"งูเขียว" ถือเป็นสัตว์ที่หลายๆ คนหวาดกลัว เนื่องจากมีรูปลักษณ์ภายนอกที่น่ากลัว อีกทั้งงูยังขึ้นชื่อว่าเป็นสัตว์มีพิษร้ายแรง แต่แท้จริงแล้วงูเขียวมีทั้งแบบมีพิษ และไม่มีพิษ บทความนี้ ไทยรัฐออนไลน์จะพาไปทำความรู้จัก งูเขียวมีพิษและไม่มีพิษแต่ละชนิดที่พบได้บ่อยในประเทศไทย ดังนี้
รู้จัก 5 งูเขียวไม่มีพิษ-พิษอ่อนๆ มีอะไรบ้าง
งูเขียว ถือเป็นงูอีกหนึ่งสายพันธุ์ที่พบได้บ่อยในประเทศไทย โดยส่วนใหญ่เป็นงูเขียวไม่มีพิษ หรือมีพิเศษอ่อน แต่ไม่เป็นอันตราย ดังนี้
1. งูเขียวพระอินทร์
งูเขียวพระอินทร์ หรืองูเขียวดอกหมาก (ชื่อทางวิทยาศาสตร์ : Chrysopelea ornata) มีลักษณะลำตัวสีเขียวอ่อนสลับลายดำ โดยจะมีลายสีดำบริเวณหัวมากกว่าส่วนอื่นจนคล้ายกับว่างูชนิดนี้มีหัวสีดำ ใต้คางสีขาว ใต้ท้องสีเขียวอ่อน หรือเหลืองอ่อน
ขนาด : ความยาวจากหัวไปถึงหางประมาณ 140 เซนติเมตร
พิษ : พิษอ่อน หากถูกกัดจะมีอาการอักเสบ และปวดบวมเล็กน้อย
พฤติกรรมงูเขียวพระอินทร์ : ออกหากินในช่วงกลางวัน ว่องไว อาศัยตามซอกไม้ โพรงไม้
2. งูเขียวปากจิ้งจก หรืองูเขียวหัวจิ้งจก
งูเขียวปากจิ้งจก หรืองูเขียวหัวจิ้งจก (ชื่อทางวิทยาศาสตร์ : Ahaetulla prasina) แบ่งออกเป็น 3 กลุ่ม กลุ่มแรกจะมีสีเขียวอ่อน, กลุ่มที่สองจะมีสีเทาขาว และกลุ่มที่สามจะมีสีเหลืองทอง ซึ่งทุกกลุ่มจะมีลายคล้ายกัน คือ มีลายสีดำเฉียงพาดลำตัว ทั้งนี้ ลักษณะเด่นของพันธุ์นี้คือ เรียวยาว ปลายปากแหลม
ขนาด : ความยาวจากหัวไปถึงหาง เมื่อโตเต็มที่ประมาณ 200 เซนติเมตร
พิษ : พิษอ่อนมาก เป็นอันตรายต่อสัตว์เล็ก เช่น นก กิ้งก่า แมลง
พฤติกรรมงูเขียวปากจิ้งจก : ออกหากินทั้งกลางวันและกลางคืน อาศัยตามต้นไม้
ขอบคุณภาพจาก ศูนย์ธรรมชาติวิทยาดอยสุเทพเฉลิมพระเกียรติฯ คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
3. งูเขียวกาบหมาก
งูเขียวกาบหมาก (ชื่อทางวิทยาศาสตร์ : Gonyosoma oxycephalum) มีลำตัวยาว สีเขียวอ่อน หัวเรียวยาว ด้านบนของหัวมีสีน้ำตาลแดง บางตัวหางสีแดงคล้ำ เมื่อเจอเหตุการณ์ตกใจงูเขียวกาบหมากจะพองถุงลมบริเวณคอ ส่งผลให้ตรงคอโป่งพอง
ขนาด : ความยาวจากหัวไปถึงหาง เมื่อโตเต็มยาวได้มากถึง 250 เซนติเมตร
พิษ : ไม่มีพิษ
พฤติกรรมงูเขียวกาบหมาก : ออกหากินตอนกลางวัน กินสัตว์เล็ก อาศัยตามต้นไม้ หรือไม้รก
ขอบคุณภาพจาก อุทยานแห่งชาติปางสีดา - Pang sida National Park
4. งูเขียวบอน
งูเขียวบอน (ชื่อทางวิทยาศาสตร์ : Boiga saengsomi) เป็นงูขนาดกลาง ตาโต หัวยาวและกว้างกว่าลำคอ ลำตัวยาวและแบนข้าง หางเรียวเล็ก ผิวหนังมีเกล็ดคลุม โดยเกล็ดบนหลังไปจนถึงกลางลำตัวมีขนาดใหญ่กว่าบริเวณอื่นๆ
