ชุ่มน้ำประเภทพรุทุ่งหญ้าซึ่งเป็นระบบนิเวศพิเศษของประเทศไทยที่มีมายาวนานกำลังเปลี่ยนแปลง แหล่งทำรังวางไข่ของนกไม่มี ปัจจุบันนกแสกทุ่งหญ้าถูกแทงเป็นสัตว์สูญพันธุ์ในประเทศไทย ซึ่งความเข้าใจเป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยปกป้องนก และพื้นที่ชุ่มน้ำพรุทุ่งหญ้าก็ไม่ได้มีความหมายเฉพาะนก แต่ยังหล่อเลี้ยงสัตว์น้อยใหญ่ ถือเป็นระบบนิเวศพิเศษที่ควรแก่การรักษา

“นกแสกทุ่งหญ้า ปัจจุบันพบแค่ 3 รังและในพื้นที่จะมี เหยี่ยวอพพยพ มาอาศัยอยู่ราว 400-500 ตัว มานอนและตอนเช้าก็ตื่นไปช่วยกำจัดหนู เป็นเช่นนี้มาโดยตลอด แต่ขณะนี้พื้นที่ชุ่มน้ำกำลังเปลี่ยนแปลง พื้นที่ที่นกแสกทุ่งหญ้าใช้ทำรังวางไข่หายไป ขณะที่นกเหยี่ยวอพยพในช่วงฤดูหนาวที่จะมาช่วยกำจัดหนูก็จะหายไป ด้วยเพราะไม่มีแหล่งนอน เป็นภัยคุกคามนกที่ต้องให้ความสำคัญ

คุณหมอเกษตร อธิบายอีกว่า นกแสกทุ่งหญ้า ลักษณะคล้ายกับ นกแสกบ้าน แต่นกแสกบ้านจะทำรังวางไข่ในซอกตึก หรือเหลี่ยมจั่วของบ้าน ตามโพรงต้นไม้ ฯลฯ แต่นกแสกทุ่งหญ้าทำรังวางไข่เหมือนเป็ด ทำรังอยู่ในทุ่งหญ้าขนาดใหญ่ ทุ่งหญ้าที่ลอยอยู่ในน้ำที่เรียกว่า พื้นที่ชุ่มน้ำระบบนิเวศพรุทุ่งหญ้า

“สำหรับนก พื้นที่ทำรังวางไข่มีความสำคัญกว่าพื้นที่หากิน โดยหากพื้นที่หากินถูกทำลายก็ยังมีโอกาสที่นกจะไปหากินที่อื่น แต่พื้นที่ทำรังวางไข่ หากถูกทำลายก็เป็นเรื่องยากที่จะไปหาพื้นที่ใหม่ที่เหมาะสม ซึ่งก็ไม่ทราบว่าจะหาได้หรือไม่”

นอกจากนกแสกทุ่งหญ้าที่เป็นผู้ช่วยเกษตรกรได้เป็นอย่างดี ยังมีบริการจาก นกเหยี่ยวทุ่ง ที่ร่วมช่วยดูแลกำจัดหนู ศัตรูพืช ช่วยเกษตรกรลดใช้ยาใช้สารเคมี ได้เก็บเกี่ยวผลผลิตเต็มเม็ดเต็มหน่วยขึ้น ดังนั้น หากมีนกแสกทุ่งหญ้า นกแสกบ้าน นกเหยี่ยวทุ่ง คงอยู่ให้บริการก็เป็นเรื่องดี ขอแค่เข้าใจและไม่ทำร้ายกัน ปล่อยให้นกได้ทำหน้าที่ต่อไปในธรรมชาติ โดยนกนักล่าเหล่านี้จะไม่ทำลายต้นข้าวหรือผลผลิตใดๆ ทั้งไม่ยุ่งเกี่ยวกับเรา พื้นที่อาศัยก็เป็นที่รกร้างว่างเปล่า

“นกกลางคืน นกล่าเหยื่อปัจจุบันโดนไล่จนมุม ในความน่ากลัวที่เกิดจากจินตนาการที่มีต่อนก แต่ความเป็นจริง นกน่าสงสาร นกถูกคุมคามทั้งจากความไม่รู้ การถูกล่า แหล่งหากิน แหล่งทำรังวางไข่ และแหล่งอาศัยประจำวันเปลี่ยนแปลง เป็นการสูญเสียที่น่าเสียดาย”

อีแร้งเทาหลังขาว White-rumped Vulture

นอกจากนี้ยังมี แร้ง ประเทศไทยเรามีแร้งประจำถิ่นซึ่งได้แก่ พญาแร้ง แร้งเทาหลังขาวและแร้งสีน้ำตาล และมีอีกสองชนิดที่เป็นแร้งอพยพคือ แร้งสีน้ำตาลหิมาลัย และแร้งดำหิมาลัย รวมทั้งหมดเป็น 5ชนิด ด้วยความเชื่อที่มีต่อแร้ง และทั้งความไม่สวยงาม กินซากศพ แร้งประจำถิ่นทั้งสามชนิดจึงถูกล่าจนสูญพันธุ์ลง

