แฉกลโกงมิจฉาชีพ เตือนภัยคนกำลังหางาน โฆษณางานออนไลน์ "นักวางแผนทางการเงิน" ทำงานที่บ้านได้ ค่าตอบแทนสูง หลอกให้โอนเงินเพื่อรับค่าตอบแทน สุดท้ายเสียหายหลักแสน
ทุกวันนี้ แม้ว่าจะมีข่าวเตือนภัยให้ระวังกลโกงมิจฉาชีพ ไม่ว่าจะเป็นการไม่กดลิงก์ต้องสงสัย ไม่ให้ข้อมูลส่วนตัว อย่าหลงเชื่อหากมีคนให้ทำธุรกรรมทางราชการออนไลน์ แต่มิจฉาชีพก็ยังมีกลโกงใหม่ๆ อยู่เสมอ มีคนตกเป็นเหยื่อมากมาย ไม่ว่าจะเป็นนักศึกษา พ่อค้าแม่ค้า ประชาชนทั่วไป รวมไปถึงบุคคลมีชื่อเสียง
ล่าสุด (16 ก.ค. 68) ผู้สื่อข่าวได้มีโอกาสพูดคุยกับ คุณใบเฟิร์น (นามสมมติ) อายุ 30 ปี ซึ่งตกเป็นเหยื่อของมิจฉาชีพ จากโฆษณาสมัครงานในออนไลน์ เกี่ยวกับการเป็นนักวางแผนทางการเงิน
โดย คุณใบเฟิร์น เล่าว่า ตนเองอยู่ระหว่างหางานพาร์ทไทม์ จนเมื่อวันที่ 9 ก.ค. 68 ระหว่างเล่นอินสตาแกรมได้ไปเจอโฆษณารับสมัครงาน เกี่ยวกับการเป็นนักวางแผนการเงิน สามารถทำงานที่บ้านได้ มีคนสอนงานให้ ตนคิดว่าน่าสนใจจึงทักไป จากนั้นระบบได้เด้งไปที่แชทของเฟซบุ๊ก ซึ่งทางเขาได้ส่งรายละเอียดของบริษัทมาให้ พร้อมกับสอบถามความสนใจเบื้องต้น
จากนั้นเขาก็ส่งแพลตฟอร์มให้เพิ่มเพื่อนในแอปพลิเคชันไลน์ ซึ่งสิ่งที่ทำให้ตนเชื่อถือเพราะ ไอดีไลน์เป็นของบริษัท หลังจากเพิ่มเพื่อนแล้วเขาก็ส่งรายละเอียดของบริษัทมาให้ เป็นใบจดทะเบียนบริษัท ตนเอาชื่อบริษัทไปค้นข้อมูลทางธุรกิจจริงๆ
หลังจากแอดไลน์บริษัทแล้ว เขาจะสร้างโปรไฟล์พนักงานให้เรา มีการถามประวัติเบื้องต้น แล้วให้เราเอาโปรไฟล์นี้ไปยื่นกับ "ผู้ช่วย" ซึ่งผู้ช่วยจะทำหน้าที่สอนงาน
คุณใบเฟิร์น เล่าต่อว่า ก่อนจะเริ่มทำงานจริง จะต้องผ่านกระบวนการคัดเลือก 2 รอบ โดยรอบแรกจะให้เข้าโอเพนแชท เมื่อเข้าไปแล้วจะมีกิจกรรมให้ทำประมาณ 2-3 อย่าง กิจกรรมแรกจะเป็นแบบทดสอบความรู้ ซึ่งแบบทดสอบนี้ค่อนข้างน่าเชื่อถือ เป็นการวัดความรู้จริงๆ เกี่ยวกับวิธีการลงทุน หลังทำแบบทดสอบเสร็จจะให้เพิ่มเพื่อนไปหาอีกคน เรียกว่า "ติวเตอร์" ทำหน้าที่ประเมินคะแนน
กิจกรรมที่ 2 จะสอนวิธีการพูดคุยกับลูกค้า มีสถานการณ์สมมติให้เราวางแผนโฆษณาแพ็กเกจการเงินให้กับลูกค้า จากนั้นจะเป็นกิจกรรมที่ 3 เกี่ยวกับค่าคอมมิชชั่น ซึ่งกิจกรรมนี้จะเริ่มเข้าสู่กระบวนการหลอกเอาเงิน โดยเขาจะส่งลิงก์หน้ารายการสินค้ามาให้เราแคปหน้าจอ ลิงก์ที่เขาให้มานั้นจะเป็นชื่อบริษัทเพิ่มความน่าเชื่อถือ ลักษณะเป็นเหมือนลิงก์เฉพาะที่เขาทำขึ้นมา