ขนาด : ความยาวจากหัวไปถึงหางประมาณ 100 เซนติเมตร
พิษ : พิษอ่อน ไม่เป็นอันตรายต่อมนุษย์
พฤติกรรมงูเขียวบอน : อาศัยตามต้นไม้สูง หรือป่าดิบชื้น ส่วนใหญ่ออกหากินช่วงกลางคืน
5. งูเขียวปากแหนบ
งูเขียวปากแหนบ (ชื่อทางวิทยาศาสตร์ : Ahaetulla fusca) หัวยาวและกว้างกว่าคอ ปลายของหัวเรียว และมีรยางค์ยื่นออกไป ตาใหญ่ ลำตัวมีสีเขียว ขนาดเล็ก เรียว และยาว ผิวหนังมีเกล็ดปกคลุม โดยเกล็ดด้านบนเป็นแผ่นขนาดใหญ่ สีบริเวณอาจเป็นสีเขียว เขียวอ่อน หรือสีแดง
ขนาด : ความยาวจากหัวไปถึงหางประมาณ 30-60 เซนติเมตร
พิษ : พิษอ่อน ไม่เป็นอันตรายต่อมนุษย์ พฤติกรรมงูปากแหนบ : ออกหากินทั้งกลางวัน อาศัยตามสวน และป่าดิบชื้น
รู้จัก "งูเขียวหางไหม้" งูเขียวพิษร้ายแรง
งูเขียวหางไหม้ (ชื่อทางวิทยาศาสตร์ : Trimeresurus popeiorum) งูพิษร้ายแรงที่พบได้บ่อยในประเทศไทย นิสัยดุร้าย ลำตัวและหัวมีสีเขียว หัวเป็นรูปสามเหลี่ยมกว้าง ม่านตาคล้ายตาแมว บริเวณหางสั้นมีสีแดง เกล็ดหัวเรียบมีขนาดเล็ก แต่เกล็ดตามลำตัวเป็นสัน
ขนาด : มีความยาวประมาณ 100 เซนติเมตร
พิษ : พิษร้ายแรง หากถูกกัดจะส่งผลให้ปวด บวม แดง คลื่นไส้ อาเจียน หายใจลำบาก ตลอดจนเสียชีวิตได้
พฤติกรรมงูเขียวหางไหม้ : ออกหากินเวลากลางคืน อาศัยบริเวณพุ่มไม้ หรือต้นไม้ในป่าดิบชื้น
รู้ไว้รักษาทัน ถูกงูเขียวกัดต้องทำอย่างไร
หากถูกงูเขียวกัด หรือมีคนรอบตัวถูกงูเขียวกัดให้ปฐมพยาบาลเบื้องต้น ดังนี้
หากบริเวณงูกัดมีเสื้อผ้า หรือเครื่องประดับกดทับไว้ ให้รีบถอดออกทันที
ล้างแผลด้วยน้ำสะอาดและสบู่ เพื่อหลีกเลี่ยงการปนเปื้อน
ดามแผลบริเวณที่งูกัด เพื่อให้เคลื่อนไหวให้น้อยที่สุด
วางส่วนที่งูกัดไว้ต่ำกว่าระดับหัวใจ
รีบไปโรงพยาบาลให้เร็วที่สุด
ทั้งนี้ ไม่ควรใช้ปากดูดแผลที่ถูกกัด ไม่ควรขันชะเนาะ และไม่ควรนำสมุนไพร ยาสีฟัน หรือแอลกอฮอล์มาทาบริเวณแผล เนื่องจากส่งผลให้เสี่ยงต่อการติดเชื้อมากกว่าเดิม
งูเขียวถือเป็นงูที่พบได้บ่อยในประเทศไทย ส่วนใหญ่ไม่มีพิษ แต่หากโดนงูเขียวหางไหม้ หรืองูเขียวที่มีพิษสายพันธุ์อื่นๆ กัด แนะนำให้ปฐมพยาบาลเบื้องต้น และรีบน้ำส่งโรงพยาบาลโดยเร็วที่สุด เพื่อให้แพทย์ทำการตรวจร่างกายและรักษาตามอาการ
27 สิงหาคม 2568 สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า สวนสัตว์เม็กซิโกเผยข่าวดี เต่าโคลนวัลลาร์ตา (Vallarta mud turtle) หรือ "เต่าเล็กที่สุดในโลก" ขนาดตัวเท่าเหรียญ ซึ่งใกล้สูญพันธุ์ ฟักตัวออกจากไข่ในสวนสัตว์กัวดาลาฮารา (Zoológico Guadalajara) ในเม็กซิโกแล้ว
