เมื่อต้นเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา มีการเปิดเผยการค้นพบดาวเคราะห์น้อยอันตรายดวงใหม่ที่ต้องจับตามอง ดาวเคราะห์น้อยดวงนี้ชื่อ 2024 วายอาร์ 4 (2024 YR4) ซึ่งค้นพบเมื่อปลายปีที่แล้ว ความน่าสนใจคือวิถีการเคลื่อนที่ของดาวเคราะห์น้อยดวงนี้จะมาเฉียดใกล้โลกในวันที่ 22 ธันวาคม พ.ศ.2575 และมีโอกาสที่จะชนโลกประมาณ 1.2 เปอร์เซ็นต์ ประกอบกับขนาดของดาวเคราะห์น้อยดวงนี้ที่ประเมินว่ามีเส้นผ่านศูนย์กลางอยู่ในช่วง 40-100 เมตร ทำให้ 2024 วายอาร์ 4 ขึ้นทำเนียบของดาวเคราะห์น้อยอันตรายหมายเลขหนึ่งทันที ด้วยความเสี่ยงระดับ 3 ตามมาตราโตริโน
ถัดมาอีกเพียงหนึ่งสัปดาห์ ก็มีความคืบหน้าเกี่ยวกับดาวเคราะห์น้อยดวงนี้ขึ้นมาอีก เมื่อมีการประเมินความเสี่ยงใหม่ พบว่ามีอัตราความเสี่ยงขยับขึ้นมาอีกเป็น 2.3 เปอร์เซ็นต์ หรือเพิ่มขึ้นเกือบเท่าตัวเลยทีเดียว! คำว่าโอกาสชนโลก 2.3 เปอร์เซ็นต์ หมายความว่า หากสุ่มคำนวณการเคลื่อนที่โดยให้มีตัวแปรอยู่ในช่วงความคลาดเคลื่อนเป็นจำนวน 1,000 ครั้ง จะมี 23 ครั้งที่ชนโลก เป็นความเสี่ยงที่คำนวณขึ้นจากตัวแปรต่าง ๆ เท่าที่มีอยู่ในปัจจุบัน
สมมุติว่าโลกโชคร้าย ดาวเคราะห์น้อย 2024 วายอาร์ 4 จะพุ่งชนโลกจริง ๆ แน่นอนว่าด้วยขนาดที่ค่อนข้างใหญ่ นักดาราศาสตร์คาดว่าความรุนแรงเมื่อพุ่งชนจะอยู่ในระดับเดียวกับเหตุการณ์ที่ตุงกุสคาใน พ.ศ. 2451 ซึ่งในครั้งนั้นทำให้พื้นที่ป่าเสียหายนับล้านไร่ หากจุดพุ่งชนเกิดขึ้นในเมืองใหญ่ ย่อมทำให้เกิดความเสียหายต่อชีวิตผู้คนอย่างมากแน่นอน อย่างไรก็ตาม โลกมีทางเลือกมากกว่าแค่รอให้มฤตยูมาเยือน การที่รู้สถานการณ์ล่วงหน้าเป็นเวลานาน หมายความว่าเรามีเวลามากพอที่จะดำเนินแผนการอพยพผู้คน นอกจากนี้ นักวิทยาศาสตร์ยังมีวิธีที่จะเบี่ยงเบนวัตถุไม่ให้พุ่งชนโลกได้ ซึ่งภารกิจดาร์ตได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วได้ผลจริง
ที่มา: สมาคมดาราศาสตร์ไทย
ฝุ่น PM2.5 วิกฤติ! แพทยศาสตร์จุฬาฯ-ซีพี เปิดตัวหน้ากาก “POR-DEE” นวัตกรรมเพื่อสุขภาพ รายได้หลังหักค่าใช้จ่ายบริจาคให้โรงพยาบาลจุฬาฯและคณะแพทยศาสตร์ จุฬาฯ
จากสถานการณ์ฝุ่น PM 2.5 ในประเทศไทยที่ยังคงทวีความรุนแรง ล่าสุดกรุงเทพฯ และเชียงใหม่ติดอันดับเมืองที่มีมลพิษสูงที่สุดในโลก หลายพื้นที่ทั่วประเทศมีค่าฝุ่นละอองเกินมาตรฐานระดับสีส้มถึงสีแดง กระทบโดยตรงต่อสุขภาพของประชาชน ทั้งนี้เพื่อช่วยบรรเทาผลกระทบจากวิกฤตมลพิษ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย ได้ร่วมมือกับ เครือเจริญโภคภัณฑ์ (ซีพี) ในการพัฒนา หน้ากากอนามัย “POR-DEE” ซึ่งออกแบบมาเพื่อลดความเสี่ยงจากการได้รับฝุ่น PM 2.5