โดยเขาอธิบายว่า เป็นสินค้าที่ทำให้พาร์ทเนอร์ ให้เราแคปหน้าจอสินค้า แล้วให้เราโอนเงินไป จากนั้นจะมีเงินกลับคืนมาเป็นค่าคอมมิชชั่นประมาณ 10% - 30% แต่ราคาจะไม่สูง ประมาณหลักร้อยบาท เมื่อทำเสร็จจะถือว่าจบการคัดเลือกในรอบแรก สามารถออกจากโอเพนแชทได้ ซึ่งติวเตอร์จะส่งใบรับรองการผ่านกิจกรรมมาให้ เพื่อนำไปยื่นในการคัดเลือกรอบ 2
คุณใบเฟิร์นเล่าว่า การคัดเลือกรอบ 2 จะให้เราเข้าโอเพนแชทอีกอัน กิจกรรมจะคล้ายๆ กัน คือเรื่องค่าคอมมิชชั่นให้เราโอนเงิน กติกาคือ ครั้งที่ 1-4 จะให้เราโอนเงิน แล้วได้เงินกลับคืนมาเลย แต่ครั้งที่ 5 กับ 6 จะให้เราโอนเงินไปก่อนแล้วได้เงินคืนทีเดียวในครั้งที่ 6 ตอนที่ฟังกติกา ตนก็เริ่มสงสัยแต่เขาบอกว่า เป็นขั้นตอนสุดท้ายแล้ว หากผ่านจะได้เซ็นสัญญาเข้าทำงาน ถ้าเราถอนตัวคนอื่นๆ ก็จะไม่ได้เงินคืนด้วย
คุณใบเฟิร์นเล่าต่อว่า กลุ่มโอเพนแชทนี้ มีทั้งหมด 5 คน แบ่งเป็นผู้ทดสอบรวมตนเองด้วยเป็น 3 คน, แอคเค้าบริษัท 1 คน และติวเตอร์ 1 คน หากใครไม่ยอมโอนเงิน หรือถอนตัว เพื่อนคนอื่นก็จะไม่ได้เงินคืนเหมือนกันและตกรอบ ทำให้ตนตัดสินใจลองดู ซึ่งครั้งที่ 1, 2 และ 3 ตนได้โอนเงินไปปกติ เป็นยอดหลักพัน โอนแล้วได้เงินคืนเลย
แต่ในครั้งที่ 4 เริ่มเกิดปัญหา ยอดโอนประมาณ 15,000 บาท แทนที่จะได้เงินกลับคืนเลย เขาบอกว่าจะไปคืนครั้งที่ 6 ทีเดียว เริ่มไม่เหมือนที่คุยกันไว้ แต่คนอื่นยังไม่ทักท้วงอะไร จนมาถึงกิจกรรมครั้งที่ 5 ยอดเงินประมาณ 3 หมื่น ก็เริ่มมีการพูดว่า ถ้าเราไม่โอน เพื่อนก็จะไม่ได้เงินเหมือนกัน ตอนนั้นตนเองเริ่มรู้สึกผิดก็เลยโอนเงินต่อ ประกอบกับคิดว่ายอดเงินไม่สูงมาก
จนมาถึงครั้งที่ 6 ยอดโอนประมาณ 6-8 หมื่น แต่ปรากฏว่า ตนกับเพื่อนอีกคนลืมเขียนหมายเหตุตอนท้าย เขาแจ้งมาว่า ระบบล็อกไม่สามารถโอนเงินคืนได้ ต้องมีครั้งที่ 7 ทำให้ยอดเงินพุ่งไปถึง 1.6 แสน ซึ่งในครั้งที่ 7 มีการเล่นตุกติก สร้างกติกาให้คนงง ทำให้คนโอนเงินผิด ไม่มีจุดทศนิยม รวมแล้วเงินที่โอนไปแล้วไม่ได้คืนประมาณ 3 แสน ซึ่งครั้งนี้ตนบอกว่าไม่มีเงินแล้ว เขาก็แนะนำให้ไปยืมเงินคนในทีม ซึ่งตนก็ไม่แน่ใจว่า ผู้ร่วมคัดเลือกคนอื่นเป็นหน้าม้า หรือเป็นเหยื่อเหมือนกัน ซึ่งสุดท้ายแล้วตนไม่ได้ทำต่อแล้ว