นายริคาร์โด ดาวิลา นักชีววิทยาและหัวหน้าฝ่ายสัตว์เลื้อยคลานและสะเทินน้ำสะเทินบกของสวนสัตว์กัวดาลาฮาราในเม็กซิโกเผยข่าวดี หลังเต่าโคลนวัลลาร์ตา "เต่าเล็กที่สุดในโลก" ที่อยู่ในสถานะใกล้สูญพันธุ์ระดับวิกฤติ ฟักไข่ออกมาแล้ว โดยดาวิลาระบุว่าข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับเต่าสายพันธุ์นี้มีอยู่น้อยมาก เนื่องจากเพิ่งถูกค้นพบไม่กี่ปีที่ผ่านมา
โดยเต่าชนิดนี้จัดว่าเป็น เต่าน้ำจืดที่เล็กที่สุดในโลก โดยส่วนกระดอง ของตัวผู้โดยเฉลี่ยมักไม่เกิน 7.5 ซม. และตัวเมียเล็กกว่านิดหน่อยแต่ไม่เกิน 9.5 ซม. ขณะที่ขนาดความยาวสูงสุดที่เคยบันทึกได้อยู่ที่ 10.2 เซนติเมตร นอกจากนี้ตัวผู้จะมีแถบเหลืองโดดเด่นที่จมูก ซึ่งเป็นเอกลักษณ์ที่ช่วยสังเกตและแยกเพศได้
เต่าโคลนวัลลาร์ตา พบในพื้นที่รอบเมืองเปอร์โตวัลลาร์ตา รัฐฮาลิสโกประเทศเม็กซิโก โดยเฉพาะพื้นที่ชื้นอย่างสระน้ำ คูคลอง และพื้นที่ชุ่มน้ำที่ได้รับผลกระทบจากการพัฒนาเมือง โดยปัจจุบันคาดว่ามีประชากรเต่าในธรรมชาติต่ำกว่า 500 ตัวเท่านั้น และพื้นที่อยู่อาศัยเพียงประมาณ 20 เฮกตาร์ หรือเทียบเท่ากับสนามฟุตบอลประมาณ 32 สนาม
26 สิงหาคม 2568 สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า กรมสาธารณสุขและบริการมนุษย์สหรัฐฯ แถลงยืนยันการตรวจพบผู้ติดเชื้อ หนอนพยาธิกินเนื้อคน (New World screwworm) รายแรกในประเทศ
'แอนดรูว์ นิกสัน' โฆษกของกรมอนามัยและบริการมนุษย์สหรัฐฯ เปิดเผย ว่า ศูนย์ควบคุมและป้องกันโรค (CDC) ร่วมกับกรมอนามัยของรัฐแมริแลนด์ ยืนยันกรณีดังกล่าวเมื่อวันที่ 4 สิงหาคม ที่ผ่านมา ในผู้ป่วยที่เพิ่งเดินทางกลับจากเอลซัลวาดอร์ โดยพบการติดเชื้อจากการที่ตัวอ่อนแมลงวันฝังตัวในบาดแผล
หน่วยงานควบคุมโรคสหรัฐฯ ร่วมกับกรมสาธารณสุขรัฐแมรีแลนด์ลงพื้นที่สอบสวน พร้อมย้ำว่าความเสี่ยงการแพร่เชื้อสู่สาธารณชนทั่วไปยังต่ำมาก โดยโรคหนอนแมลงวัน เป็นโรคที่เกิดจากการระบาดของแมลงวันปรสิตโดยตัวอ่อนของแมลงวัน ปรสิตกินเนื้อคนชนิดนี้ถือเป็นศัตรูร้ายแรงต่อปศุสัตว์และสัตว์เลี้ยง ซึ่งปกติพบระบาดในอเมริกาใต้และแถบแคริบเบียน ล่าสุดแพร่กระจายขึ้นมาทั่วอเมริกากลางรวมถึงเม็กซิโก