โดยมอบหมายให้ บริษัท ซีพี โซเชียลอิมแพคท์ จำกัด เป็นผู้ผลิตหน้ากากนี้ภายใต้มาตรฐานระดับสากล รายได้หลังหักค่าใช้จ่ายจากการจำหน่ายหน้ากากทั้งหมด จะถูกส่งกลับไปสนับสนุน โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย และคณะแพทยศาสตร์ จุฬาฯ เพื่อใช้ในกิจกรรมทางการแพทย์ ตามเจตนารมย์ นายธนินท์ เจียรวนนท์ ประธานอาวุโส เครือเจริญโภคภัณฑ์
ฝุ่น PM 2.5 อันตรายกว่าที่คิด! ผู้เชี่ยวชาญเตือนต้องเร่งป้องกัน
รศ. นพ. ฉันชาย สิทธิพันธุ์ อายุรแพทย์ผู้เชี่ยวชาญโรคระบบทางเดินหายใจ คณบดีคณะแพทยศาสตร์ จุฬาฯ และผู้อำนวยการโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ฯ เปิดเผยว่าฝุ่น PM 2.5 เป็นอันตรายต่อสุขภาพอย่างร้ายแรง โดยส่งผลกระทบทั้งระยะสั้น และระยะยาว อาทิ ในระยะสั้น จะก่อให้เกิดการระคายเคือง ไอ จาม ส่วนคนที่มีโรคประจำตัว เช่น หอบหืด หรือหัวใจ ก็จะมีอาการกำเริบได้ ในระยะยาว หากได้รับต่อเนื่อง ก็จะนำไปสู่โรคเกี่ยวกับทางเดินหายใจ อาทิ โรคมะเร็งปอด เป็นต้น
“เมื่อโมเลกุลขนาดเล็กของ PM 2.5 ลงสู่ปอด จะสามารถกระจายไปยังส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย ก่อให้เกิดการอักเสบเรื้อรังของเส้นเลือด นอกจากนี้ยังมีข้อมูลว่า จะเป็นปัจจัยกระตุ้นโรคเบาหวาน กระดูกพรุน และสมองเสื่อม ความท้าทายของประชาชน คือ หากหลีกเลี่ยงสภาพแวดล้อมที่ปลอด PM 2.5 ไม่ได้ ก็จำเป็นต้องหาวิธีป้องกัน นั่นเป็นที่มาของการพัฒนานวัตกรรมหน้ากากร่วมกันของคณะแพทยศาสตร์ จุฬาฯ โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ฯ และ เครือเจริญโภคภัณฑ์ หรือซีพี โดยบริษัท ซีพี โซเชียลอิมแพคท์ จำกัด เพื่อมีวิธีให้ประชาชนดำเนินชีวิตอย่างปลอดภัยมากขึ้น” รศ.นพ.ฉันชาย กล่าว
รศ.นพ.ฉันชาย กล่าวต่อไปว่า “เนื่องจากประชาชนไม่สามารถหลีกเลี่ยงสภาพแวดล้อมที่มีฝุ่น PM 2.5 ได้ การป้องกันตัวเองด้วยหน้ากากที่มีประสิทธิภาพสูงจึงเป็นสิ่งจำเป็น ซึ่งเป็นที่มาของความร่วมมือระหว่าง คณะแพทยศาสตร์ จุฬาฯ – โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ – เครือซีพี ในการพัฒนา ‘POR-DEE’ หน้ากากคุณภาพสูง เพื่อให้ประชาชนดำเนินชีวิตได้อย่างปลอดภัยยิ่งขึ้น”
ซีพีเดินหน้าผลิตหน้ากากป้องกันฝุ่น PM 2.5 เพื่อช่วยสังคม สานต่อความร่วมมือจากโควิด-19