หลังเกิดเรื่องตนเองได้โทรหาธนาคารแจ้งระงับบัญชี 72 ชม. และได้แจ้งความออนไลน์ ต่อมาได้แจ้งความที่ สน.ดินแดง จนวันที่ 14 ก.ค. ที่ผ่านมา มีตำรวจจากกองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี ติดต่อมาขอหลักฐานเป็นแชทที่คุย และข้อมูลการโอนเงิน โดยช่วงเย็นวันเดียวกัน โอเพนแชท และช่องทางการติดต่อทั้งติวเตอร์ และผู้ช่วย ถูกลบไป
ถามว่าทำไมจึงหลงเชื่อ คุณใบเฟิร์นกล่าวว่า ที่ผ่านมาเคยเห็นข่าวเตือนภัยมิจฉาชีพว่าใช่วิธีการหลอกวิธีนั้น วิธีนี้ แต่การหลอกให้มาเป็นนักลงทุน นักโฆษณาทางการเงิน นักขายแพ็กเกจต่างๆ ทางการเงิน ตนเองยังไม่เคยเจอ และสิ่งที่คิดว่าเขาทำแล้วน่าสนใจคือ มีใบจดทะเบียน มีหน้าเว็บไซต์ ซึ่งตนไม่แน่ใจว่าเป็นบริษัทจริงๆ หรือไม่ ประกอบกับวิธีการที่คุย การคัดเลือกคนดูมีความน่าเชื่อถือ
แต่สิ่งที่อยากให้ระวัง ไม่อยากให้คนตกเป็นเหยื่อ ส่วนมากที่เจอจะเป็นโฆษณาที่บอกว่า มีแพ็กเกจที่น่าสนใจมากๆ เช่น ทำงานที่บ้านได้ มีคนสอนงาน ค่าตอบแทนดี ซึ่งเป็นงานที่ได้เงินง่าย แม้ว่าขั้นตอนการคัดเลือกจะดูน่าเชื่อถือ แต่การให้คะแนนผ่านง่ายเกินไป
นอกจากงานนี้ ตนเองยังเห็นโฆษณาในอินสตาแกรมที่คล้ายๆ กันคือโฆษณาให้ทำเทียน สกรีนกระเป๋า/เสื้อ แพ็กของที่ไม่ต้องลงทุนก่อน มีอุปกรณ์ให้ มีสอนออนไลน์ แพ็กของเสร็จก็ได้เงินเลย ซึ่งอาจจะไม่ใช่การหลอกลวงทั้งหมด แต่อยากให้ทุกคนระวังไว้ ตนเคยเข้ากลุ่มนั้น มีคนอยู่ในกลุ่มเป็นพันๆ คนเลย น่าจะโดนหลอกเยอะ.
การปลูกถ่ายเซลล์ต้นกำเนิดเม็ดเลือดของตนเอง คือการให้ยาเคมีบำบัดขนาดสูง เพื่อกำจัดเซลล์มะเร็งที่ไม่สามารถรักษาได้ด้วยการให้ยาเคมีบำบัดขนาดปกติ แล้วตามด้วยการให้เซลล์ต้นกำเนิดเม็ดเลือดของตนเองที่เก็บไว้ก่อนล่วงหน้า เพื่อให้ร่างกายสามารถสร้างเม็ดเลือดกลับมาเป็นปกติได้เร็วขึ้น เนื่องจากการให้ยาเคมีบำบัดขนาดสูงทำให้เกิดผลข้างเคียงมากกว่ายาเคมีบำบัดขนาดปกติ โดยเฉพาะการสร้างเม็ดเลือด ผู้ป่วยมักมีปัญหาเม็ดเลือดต่ำ โลหิตจาง มีการติดเชื้อได้ง่าย และภาวะเลือดออก
ปัจจุบัน การรักษาด้วยการปลูกถ่ายเซลล์ต้นกำเนิดเม็ดเลือดของตนเองเป็นหนึ่งในวิธีการรักษาโรคมะเร็งไขกระดูกมัยอิโลม่า โรคมะเร็งต่อมน้ำเหลืองชนิดรุนแรง โรคมะเร็งต่อมน้ำเหลืองที่กลับมาเป็นซ้ำ และโรคมะเร็งต่อมน้ำเหลืองที่ไม่ตอบสนองต่อการรักษามาตรฐาน ซึ่งทำให้โรคดังกล่าวอยู่ในภาวะสงบได้นานกว่าการรักษาที่ไม่ได้รับการปลูกถ่ายเซลล์ต้นกำเนิดเม็ดเลือดของตนเอง แต่อย่างไรก็ตามผลการรักษาในผู้ป่วยแต่ละรายอาจแตกต่างกัน ขึ้นอยู่ปัจจัยต่างๆ ได้แก่ ความแข็งแรงของผู้ป่วย ความรุนแรงของโรค และผลข้างเคียงระหว่างและหลังการรักษา