ที่ผ่านมาองค์การสวนสัตว์แห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ร่วมกับ 4 หน่วยมีโครงการฟื้นฟูประชากรพญาแร้งในถิ่นอาศัยของประเทศไทย โดยเพาะพันธุ์เพื่อปล่อยคืนสู่ธรรมชาติ และตอนนี้แม้จะได้ลูกนก แต่ก็ยังไม่เพียงพอ ยังคงเดินหน้าต่อเนื่อง เพื่อให้ได้ลูกนกเพียงพอและนำมาฝึกก่อนจะปล่อยคืนสู่ธรรมชาติ

พญาแร้ง Red-headed Vulture

“แร้ง ถ้าจะมองว่าไม่สวย สำหรับคนทั่วไปก็ไม่แปลก เป็นนกหัวล้าน ตัวใหญ่ กินศพ อาจมองเห็นปากและใบหน้าเปื้อนเลือดไม่น่ามอง อีกทั้งความเชื่อที่มีต่อแร้ง ในความไม่มงคลจึงทำให้แร้งหายไป ทั้งนี้ นิสัยการกินซากสัตว์ที่ล้มตายในธรรมชาติ การกินศพก็เพราะเป็นสัตว์ที่มีวิวัฒนาการให้เป็นผู้กำจัดซาก แร้งจึงต้องอยู่กับซากศพ

กว่ายี่สิบปีที่ผ่านมาจึงมีความพยายามให้ความรู้ที่ถูกต้อง ทั้งฟื้นฟูนกแร้งอพยพที่บาดเจ็บได้บินกลับคืนสู่ธรรมชาติ ทั้งร่วมกับหน่วยงานต่างๆ เพาะพันธุ์ ฟื้นฟูประชากรพญาแร้ง ในต่างประเทศให้ความสำคัญกับแร้ง ด้วยที่มีความสำคัญในระบบนิเวศ เป็นผู้ช่วยกำจัดซากสัตว์หรือสิ่งสกปรก ไม่อยากให้ตั้งข้อรังเกียจ แต่ควรมีความเข้าใจ” เป็นอีกหนึ่งนกกลางคืน นักล่าที่มีหลายมิติน่าศึกษา

นกกลางคืนที่เชื่อมให้เราใกล้ชิดกับธรรมชาติ ใช่มองเพียงแค่ความไม่มงคล น่าหวาดกลัว ...


ยานเสินโจว-21 เข้าสู่สถานีอวกาศ "เทียนกง" สำเร็จ นักบินอวกาศจีน "พบปะในอวกาศ" ครั้งที่ 7

องค์การอวกาศที่มีมนุษย์ควบคุมแห่งประเทศจีน (CMSA) รายงานความสำเร็จครั้งสำคัญในภารกิจอวกาศ เมื่อเวลา 04:58 น. ตามเวลาปักกิ่ง ของวันที่ 1 พฤศจิกายน 2025 คณะนักบินอวกาศยานเสินโจว-20 ซึ่งปฏิบัติภารกิจประจำการในวงโคจรได้เปิดประตูต้อนรับคณะนักบินอวกาศยานเสินโจว-21 เข้าสู่สถานีอวกาศจีน (เทียนกง) อย่างเป็นทางการ การนัดพบครั้งนี้ถือเป็น “การพบปะในอวกาศ” ครั้งที่ 7 ในประวัติศาสตร์การบินอวกาศของจีน

รายงานระบุว่าหลังจากที่ยานอวกาศเสินโจว-21 สามารถนัดพบและเชื่อมต่อแบบอัตโนมัติอย่างรวดเร็วกับ ส่วนประกอบของสถานีอวกาศได้สำเร็จ คณะนักบินอวกาศเสินโจว-21 จึงได้เคลื่อนย้ายจากแคปซูลส่งกลับเข้าสู่โมดูลโคจรเพื่อเตรียมพร้อมเข้าสู่สถานีอวกาศ นับเป็นการกลับมาพบกันอีกครั้งบนสถานีอวกาศ “เทียนกง” ของผู้บัญชาการภารกิจทั้งสองท่านที่เคยปฏิบัติภารกิจ “พบปะในอวกาศ” ร่วมกันเป็นครั้งแรกเมื่อสามปีก่อน จากนั้น คณะนักบินอวกาศทั้งสองชุดได้ร่วมกันถ่าย “ภาพหมู่ครอบครัว” พร้อมทั้งส่งสารรายงานความปลอดภัยโดยสวัสดิภาพ ไปยังประชาชนทั่วประเทศที่เฝ้าติดตามภารกิจ

สำหรับภารกิจหลังจากนี้ คณะนักบินอวกาศทั้งสองชุดจะดำเนินการสับเปลี่ยนภารกิจในวงโคจรบนสถานีอวกาศ โดยในระหว่างนี้นักบินอวกาศทั้ง 6 นาย จะปฏิบัติงานและใช้ชีวิตร่วมกันบนสถานีอวกาศเป็นระยะเวลาประมาณ 5 วัน เพื่อดำเนินงานตามภารกิจที่ได้วางแผนไว้ให้เสร็จสิ้น