ดร.ธีระพล ถนอมศักดิ์ยุทธ ประธานคณะผู้บริหารด้านความยั่งยืนองค์กรและการพัฒนากลยุทธ์ เครือเจริญโภคภัณฑ์ กล่าวว่า ซีพีมีนโยบายสนับสนุนการแก้ปัญหาสุขภาพของประชาชนมาอย่างต่อเนื่อง ที่ผ่านมาซีพีโดยดำริของนายธนินท์ เจียรวนนท์ ประธานอาวุโส เคยจัดตั้งโรงงานผลิตหน้ากากอนามัยในช่วงวิกฤตโควิด-19 และแจกฟรีให้แก่โรงพยาบาล บุคลากรทางการแพทย์และประชาชนกลุ่มเปราะบางไปแล้วกว่า 89 ล้านชิ้น วันนี้เครือซีพีได้นำประสบการณ์นั้นมาต่อยอดสู่ ‘POR-DEE’ ซึ่งเป็นหน้ากากที่ออกแบบภายใต้การดูแลของแพทย์ มีมาตรฐานสูงสุด และ จำหน่ายในราคาที่เข้าถึงได้ง่าย โดยรายได้ทั้งหมดคืนสู่โรงพยาบาลจุฬาฯ ตามเจตนารมย์เดิมของประธานอาวุโสเครือเจริญโภคภัณฑ์
“POR-DEE” นวัตกรรมใหม่ สวมใส่สบาย ปกป้องฝุ่น 99%
ศ.นพ.รังสรรค์ ฤกษ์นิมิตร ผู้ช่วยอธิการบดีด้านนวัตกรรม และผู้อำนวยการศูนย์นวัตกรรมทางการแพทย์และการประกอบการ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาฯ กล่าวว่า หน้ากากอนามัยทั่วไปไม่สามารถป้องกันฝุ่น PM 2.5 ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ขณะที่หน้ากาก N95 แม้จะป้องกันฝุ่น PM 2.5 ได้ดี แต่อาจจะไม่เหมาะสมเพราะมีข้อจำกัดเรื่องความอึดอัด ความไม่สะดวกในการใช้งาน มีให้เลือกเพียงขนาดเดียว และมีราคาที่ประชาชนทั่วไปเข้าถึงได้ยากเพราะถูกออกแบบมาป้องกันเชื้อโรคมากกว่าการป้องกันฝุ่น PM 2.5
“หน้ากาก ‘POR-DEE’ ถูกออกแบบโดยศูนย์นวัตกรรมทางการแพทย์และการประกอบการ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาฯ ให้มี 4 ขนาด S, M, L, XL ให้พอดีกับโครงหน้าคนไทยตั้งแต่เด็กเล็ก เด็กโต ผู้ใหญ่ แยกหญิงชาย โดยออกแบบให้มีความกระชับกับใบหน้าของคนไทยโดยเฉพาะแต่เพิ่มพื้นที่ให้ผู้สวมใส่สามารถหายใจและพูดได้คล่องขึ้นโดยไม่อึดอัด และเน้นประสิทธิภาพในการป้องกันฝุ่น พร้อมกับสายคล้องหูแบบนุ่มพิเศษ ช่วยลดแรงกด ไม่ระคายเคืองแม้ใส่เป็นเวลานาน และยังสามารถหายใจสะดวก แม้ต้องสวมใส่ตลอดทั้งวัน” ศ.นพ.รังสรรค์ กล่าว
“POR-DEE” คุณภาพสูง พอดีกับคนไทย
นายภูมิชัย ตรัยดลานนท์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ซีพี โซเชียลอิมแพคท์ จำกัด กล่าวเสริมว่า “POR-DEE” สามารถกรองฝุ่น PM 2.5 ได้ถึง 99% ด้วยโครงสร้าง 4 ชั้น และผ่านการทดสอบ Particle Filtration Efficiency (PFE) ตามมาตรฐานสากล จุดเด่นของ ‘POR-DEE’ คือ พอดีกับใบหน้าคนไทย และชาวเอเชีย สามารถใส่ในชีวิตประจำวันได้ หรือแม้แต่ขณะออกกำลังกาย ให้ความกระชับ ลดช่องว่างที่ฝุ่นจะเล็ดลอดเข้าไป ทำให้มั่นใจได้ว่าผู้ใช้จะได้รับการป้องกันสูงสุด
สั่งซื้อได้แล้ววันนี้ รายได้ช่วยเหลือโรงพยาบาลจุฬาฯ