การรักษาด้วยการปลูกถ่ายเซลล์ต้นกำเนิดเม็ดเลือดของตนเอง มี 2 ขั้นตอนดังนี้
1. การเก็บเซลล์ต้นกำเนิดเม็ดเลือดของตนเอง
แหล่งที่มาของเซลล์ต้นกำเนิดเม็ดเลือด มาจาก 2 แหล่ง ได้แก่
1.1 เซลล์ต้นกำเนิดเม็ดเลือดจากเลือด เป็นแหล่งที่มาที่ใช้มากกว่า สามารถเก็บจากเลือดของผู้ป่วยได้โดยตรง ผู้ป่วยจะได้รับยาเคมีบำบัดร่วมกับการฉีดยากระตุ้นเม็ดเลือดขาว เพื่อกระตุ้นให้เซลล์ต้นกำเนิดเม็ดเลือดออกมาในกระแสเลือด และทำการเก็บเซลล์ต้นกำเนิดเม็ดเลือดด้วยเครื่องปั่นแยกเซลล์ต้นกำเนิดเม็ดเลือด เมื่อได้จำนวนเซลล์ต้นกำเนิดเม็ดเลือดที่เพียงพอ เซลล์ต้นกำเนิดเม็ดเลือดจะถูกนำไปแช่แข็งในไนโตรเจนเหลว เพื่อเก็บไว้ใช้ในขั้นตอนต่อไป
1.2 เซลล์ต้นกำเนิดเม็ดเลือดจากไขกระดูก เป็นแหล่งที่มาที่ใช้น้อย มักจะใช้เมื่อไม่สามารถเก็บเซลล์ต้นกำเนิดเม็ดเลือดจากเลือดได้ หรือการเก็บจากเลือดไม่เพียงพอ เป็นการเก็บเซลล์ต้นกำเนิดเม็ดเลือดจากไขกระดูกของผู้ป่วยซึ่งมีหน้าที่ในการสร้างเม็ดเลือด การเก็บด้วยวิธีนี้ ผู้ป่วยมีความจำเป็นต้องได้รับการระงับความรู้สึกด้วยการดมยาสลบทั่วร่างกาย และได้รับการเจาะเก็บไขกระดูกที่บริเวณสะโพกด้านหลัง เมื่อได้ปริมาณไขกระดูกที่เพียงพอ ไขกระดูกที่มีเซลล์ต้นกำเนิดเม็ดเลือดจะถูกนำไปแช่แข็งในไนโตรเจนเหลว เพื่อเก็บไว้ใช้ในขั้นตอนต่อไปเช่นเดียวกัน
2. การปลูกถ่ายเซลล์ต้นกำเนิดเม็ดเลือดของตนเอง
เมื่อได้เซลล์ต้นกำเนิดเม็ดเลือดเพียงพอแล้ว ผู้ป่วยจะได้รับยาเคมีบำบัดขนาดสูงผ่านทางหลอดเลือดดำแล้วตามด้วยการให้เซลล์ต้นกำเนิดเม็ดเลือดผ่านทางหลอดเลือดดำเช่นเดียวกับการให้เลือด หลังจากนั้น เม็ดเลือดของผู้ป่วยจะเริ่มต่ำลง อาจมีผลข้างเคียงต่างๆ เช่น คลื่นไส้ อาเจียน ผมร่วง เยื่อบุช่องปากอักเสบ ถ่ายอุจจาระเหลว มีไข้ มีการติดเชื้อ และมีเลือดออกผิดปกติ
โดยทั่วไป หลังผู้ป่วยได้รับเซลล์ต้นกำเนิดเม็ดเลือดของตนเองประมาณ 2 สัปดาห์ เม็ดเลือดจะสร้างได้เพิ่มขึ้น จนอาการดีขึ้นเป็นปกติ หลังการปลูกถ่ายเซลล์ต้นกำเนิดเม็ดเลือดของตนเอง ผู้ป่วยไม่ต้องได้รับยากดภูมิคุ้มกันใดๆ แต่ต้องได้รับตรวจติดตาม เฝ้าระวังกับแพทย์อย่างต่อเนื่องเป็นระยะเวลาหนึ่ง
ข้อมูลจาก พญ. เจน เจียรธนะกานนท์ สาขาวิชาโลหิตวิทยา ภาควิชาอายุรศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล
นายแพทย์สุรพงศ์ อำพันวงษ์...
