ครบเครื่อง
ญ. อมตะ



ครบเครื่อง ญ.อมตะ 26 มีนาคม 2565

สำลักกำมะถันและหนาวตาย นักวิทย์พบแล้วไดโนเสาร์สูญพันธุ์อย่างไร

22 มี.ค. 2565: เดลีเมล์รายงานว่า การสูญพันธุ์ของไดโนเสาร์และสิ่งมีชีวิตยุคดึกดำบรรพ์นั้นมีสาเหตุมาจากก๊าซพิษในอากาศและภูมิอากาศหนาวเหน็บยาวนานหลังการชนของอุกกาบาต แต่สภาวะดังกล่าวก็ก่อให้เกิดสิ่งมีชีวิตแบบใหม่ในยุคถัดมาด้วย

ข้อสรุปดังกล่าวมาจากคณะนักวิจัยมหาวิทยาลัยเซนต์ แอนดรูวส์ ที่สก็อตแลนด์ ซึ่งศึกษาสภาพภูมิประเทศบริเวณหุบอุกกาบาตชิกชูลุบอยู่ใต้คาบสมุทรยูกาตันในประเทศเม็กซิโก

คณะนักวิจัยค้นพบว่า ก๊าซกำมะถันปริมาณมหาศาลที่เกิดจากการพุ่งชนโลกของอุกกาบาตนั้นพวยพุ่งขึ้นในชั้นบรรยากาศและถูกกระแสลมพัดปนเปื้อนไปทั่วโลกกินเวลานานหลายปี ทำให้สิ่งมีชีวิตเผชิญกับอากาศที่เป็นพิษและอุณหภูมิที่ลดต่ำลงอย่างรวดเร็ว

สภาพแวดล้อมข้างต้นเป็นปัจจัยหนึ่งที่นำไปสู่การสูญพันธุ์ของเหล่าไดโนเสาร์เมื่อราว 66 ล้านปีก่อน โดยนักวิจัยพบด้วยว่าโอกาสที่จะเกิดสภาพดังกล่าวขึ้นมาได้นั้นน้อยมาก ถือว่าไดโนเสาร์นั้นโชคร้ายมากจริงๆ

ดร.อูบรีย์ เซอร์เคิล ผู้เชี่ยวชาญจากสำนักวิชาสิ่งแวดล้อมและระบบนิเวศโลก ม.เซนต์ แอนดรูวส์ กล่าวว่า การชนของอุกกาบาตลูกนี้ก่อให้เกิดความเสียหายมากกว่าปกติ เนื่องจากพุ่งจุดที่เป็นทะเลที่อุดมไปด้วยกำมะถันและก๊าซพิษหลายชนิดในยุคนั้น

การศึกษาดังกล่าวยังเป็นการวิจัยร่วมกันกับมหาวิทยาลัยซีราคิวส์ นครนิวยอร์ก ม.เท็กซัส เอแอนด์เอ็ม ประเทศสหรัฐอเมริกา และม.บริสตัล ประเทศอังกฤษ เพื่อค้นหาสิ่งที่เกิดขึ้นตามมาหลังการชนของอุกกาบาตลูกนี้

การค้นพบข้างต้นสอดคล้องกับข้อสันนิษฐานของนักวิทยาศาสตร์หลายกลุ่มที่มองว่า กำมะถัน น่าจะเป็นสารพิษที่นำไปสู่การสูญพันธุ์ของสิ่งมีชีวิตบนโลกในยุคครีเตเชียส (145-66 ล้านปีก่อน) และการเริ่มต้นของยุคพาลีโอจีน

โดยสิ่งที่นำไปสู่สมมติฐานและข้อสรุปดังกล่าวเป็นไอโซโทปที่หาได้ยากของสารกำมะถันตามหินที่พบได้ตามแม่น้ำบราโซส รัฐเท็กซัส ซึ่งนักวิทยาศาสตร์พบว่าเป็นสารกำมะถันที่มาจากการพุ่งชนของอุกกาบาตในยุคครีเตเชียส

ดร.เจมส์ วิตต์ สำนักวิชาวิทยาศาสตร์โลก ม.บริสตัล กล่าวว่า ข้อมูลของคณะวิจัยเป็นหลักฐานทางตรงชิ้นแรกที่บ่งชี้ถึงสารกำมะถันปริมาณมหาศาลที่เกิดขึ้นหลังการชนของอุกกาบาตที่หุบอุกกาบาตชิกชูลุบ

รายงานระบุว่า สารกำมะถันในชั้นบรรยากาศสตราโตสเฟียร์ (10-50 กม. ระดับที่เครื่องบินพาณิชย์บินอยู่) มีคุณสมบัติทำให้แสงอาทิตย์ที่เดินทางเข้ามานั้นกระจายตัวออกไป ทำให้การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศเพื่อทำให้โลกเย็นลงนั้นยาวนานผิดปกติหลายปีจากการพุ่งชน

นอกจากนี้ ยังนำไปสู่การเกิดฝนกรด พืชพรรณ และแพลงก์ตอนนานาชนิดตายจากการสังเคราะห์แสงได้ไม่เพียงพอ นำไปสู่ภาวะอดอยากและการพังทลายของห่วงโซ่อาหาร เนื่องจากพืชและแพลงก์ตอนเป็นพื้นฐานของห่วงโซ่ดังกล่าว