หน้ากาก “POR-DEE” พร้อมวางจำหน่ายแล้ววันนี้ที่ ร้านจุฬาแคร์ โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย ในราคากล่องละ 75 บาท (5 ชิ้น/กล่อง) โดย รายได้หลังหักค่าใช้จ่ายจะบริจาคให้โรงพยาบาลจุฬาฯและคณะแพทยศาสตร์ จุฬาฯ
หน้ากาก “POR-DEE” พร้อมวางจำหน่ายแล้ววันนี้ที่ ร้านจุฬาแคร์ โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย ในราคากล่องละ 75 บาท (5 ชิ้น/กล่อง) โดย รายได้หลังหักค่าใช้จ่ายจะบริจาคให้โรงพยาบาลจุฬาฯและคณะแพทยศาสตร์ จุฬาฯ
ไม่กินอาหารตามใจปาก ก็อาจทำให้เกิดผลเสียต่อร่างกายและสุขภาพของเราได้ แล้วอาหารแบบไหนกินแล้ว เสี่ยง! ไตวายไม่รู้ตัว
ไตมีหน้าที่ในการขจัดของเสียและน้ำส่วนเกินออกจากเลือด และออกไปเป็นน้ำปัสสาวะ แล้วถ้ามีของเสียเยอะๆล่ะ แน่นอนว่ามันก็ไม่ดีต่อไตและสุขภาพของเรา แล้วอาหารแบบไหนกินแล้ว เสี่ยง! ไตวายไม่รู้ตัว ซึ่งอาหารเหล่านี้ที่ยกตัวอย่างมาอาจมีผลกระทบต่อระบบไตและเพิ่มความเสี่ยงต่อโรคไตวาย แต่ใช่ว่าจะเป็นเพราะอาหารที่เราทานในที่สุดแล้ว การควบคุมสุขภาพทั่วไป เช่น การรักษาน้ำหนักที่เหมาะสม การออกกำลังกายสม่ำเสมอ และการรับประทานอาหารที่สมดุล มีความสำคัญสำหรับการป้องกันโรคไตวาย
กินอะไรบ้างที่เสี่ยงโรคไต ไม่รู้ตัว
อาหารที่มีปริมาณโปรตีนสูง การบริโภคอาหารที่มีปริมาณโปรตีนสูงเกินไปอาจเป็นฟื้นฟูฟังก์ชันไตที่ไม่ดี เช่น เนื้อสัตว์ที่มีไขมันสูง อาหารที่เตรียมไว้สำหรับการอบแห้ง เนื้อปลาหมึกแห้ง เป็นต้น
อาหารที่มีปริมาณโซเดียมสูง การบริโภคอาหารที่มีปริมาณโซเดียมสูงอาจส่งผลให้เกิดการเก็บน้ำในร่างกายและเพิ่มความเสี่ยงต่อการเป็นโรคไตวาย เช่น เกลือ อาหารอุ่น อาหารจานด่วน
อาหารที่มีปริมาณโคลเลสเตอรอลสูง การบริโภคอาหารที่มีปริมาณโคเลสเตอรอลสูงเป็นประจำอาจทำให้เกิดการเก็บน้ำในร่างกายและเสื่อมสภาพของไต เช่น ไข่เป็ด ไข่ไก่ อาหารที่มีไขมันสูง เนื้อวัว
อาหารที่มีปริมาณโซดาสสูง การบริโภคอาหารที่มีปริมาณโซดาสสูงอาจเพิ่มการเก็บน้ำในร่างกายและเสื่อมสภาพของไต เช่น เครื่องดื่มที่มีคาเฟอีนสูง อาหารหวาน อาหารอุ่น
อาหารที่มีปริมาณโพแทสเซียมสูง การบริโภคอาหารที่มีปริมาณโพแทสเซียมสูงอาจส่งผลให้เกิดการเก็บน้ำในร่างกายและเสื่อมสภาพของไต เช่น อาหารที่มีเนื้อสัตว์ เนื้อปลา เครื่องปรุงรสต่างๆ ซึ่งมีปริมาณเกลือสูง
ไตเปรียบเสมือนเครื่องกรองชนิดพิเศษในร่างกายของเรา ควรดูแลและรักษาไตให้ใช้งานได้ดีอย่างยาวนาน โดยการเริ่มต้นดูแลรักษาไต โดยการเลือกที่จะดื่มน้ำเพื่อบำรุงไต ให้ใช้ได้อย่างยาวนานกัน เพราะไตนั้นเป็นอวัยวะหลักในการทำหน้าที่ขับสารพิษและของเสียออกจากร่างกายของเรา
เครื่องดื่มที่สามารถช่วยทำให้ไตแข็งแรง