หมอเตือน! อย่ามองข้าม “ไอเรื้อรัง” ภัยเงียบของ "มะเร็งปอด" พบบ่อยแต่รู้ช้า รักษาไม่ทัน ทำเสี่ยงเสียชีวิตไม่รู้ตัว คุณเคยไอเรื้อรังมานานแค่ไหน? ไอจนเจ็บหน้าอก ไอปนเลือด น้ำหนักลดโดยไม่รู้สาเหตุ หายใจติดขัดหรือเหนื่อยง่าย… หากคุณเคยมีอาการเหล่านี้ อย่าคิดว่าเป็นเพียงภูมิแพ้หรือโรคหวัดธรรมดา เพราะนั่นอาจเป็นสัญญาณเตือนของภัยเงียบที่คร่าชีวิตคนไทยจำนวนมากในแต่ละปี นั่นคือ “มะเร็งปอด” โรคร้ายที่มักไม่มีสัญญาณเตือนในระยะแรก และเมื่อรู้ตัวอีกทีก็อาจสายเกินไป
โดยในวันนี้ พญ.มัณฑนา สันดุษฎี อายุรแพทย์โรคระบบการหายใจและภาวะวิกฤตโรคระบบการหายใจ และเวชบำบัดวิกฤต โรงพยาบาลพระรามเก้า ให้ข้อมูลผ่าน Healthy Clean ว่า มะเร็งปอดสามารถรักษาให้หายขาดได้ หากตรวจพบตั้งแต่ระยะเริ่มแรกและได้รับการรักษาอย่างถูกต้อง ซึ่งการให้ความรู้แก่ประชาชนเกี่ยวกับโรคนี้จึงเป็นสิ่งสำคัญยิ่ง โดยแม้ว่าปัจจุบันยังไม่สามารถระบุสาเหตุของโรคได้อย่างชัดเจน แต่พบว่าปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญที่สุดคือการสูบบุหรี่ ไม่ว่าจะเป็นผู้สูบเองหรือผู้ที่ได้รับควันบุหรี่มือสอง โดยเฉพาะผู้ที่สูบบุหรี่วันละ 1 ซอง เป็นระยะเวลานาน 20 ปี จะมีความเสี่ยงเพิ่มขึ้นถึง 8 – 20 เท่า ทั้งนี้สารเคมีในบุหรี่มีฤทธิ์ทำลายเนื้อเยื่อปอดและกระตุ้นให้เกิดการกลายพันธุ์ของเซลล์
นอกจากนี้ ยังมีปัจจัยเสี่ยงอื่นที่ไม่ควรมองข้าม เช่น การสัมผัสแร่ใยหินหรือแอสเบสตอสในอุตสาหกรรมก่อสร้าง ก๊าซเรดอนที่สะสมจากหิน ดิน หรือทรายในสิ่งปลูกสร้างบางประเภท สารเคมีอย่างสารหนู ถ่านหิน หรือควันพิษจากท่อไอเสีย รวมถึงฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM 2.5 ซึ่งสามารถเข้าสู่ระบบทางเดินหายใจ ทำให้เกิดการอักเสบในปอดและเพิ่มความเสี่ยงต่อการกลายพันธุ์ของเซลล์ ส่งผลให้เสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งปอดเพิ่มขึ้นถึง 1 – 1.4 เท่า
พญ.มัณฑนา ให้ข้อมูลต่อว่า มะเร็งปอดสามารถแบ่งออกเป็น 2 ประเภทหลัก คือ มะเร็งปอดชนิดไม่ใช่เซลล์เล็ก (Non-small cell lung cancer) ซึ่งเป็นชนิดที่พบได้บ่อยที่สุด โดยมีทั้ง adenocarcinoma และ squamous cell carcinoma และอีกชนิดคือ มะเร็งปอดชนิดเซลล์เล็ก (Small cell lung cancer) ซึ่งพบได้น้อยกว่า แต่ตอบสนองต่อการรักษาด้วยยาเคมีบำบัดและการฉายแสงได้ดี