กระทรวงเกษตรสหรัฐฯ ออกคำเตือนว่า หากมีการระบาดในฝูงวัว หรือปศุสัตว์ จะสร้างความเสียหายทางเศรษฐกิจมหาศาล คาดว่ามากกว่า 100,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เนื่องจากหนอนพยาธิชนิดนี้กินเนื้อเยื่อสด ทำให้สัตว์ทรมานและอาจเสียชีวิต โดยแนะนำว่าผู้ที่มีบาดแผลเปิดและเดินทางไปพื้นที่เสี่ยง รวมถึงเกษตรกรหรือผู้ที่ใกล้ชิดปศุสัตว์ ควรเพิ่มความระมัดระวัง เพราะมีโอกาสสูงที่จะติดเชื้อได้เช่นกัน โดยเฉพาะผู้ที่มีบาดแผลเปิด มีความเสี่ยงที่จะติดเชื้อโรคได้สูงขึ้นหากเดินทางไปยังภูมิภาคที่มีการแพร่ระบาดดังกล่าว หรือหากอยู่ใกล้ปศุสัตว์ในพื้นที่ชนบทที่มีแมลงวันชุกชุม
“ข้อไหล่ติด” เป็นอาการอย่างหนึ่งของปัญหาสุขภาพข้อไหล่ ส่งผลกระทบกับการใช้ชีวิตประจำวัน แต่ยังมีวิธีรักษาให้หายด้วยการดูแลอย่างถูกต้อง
“ข้อไหล่ติด” เป็นอาการอย่างหนึ่งของปัญหาสุขภาพข้อไหล่ แม้ไม่ใช่เรื่องใหญ่ แต่ก็ส่งผลรบกวนจิตใจ และกระทบกับการใช้ชีวิตประจำวัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเวลาที่ต้องยกแขน ยกไหล่ ใส่เสื้อผ้าหรือขณะอาบน้ำ อย่างไรก็ตามยังมีวิธีรักษาให้หายจากอาการที่ว่านี้
“คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี” มีคำแนะนำเกี่ยวกับอาการดังกล่าว ทั้งสาเหตุของอาการ วิธีรักษา และการปฏิบัติตัวอย่างถูกต้อง
“ข้อไหล่ติด” อาการเป็นอย่างไร
เป็นอาการที่ไม่สามารถยกแขนได้สุด หากยกแขนจนถึงระดับเกือบเต็มที่จะรู้สึกปวด โดยอาการข้อไหล่ติดจะเกิดทุกทิศทางในการเคลื่อนไหว ทั้งไปข้างหน้า ด้านข้าง หรือข้างหลัง ทำให้เป็นอุปสรรคต่อการใช้ชีวิตประจำวัน
อาการ “ข้อไหล่ติด” แบ่งเป็น 3 ระยะ ได้แก่
1.ระยะปวด โดยจะมีอาการปวดมาก แม้ยกไหล่เพียงนิดเดียว ในระยะนี้มักจะเป็นอยู่ประมาณ 2-9 เดือน
2.ระยะข้อไหล่ติด โดยจะมีพิสัยการเคลื่อนไหวข้อไหล่ลดลง มักมีอาการปวดตึงไหล่เมื่อขยับไหล่ใกล้สุด ทำให้มีปัญหาเรื่องการใช้งาน อาทิ การปวดไหล่ขณะอาบน้ำ ใส่เสื้อผ้า โดยผู้ป่วยจะมีอาการอยู่ในระยะนี้นานแตกต่างกันออกไป มีตั้งแต่ 2 เดือน ไปจนถึง 1 ปีครึ่ง
3.ระยะฟื้นคืนตัว เมื่อผ่านระยะติดมาแล้วจะเข้าสู่ระยะฟื้นคืนตัว โดยธรรมชาติจะรักษาตัวเอง อาจใช้เวลาตั้งแต่ 1-3 ปี
หลักการรักษา “ข้อไหล่ติด”
1.ให้ยาลดปวด อาจเป็นยากินหรือยาชนิดฉีด
2.กายภาพบำบัด ผู้ป่วยต้องทำกายภาพอย่างสม่ำเสมอตั้งแต่ระยะแรกที่มีอาการจึงจะได้ผลลัพธ์ที่ดี
3.ผ่าตัด สำหรับผู้ป่วยบางรายที่รักษาด้วยการใช้ยาร่วมกับการทำกายภาพบำบัดแล้วไม่ประสบผลสำเร็จ
4.การออกกำลังกาย
ปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้เกิดข้อไหล่ติด
1.โรคประจำตัว เช่น เบาหวาน โรคที่เกี่ยวกับความอ้วน โรคไทรอยด์
2.ผู้ที่มีการเคลื่อนไหวน้อย เช่น ผู้ป่วยติดเตียง เป็นต้น
3.เคยประสบอุบัติเหตุที่ข้อไหล่ มีภาวะเส้นเอ็นบริเวณไหล่ฉีกขาด....