1.น้ำถั่วดำ เหตุผลที่ดีต่อไต: น้ำถั่วดำอุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ ช่วยลดการอักเสบในร่างกาย รวมถึงไต และมีใยอาหารสูง ช่วยในการขับถ่ายของเสีย
ข้อควรระวัง: ผู้ที่มีปัญหาเกี่ยวกับระบบทางเดินอาหาร ควรดื่มในปริมาณที่พอเหมาะ
2.น้ำมะนาว เหตุผลที่ดีต่อไต: มะนาวมีซิเตรต ช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดนิ่วในไต และช่วยให้ร่างกายดูดซึมแคลเซียมได้ดีขึ้น
ข้อควรระวัง: ผู้ที่มีปัญหาเกี่ยวกับกระเพาะอาหาร ควรเจือจางน้ำมะนาวด้วยน้ำเปล่า
3.ชาเขียว เหตุผลที่ดีต่อไต: ชาเขียวอุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ ช่วยลดความเสี่ยงของโรคต่าง ๆ รวมถึงโรคไต และมีคาเฟอีนในปริมาณที่พอเหมาะ ช่วยกระตุ้นการทำงานของไต
ข้อควรระวัง: ผู้มีความดันโลหิตสูง ควรระวังปริมาณคาเฟอีนที่รับประทาน
4.กาแฟดำ เหตุผลที่ดีต่อไต: การศึกษาบางชิ้นพบว่าการดื่มกาแฟดำในปริมาณที่พอเหมาะ อาจช่วยลดความเสี่ยงของโรคไตเรื้อรังได้
ข้อควรระวัง: ไม่ควรเติมน้ำตาลหรือครีมเทียม และไม่ควรดื่มมากเกินไป
5.น้ำเปล่า เหตุผลที่ดีต่อไต: น้ำเปล่าเป็นเครื่องดื่มที่ดีที่สุดสำหรับสุขภาพไต ช่วยในการขับของเสียออกจากร่างกาย และป้องกันการเกิดนิ่วในไต
ข้อควรระวัง: ควรดื่มน้ำเปล่าให้เพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย และไม่ดื่มน้ำปริมาณที่มากในเวลาอันสั้น
หมอแนะเคล็ดลับแก้โรคความดันสูงได้ง่ายๆ ด้วย 5 วิธี ที่สามารถทำเองได้ สุขภาพดีขึ้นแน่นอน
เมื่อวันที่ 15 ก.พ.นพ.เจษฎ์ บุณยวงศ์วิโรจน์ รองผู้อำนวยการโรงพยาบาลมหาราช นครราชสีมา ให้ความรู้ด้านสุขภาพผ่านเฟซบุ๊ก หมอเจด โดยระบุว่า เชื่อว่าความดันโลหิตสูงเป็นปัญหาที่คนไทยเจอกันเยอะนะ หลายคนไปหาหมอวัดความดัน หมอก็แนะนำให้ควบคุมความดัน แต่จริง ๆ แล้วมีวิธีง่าย ๆ ที่คุณสามารถทำได้เอง มาลองดู 5 วิธี ที่จะช่วยให้ความดันลดลง และสุขภาพดีขึ้นกันครับ
1. ขยับตัวบ่อย ๆ การออกกำลังกายเป็นหนึ่งในวิธีที่ดีที่สุดในการลดความดันนะ โดยเฉพาะการออกกำลังแบบแอโรบิก เช่น เดินเร็ว ๆ วิ่งเบา ๆ หรือปั่นจักรยาน วันละ 30 นาทีต่อครั้ง สัปดาห์ละ 150 นาที ก็จะช่วยให้หัวใจทำงานได้ดีขึ้นและช่วยให้ความดันโลหิตลดลงอย่างเห็นได้ชัด การขยับตัวบ่อย ๆ ยังทำให้ร่างกายหลั่งสารเอ็นดอร์ฟิน ซึ่งเป็นสารที่ทำให้รู้สึกมีความสุข ช่วยลดความเครียด ทำให้รู้สึกดีและสดชื่น แนะนำให้หาเวลาใส่รองเท้าและลุกไปเดินเล่นในสวน หรือบางคนไม่สะดวกออกไปไหน ก็ลองออกกำลังกายตามคลิปบน YouTube หรือแอปในมือถือที่มีท่าทางให้เลือกเพียบเลยนะ