สำหรับกลุ่มเสี่ยงที่ควรให้ความสำคัญเป็นพิเศษคือผู้ที่มีอายุมากกว่า 55 ปี โดยเฉพาะผู้ที่มีประวัติสูบบุหรี่ หรือมีคนในครอบครัวเคยป่วยเป็นมะเร็งปอด เพราะแม้ว่าในระยะแรกมะเร็งปอดมักไม่แสดงอาการ แต่เมื่อโรคลุกลามขึ้น ผู้ป่วยจะเริ่มมีอาการชัดเจนมากขึ้น เช่น ไอเรื้อรัง ซึ่งพบได้ถึง 50–75% ของผู้ป่วย ไอมีเลือดปนหรือเลือดสดในเสมหะ (25–50%) หายใจลำบาก เหนื่อยง่าย เจ็บหน้าอก น้ำหนักลดโดยไม่ทราบสาเหตุ หายใจมีเสียงดัง หรือเสียงแหบ อาการเหล่านี้อาจคล้ายกับโรคทางเดินหายใจอื่น เช่น วัณโรค จึงจำเป็นต้องได้รับการวินิจฉัยจากแพทย์อย่างละเอียดเพื่อความแน่ชัด
การตรวจเอกซเรย์ปอดทั่วไปอาจไม่สามารถพบก้อนมะเร็งในระยะเริ่มต้นได้ ดังนั้นการตรวจด้วยเครื่องเอกซเรย์คอมพิวเตอร์แบบใช้รังสีต่ำ (Low-dose CT scan) จึงมีความแม่นยำและสามารถช่วยตรวจพบความผิดปกติในปอดได้เร็วกว่ามาก โดยวิธีนี้ได้รับการยอมรับในระดับสากล โดยเฉพาะในประเทศสหรัฐอเมริกา ที่ใช้เป็นแนวทางมาตรฐานในการตรวจคัดกรองในกลุ่มเสี่ยง เช่น ผู้ที่มีอายุตั้งแต่ 55 ปีขึ้นไป มีประวัติสูบบุหรี่มากกว่า 30 pack-years และเลิกบุหรี่มาไม่เกิน 15 ปี แม้จะไม่มีอาการใด ๆ ก็ตาม
หากตรวจพบว่าเป็นมะเร็งปอดแล้ว แพทย์จะวางแผนการรักษาตามชนิดของมะเร็ง ระยะของโรค และสภาพร่างกายของผู้ป่วย ซึ่งในปัจจุบันมีหลายแนวทาง ได้แก่ การผ่าตัด การใช้ยาเคมีบำบัด การฉายรังสี และการใช้ยาแบบจำเพาะเจาะจงหรือ Targeted Therapy โดยแพทย์จะร่วมพิจารณากับผู้ป่วยและครอบครัวอย่างรอบคอบ เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุดในการรักษา
“การป้องกันยังคงเป็นสิ่งสำคัญที่สุด หลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่ งดรับควันบุหรี่มือสอง หมั่นดูแลสุขภาพ หลีกเลี่ยงมลพิษ และควรตรวจสุขภาพปอดเป็นประจำโดยเฉพาะในกลุ่มเสี่ยง เพราะยิ่งพบเร็ว ก็ยิ่งมีโอกาสรักษาหาย และกลับมาใช้ชีวิตได้อย่างปกติ เพราะบางครั้งแค่ “อาการไอ” ก็อาจเป็นสัญญาณแรกที่ช่วยให้คุณรักษาชีวิตไว้ได้ทันเวลา” พญ.มัณฑนา กล่าวทิ้งท้าย..
คอลัมน์ : Healthy Clean
โดย “พรรณรวี พิศาภาคย์”...