องค์การสวนพฤกษศาสตร์ พบพืชหายาก "𝙃𝙚𝙩𝙚𝙧𝙤𝙨𝙩𝙚𝙢𝙢𝙖 𝙗𝙧𝙤𝙬𝙣𝙞𝙞 Hayata" ที่หายเงียบจากบันทึกโลกนานถึง 113 ปี กลับมาปรากฏอีกครั้ง ท่ามกลางพรมมอสเขียวขจีกลางผืนป่าดิบใน จ.เชียงราย
ข้อมูลระบุว่า พืชชนิดนี้เคยมีรายงานเพียงในไต้หวัน จีน และเวียดนาม เมื่อราว พ.ศ. 2449 (1906) ก่อนจะเงียบหายจากบันทึกของโลกพฤกษศาสตร์ไปนานนับร้อยปี จนกระทั่งใน พ.ศ. 2562 ทีมนักอนุกรมวิธานพืชจากองค์การสวนพฤกษศาสตร์ (BGO) ได้ค้นพบอีกครั้งในพื้นที่ป่าดิบของเชียงราย และมีการตีพิมพ์รายงานอย่างเป็นทางการในปีถัดมา (พ.ศ. 2563)
ลักษณะเด่นที่สะกดสายตา
เป็นไม้เลื้อยเนื้ออ่อน มีน้ำยางสีขาว
ใบเรียงตรงข้าม แผ่นใบรูปไข่ถึงรูปรี
ดอกสีเหลืองสด มีกลีบดอก 5 แฉกคล้ายดาว
บริเวณกลีบดอกมีจุดประสีแดงทั่วแผ่นกลีบ
กลางดอกโดดเด่นด้วยกระบังรอบสีแดงเข้ม 5 แฉก รูปทรงคล้ายดาวทะเลที่นิ่งสงบใต้ผืนทะเลลึก
จัดอยู่ในวงศ์ : Apocynaceae (วงศ์ดอกรัก)
สถานภาพการอนุรักษ์ : ยังไม่ถูกจัดอันดับอย่างเป็นทางการ
แหล่งที่พบในธรรมชาติ : เฉพาะป่าดิบของจังหวัดเชียงราย ที่ความสูงประมาณ 500 เมตร จากระดับทะเล
ช่วงออกดอก : ฤดูฝน — เดือนมิถุนายนถึงกรกฎาคม
สถานะในธรรมชาติ : พบในไต้หวัน จีน เวียดนาม ไทย และลาว แต่ในไทยมีจำนวนน้อยมาก
ทั้งนี้ องค์การสวนพฤกษศาสตร์ ได้ชวนร่วมตั้งชื่อไทยให้พืชหายากนี้ด้วย
ทำเอาหลายคนสงสัยเมื่อได้เห็นเจ้าตัวก้อนกลมๆหน้าตาดูแปลกๆแต่น่ารัก ดูเหมือน แต่ก็ดูเหมือนนก จริงๆแล้วน้องคือนก โดยทางเพจกองทุนฟื้นฟูนกป่าล้านนา Lanna Wild Bird Rescue and Rehabilitation กำลังเผชิญกับเคสที่ท้าทายที่สุดเคสหนึ่ง เมื่อพบ "นกปากกบลายดำ" เพศเมีย บินไม่ได้ในป่าแถบภูเขาเชียงใหม่ แม้สภาพร่างกายสมบูรณ์ แต่กลับอ่อนแรงผิดปกติ การตรวจเบื้องต้นพบเชื้อโปรโตซัว Trichomonas ในปริมาณมาก ซึ่งคาดว่าเป็นสาเหตุหลักของอาการป่วย นกปากกบลายดำเป็นหนึ่งในสองสายพันธุ์นกปากกบที่พบในภาคเหนือ และมีพฤติกรรมหากินในเวลากลางคืน ข้อมูลเกี่ยวกับการฟื้นฟูดูแลนกชนิดนี้มีอยู่น้อยมาก ทำให้ทางกองทุนฯ ต้องเริ่มบุกเบิกแนวทางการรักษาและการดูแลฟื้นฟูด้วยตัวเองทั้งหมด เพื่อให้นกตัวนี้กลับคืนสู่ธรรมชาติได้อย่างปลอดภัย