2. เลือกกินอย่างฉลาด การกินอาหารที่มีประโยชน์เป็นสิ่งสำคัญในการดูแลสุขภาพความดัน เลือกอาหารที่มีปริมาณเกลือต่ำ และเน้นผักผลไม้ที่มีโพแทสเซียม เช่น กล้วย แคนตาลูป และผักสีเขียวเข้ม โพแทสเซียมช่วยลดโซเดียมในร่างกายและส่งผลดีต่อระบบไหลเวียนเลือด นอกจากนี้ยังควรหลีกเลี่ยงของมัน ๆ เช่น ของทอดต่าง ๆ และของหวานที่มีน้ำตาลสูง ๆ ซึ่งเป็นสาเหตุให้หลอดเลือดทำงานหนักขึ้น อย่าลืมว่าการกินอาหารให้ถูกต้องไม่ต้องไปฝืนตัวเอง แต่ควรเริ่มจากปรับเล็ก ๆ น้อย ๆ ให้ชินไปเรื่อย ๆ นะครับ
3. จัดการความเครียด ความเครียดทำให้ความดันโลหิตพุ่งขึ้นอย่างรวดเร็วนะ ลองหาวิธีจัดการกับความเครียดที่เหมาะกับตัวคุณ เช่น การฝึกหายใจลึก ๆ นั่งสมาธิ ฟังเพลง หรือออกไปเที่ยวธรรมชาติ อันนี้ก็จะช่วยให้จิตใจสงบขึ้นได้ นอกจากนี้ ยังมีเทคนิคจัดการความเครียดอย่างง่าย ๆ เช่น ฝึกการทำ “จิตใจปัจจุบัน” คือการให้ความสนใจกับสิ่งที่ทำอยู่ในขณะนั้น ไม่คิดฟุ้งซ่าน เป็นการฝึกสมาธิและฝึกความสงบให้กับตนเอง ที่สำคัญคือหากเครียดควรหาทางผ่อนคลายตัวเอง ไม่ปล่อยให้ความเครียดสะสมเพราะจะส่งกระทบต่อสุขภาพ
4. พักผ่อนให้เพียงพอ การนอนหลับเป็นสิ่งที่สำคัญสำหรับการฟื้นฟูร่างกาย การนอนเพียงพอจะช่วยลดฮอร์โมนที่ทำให้ความดันโลหิตสูงขึ้น เช่น ฮอร์โมนคอร์ติซอล ซึ่งอันนี้เป็นฮอร์โมนแห่งความเครียด ดังนั้นพยายามนอนให้ได้อย่างน้อย 7-8 ชั่วโมงต่อคืน ถ้าใครมีปัญหานอนหลับไม่ค่อยสนิท ลองปรับสภาพห้องนอนให้สงบ ลดแสงเสียง หรือใช้หมอนและที่นอนที่สบายขึ้น ลองเข้านอนให้ตรงเวลาทุกคืนและจัดตารางเวลาการนอนให้เป็นระบบ การพักผ่อนดี จะช่วยให้ระบบต่าง ๆ ของร่างกายทำงานได้ดีขึ้น และลดความเสี่ยงจากความดันโลหิตสูงได้
5. งดบุหรี่และลดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ บุหรี่และแอลกอฮอล์เป็นตัวกระตุ้นความดันโลหิตได้อย่างชัดเจน การสูบบุหรี่ทำให้เส้นเลือดหดตัวและลดการไหลเวียนของเลือด เมื่อรวมกับสารนิโคตินแล้ว จะทำให้หัวใจต้องทำงานหนักมากขึ้น ส่วนแอลกอฮอล์ถ้าดื่มในปริมาณมาก จะส่งผลกระทบต่อหัวใจและความดันโดยตรง อย่างไรก็ตาม หากคุณเป็นคนที่ดื่มแอลกอฮอล์เล็กน้อย เช่น ไวน์แดงแก้วเล็ก ๆ ระหว่างมื้ออาหารเป็นบางครั้งอาจมีประโยชน์บ้าง แต่ควรดื่มในปริมาณที่เหมาะสม และหากลดหรือเลิกได้ยิ่งดี การปรับพฤติกรรมนี้ จะช่วยให้สุขภาพดีขึ้นอย่างยั่งยืน
ลองนำ 5 วิธีนี้ไปปรับใช้กันดู ก็เป็นวิธีการจัดการความดันโลหิตสูงไม่จำเป็นต้องพึ่งยา เพียงแค่สามารถดูแลได้ด้วยการปรับเปลี่ยนพฤติกรรม ซึ่งจะส่งผลดีต่อสุขภาพในระยะยาว
ขอบคุณเพจหมอเจด ...