หมอเจด หรือ นายแพทย์ เจษฎ์ บุณยวงศ์วิโรจน์ รองผู้อำนวยการโรงพยาบาลมหาราชนครราชสีมา ได้ออกมาแชร์เรื่องราวเตือนภัยสุขภาพผ่านเฟซบุ๊กเพจ "หมอเจด" เกี่ยวกับ 6 มะเร็งที่พบบ่อยที่สุดในผู้หญิง โดยรายละเอียดะบุว่า ปัจจุบันมีคนเป็นและเสียชีวิตจากมะเร็งเพิ่มขึ้นเรื่อยๆนะครับ ซึ่งบางคนรู้ตัวอีกทีก็อาจจะมาในระยะสุดท้ายแล้ว แต่ว่ามะเร็งที่พบบ่อยในผู้หญิงมันมีวิธีป้องกันอยู่ครับ ทำยังไงวันนี้จะมาเล่าให้ฟัง
1.มะเร็งเต้านม
อันนี้ก็เป็นอันดับที่1ที่เจอในผู้หญิงนะ สาเหตุก็มาจากหลายอย่างเลย ไม่ว่าจะเป็นพฤติกรรม รวมไปถึงกรรมพันธ์ด้วย ซึ่งผู้หญิงที่เริ่มมีประจำเดือนต้องเริ่มหัดตรวจเต้านมด้วยตัวเอง และคนที่อายุ20ปีขึ้นไป หนือใครที่มีความผิดปกติต้องรีบไปตรวจนะครับ ยังไงถ้าเจอ เจอในระยะต้นๆดีที่สุด
2.มะเร็งปากมดลูก
อันนี้ก็ตามมาเป็นอันดับ 2 สาเหตุหลักๆของมะเร็งชนิดนี้คือ การติดเชื้อ HPV และก็มีสาเหตุอื่นๆไม่ว่าจะเป็นการสูบบุหรี่ อายุมากขึ้น หรือการมีคู่นอนหลายคน อันนี้ก็น่าห่วง ความน่ากลัวคือมะเร็งชนิดนี้มักไม่ค่อยแสดงในระยะแรกๆ รู้ตัวอีกทีคุณอาจจะเป็นมะเร็งแล้ว อาการที่ต้องสังเกตคือ มีเลือดออกหลังมีเพศสัมพันธ์ ตกขาวผิดปกติมีสีมีกลิ่น ประจำเดือนมาไม่ปกติ และปวดท้องน้อย คนที่เคยมีเพศสัมพันธ์แล้วแนะนำหมั่นตรวจภายในนะครับ
3.มะเร็งช่องคลอด
อันนี้คุณผู้หญิงก็ต้องระวัง สาเหตุหลักมาจากการติดเชื้อ HPV อีกแล้ว และสาเหตุมาจากการสูบบุหรี่ อายุมากขึ้นอีกด้วย และมีอาการอื่นๆคล้ายกับมะเร็งปากมดลูกเลย และไม่แสดงอาการในระยะแรกเช่นกัน อาการคือมีเลือดออกจากช่องคลอด โดยไม่ใช่ประจำเดือน รวมไปถึงมีเลือดออกหลังมีเพศสัมพันธ์ หรือมีเลือดออกในวัยหมดประจำเดือนแล้ว ดังนั้นย้ำนะครับ การตรวจภายในสำคัญมากๆ
4.มะเร็งปากช่องคลอด
มีมะเร็งช่องคลอดแล้ว ก็ต้องมีมะเร็งปากช่องคลอดนะ สาเหตุหลักหนีไม่พ้น HPV นอกจากนี้ก็ยังมีสาเหตุจาก อายุเยอะ สูบบุหรี่ มะเร็งชนิดนี้ก็ไม่แสดงอาการระยะแรก โดยอาการที่ต้องคิดถึงคือ มีแผลตรงปากช่องคลอด เจ็บหรือคับบริเวณปากช่องคลอก ต่อมน้ำเหลืองตรงขาหนีบโต ตรวจเร็วรู้เร็วนะ ยังไงคุณผู้หญิงอย่าลืมตรวจภายในกันนะครับ
5.มะเร็งเยื่อบุโพรงมดลูกหรือมะเร็งมดลูก
อันนี้ก็เจอได้บ่อยในผู้หญิง ซึ่งสาเหตุมาจากอายุที่มากขึ้นหรือเข้าวัยทอง รวมไปถึงการทานยาสมุนไพร เบาหวาน และรวมไปถึงคนที่มีประวัติครอบครัวเป็นด้วยซึ่งมะเร็งชนิดนี้ดีตรงที่มีสัญญาณเตือนคือเลือดออกจากทางช่องคลอด ถ้ารีบไปหาหมอ ก็มีโอกาสรักษาหายขาดนะ
6.มะเร็งรังไข่
พบได้บ่อยในหญิงเข้าใกล้วัยทองนะครับ อาการมักจะมาด้วยท้องอืด จุกแน่น คลำเจอก้อนที่ท้อง ส่วนใหญ่หลายหลายคนมักจะเจอจากการตรวจภายใน