โดยทางเพจกองทุนฟื้นฟูนกป่าล้านนา Lanna Wild Bird Rescue and Rehabilitation ได้ระบุข้อความว่า "มาดูคนไข้ที่ประหลาดที่สุดของผมตลอดกาล ! นกปากกบลายดำ นกตัวนี้เป็นตัวเมีย เจออยู่บนพื้น บินไม่ได้ ในป่าของภูเขาแห่งหนึ่งในเชียงใหม่ แม้ว่านกจะสมบูรณ์ แต่มันดูอ่อนแรงพอสมควร เก็บตัวอย่างที่ออกมาน้อยนิดเดียว แต่พบเชื้อโปรโตซัว Trichomonas ปริมาณมาก แสดงว่าต้องติดเชื้อเยอะ เป็นจำเลยต้องสงสัยที่ 1 ของสาเหตุการป่วยเลย นกปากกบลายดำ เป็นนกปากกบ 1 ใน 2 ชนิดที่ๆ ข้อมูลการฟื้นฟูดูแลของมันนั้นไม่มีเลย ผมจึงต้องเริ่มบุกเบิกด้วยตัวเองทั้งหมด
นกปากกบลายดำBatrachostomus hodgsoni เป็นนกกลางคืนที่พบค่อนข้างยาก ชุดขนกลมกลืนกับสภาพแวดล้อม พบได้ในป่าดิบและป่าเบญจพรรณตามเชิงเขาและภูเขาสูง (900-2000 เมตรจากระดับน้ำทะเล) ทั้งสองเพศมีลวดลายคล้ายไลเคนบนกิ่งไม้ เพศผู้มีชุดขนโดยรวมสีเทา ส่วนเพศเมียมีชุดขนสีน้ำตาลแดง จำแนกจากนกปากกบชนิดอื่นได้จากการกระจายพันธุ์ ถิ่นอาศัย ระดับความสูง และขนาดตัวที่ค่อนข้างเล็ก เสียงร้องคล้ายเสียงผิวปากที่ลากยาวและโหยหวน มักร้องซ้ำๆ ติดต่อกัน
ในประเทศไทยพบนกปากกบ (frogmouths) ได้ทั้งหมด 4 ชนิด ส่วนใหญ่อาศัยอยู่ตามป่าต่ำทางภาคใต้ มีเพียงนกปากกบลายดำชนิดเดียวที่อาศัยอยู่บนภูเขาสูงทางภาคเหนือ จะงอยปากที่กว้างละม้ายคล้ายกบช่วยในการล่าเหยื่อซึ่งมักเป็นแมลงขนาดใหญ่ ปากของมันหนาและแข็งแรงกว่าญาติๆ ที่จับแมลงกลางอากาศอย่างนกตบยุง (nightjars) และนกแอ่น (swifts) นกปากกบและนกตบยุงต่างก็เป็นนกกลางคืนที่มีลวดลายช่วยพรางตัวพวกมันได้เนียนเหลือเชื่อ โดยเฉพาะนกปากกบเพศผู้ ซึ่งจะมีสีไม่เข้มสดเท่าเพศเมีย กรณีของนกปากกบลายดำนั้น ลำตัวมันเต็มไปด้วยลายขีดสีดำๆ ยุ่งเหยิงกว่าชนิดอื่น หัวมีขนยาวๆ ชี้ฟูไปคนละทิศละทางไม่เป็นระเบียบ คล้ายไม้ยืนต้นในป่าดิบเขาที่มีพืชอิงอาศัยขึ้นรุงรัง แต้มสีขาวบนตัวก็ดูเหมือนไลเคนที่เป็นดวงๆ เกาะติดอยู่กับเปลือกไม้ด้วย