จากที่ผมพูดมามีการป้องกันที่เราทำได้อยู่ 2 อย่างแรกเลยคือตรวจภายใน อันนี้แนะนำผู้หญิงทุกคนเลยนะ พอมีเพศสัมพันธ์ต้องตรวจได้แล้วแนะนำตรวจภายในให้สม่ำเสมอนะ และนอกจากนี้คือ ถ้ามีความผิดปกติต้องรีบหาหมอด่วน
ส่วนอีกหนึ่งวิธีป้องกันคือการฉีดวัคซีน HPV ซึ่งป้องกันมะเร็งได้ 3 จาก 6 ชนิดที่ผมพูดมาข้างบน ทั้งมะเร็งปากมดลูก มะเร็งช่องคลอด และปากช่องช่องคลอด นอกจากนี้ยังป้องกันมะเร็งช่องปาก มะเร็งลำคอ มะเร็งทวารหนัก รวมถึงหูดหงอนไก่ ซึ่งผมแนะนำทุกคนจริงๆ แถมปัจจุบันประสิทธิภาพการป้องกัน 90-95% เลย ฉีดเถอะครับจะได้อยู่กับคนที่รักไปนานๆ “มะเร็งป้องกันได้ไม่ควรเป็น“
โลกออนไลน์ตะลึง! งานศพของชายผู้จากไปกลับกลายเป็นเหตุการณ์ที่อบอวลด้วยน้ำใจ เมื่อ “ดาร์เรลล์ ‘แพลนท์’ โธมัส” (Darrell ‘Plant’ Thomas) เจ้าของร้านล้างรถผู้เป็นที่รักของชาวอีสต์ดีทรอยต์ มอบความสุขครั้งสุดท้ายให้ชุมชน ด้วยการโปรยเงินจากเฮลิคอปเตอร์เหนือท้องถนน
ดาร์เรลล์เสียชีวิตด้วยโรคอัลไซเมอร์ในวัย 58 ปี และถูกฝังในวันที่ 27 มิถุนายนที่ผ่านมา ทว่าในช่วงพิธีไว้อาลัย ได้เกิดเหตุการณ์สุดอัศจรรย์ เมื่อเฮลิคอปเตอร์ลำหนึ่งบินผ่านเหนือร้าน “Airport Express Lube & Service” ของเขา พร้อมโปรยกลีบกุหลาบและธนบัตรจำนวนมากลงมายังถนนแกรชิออตและถนนคอนเนอร์
รายงานระบุว่าการจราจรทั้ง 6 เลนหยุดชะงักทันที ขณะผู้คนวิ่งออกมาเก็บเงินด้วยความตื่นเต้น โดยไม่มีเหตุวุ่นวายแต่อย่างใด
ครอบครัวของดาร์เรลล์เผยว่า นี่คือ “คำขอสุดท้าย” ของผู้ล่วงลับที่ต้องการ “คืนสิ่งดี ๆ ให้ชุมชน” โดยลูกชายของเขาผู้จัดงานกล่าวว่า “พ่อของผมคือฮีโร่ของชุมชน ดีทรอยต์อาจไม่รู้จักเขา แต่ชุมชนนี้รู้ดีว่าเขาคือตำนาน”
คริสตัล เพอร์รี่ หลานสาวของดาร์เรลล์ เผยผ่านเฟซบุ๊กว่า เงินที่โปรยลงมาในวันนั้นมีมูลค่าราว 5,000 ดอลลาร์ (ประมาณ 180,000 บาท) ขณะคลิปวิดีโอเหตุการณ์ดังกล่าวถูกแชร์อย่างรวดเร็ว แสดงให้เห็นผู้คนตื่นเต้น เฮฮา และหัวเราะท่ามกลางบรรยากาศสุดอบอุ่น
ลิซ่า ไนฟ์ พนักงานเก่าแก่ของร้านกล่าวว่า “ไม่มีใครทะเลาะกัน ทุกคนแบ่งปันและเคารพซึ่งกันและกัน มันคือภาพที่งดงามมาก”
แม้ตำรวจดีทรอยต์จะทราบล่วงหน้าว่าจะมีการโปรยกลีบกุหลาบ แต่ไม่รู้ว่าจะมีการโปรยเงินด้วย อย่างไรก็ตาม พวกเขายืนยันว่า “จะไม่ดำเนินการสอบสวนใด ๆ” ส่วนสำนักงานการบินพลเรือนแห่งสหรัฐฯ (FAA) ได้เริ่มการตรวจสอบเหตุการณ์นี้แล้ว
พิธีอำลาสุดประทับใจนี้จึงไม่ใช่แค่การไว้อาลัย แต่คือการเฉลิมฉลองให้กับชายผู้เก็บเงินทั้งชีวิตเพื่อมอบ “พรจากฟ้า” แก่ผู้คนรอบตัว