นายคริสโตเฟอร์ จูเรียม ผู้เชี่ยวชาญจากคณะวิทยาศาสตร์โลกและสิ่งแวดล้อม ม.ซีราคิวส์ กล่าวว่า การชนของอุกกาบาตก่อให้เกิดฝุ่น ควันพิษ และไฟป่ารุนแรง ทำให้โลกปรับสภาพสมดุลด้วยการทำให้สภาพแวดล้อมเย็นลง

ทว่า ละอองกำมะถันที่ฟุ้งในอากาศทำให้สภาพหนาวเย็นมีความยาวนานผิดปกติ รวมถึงสร้างความผิดปกติอื่นๆ ให้กับห่วงโซ่อาหาร นำไปสู่การสูญพันธุ์ครั้งใหญ่ของสิ่งมีชีวิต

หลักฐานชิ้นแรกนี้ยังพิสูจน์ด้วยว่า สารกำมะถันที่เป็นปัจจัยหลักตามสมมติฐานเดิมของนักวิทยาศาสตร์นั้นไม่ได้มาจากการระเบิดของภูเขาไฟแต่มาจากการพุ่งชนของอุกกาบาตเป็นหลัก

ทั้งนี้ ยุคครีเตเชียส เป็นยุคสุดท้ายของมหายุคมีโซโซอิก เป็นช่วงที่โลกมีภูมิอากาศอบอุ่น เต็มไปด้วยสัตว์เลื้อยคลานและไดโนเสาร์ ต่อมาเกิดการสูญพันธุ์ครั้งใหญ่ และเข้าสู่มหายุคซีโนโซอิก ซึ่งก็คือ มหายุคที่มนุษย์มีชีวิตอยู่ในปัจจุบัน


พบฟอสซิลสัตว์ดึกดำบรรพ์กว่า 100 ล้านปีที่ชัยภูมิ เผยมีมือดีขุดทำของขลัง

ชาวบ้านวังกุง อ.ซับใหญ่ กาฬสินธุ์ ฮือฮาพบซากฟอสซิล คล้ายกระดูกไดโนเสาร์ดึกดำบรรพ์ อายุกว่า 100 ล้านปี หลังมีมือดีแอบขุดไปทำของขลัง วอนหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมาตรวจสอบเพื่ออนุรักษ์ไว้

เมื่อวันที่ 22 มี.ค. 2565 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ที่ลานหินในป่าท้ายบ้านวังกุง ตำบลท่ากูบ อำเภอซับใหญ่ จังหวัดชัยภูมิ มีชาวบ้านพบซากกระดูกดึกดำบรรพ์ หรือ ฟอสซิล (Fossil) คล้ายกระดูกไดโนเสาร์ดึกดำบรรพ์ อายุกว่า 100 ล้านปี และมีการถ่ายภาพ นำมาแชร์ทางโซเชียลจนฮือฮาไปทั่ว คาดว่าเป็นไดโนเสาร์ชนิดเดียวกับที่ค้นพบในเขต อ.หนองบัวระเหว จ.ชัยภูมิ เพราะจุดที่พบอยู่ห่างจากจุดพบไดโนเสาร์สายพันธุ์กินพืชใหญ่ที่สุดในประเทศไทย และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งมีอายุกว่าร้อยล้านปีมาก่อนนี้แล้ว

ต่อมาผู้สื่อข่าวได้เดินทางไปพบกับ นายเทิดเกียรติ ชำนาญศรี อายุ 59 ปี ชาวบ้านหมู่ 4 บ้าน วังกุง ตำบลท่ากูบ อำเภอซับใหญ่ จังหวัดชัยภูมิ เจ้าของไร่และผู้พบเห็นโครงกระดูกไดโนเสาร์ดังกล่าว เปิดเผยว่า ก่อนหน้านี้ตนเห็นหินดังกล่าวมานานแล้ว แต่ก็ไม่เอะใจอะไร จนกระทั่งมีเพื่อนบ้านมาบอกว่ามีชายแปลกหน้า มาขุดอะไรที่ท้ายไร่ตนเอง ตนจึงขึ้นไปดู ที่บริเวณป่าท้ายไร่ ซึ่งเป็นลานหินก็พบซากกระดูกคล้ายกระดูกไดโนเสาร์จริง ตนจึงนำแว่นส่องพระมาดูก็พบว่า เซลล์ต่างๆ ที่ฝังอยู่เป็นลักษณะคล้ายกระดูกจริงๆ ซึ่งฝังอยู่ในหินดังกล่าวและมีร่องรอยการขุด เหมือนจะมีคนมาแอบขโมยเพื่อนำไปทำเป็นวัตถุมงคลก็เป็นได้ เพราะก่อนหน้านี้เคยมีคนมาคุยกับพระที่วัดใกล้กับจุดดังกล่าว ว่ามีใครพบเห็นไม้กลายเป็นหินหรือไม่ จะนำไปทำมวลสารหล่อพระ ซึ่งการมาแอบขุดครั้งนี้ ก็คงนำไปทำเป็นวัตถุมงคลก็เป็นได้

เจ้าของไร่และผู้พบเห็นซากฟอสซิล กล่าวด้วยว่า หลังจากที่พบซากฟอสซิล จากนั้นตนจึงให้ลูกสาวถ่ายภาพเอาไว้และนำมาโพสต์ผ่านเฟซบุ๊ก จนเป็นที่ฮือฮาไปทั่วโลกโซเชียล โดยกระดูกไดโนเสาร์ที่ฝังอยู่ในหินมีความยาวประมาณ 1.50 เมตร และมีบางส่วนถูกแอบขโมยไปแล้วเพราะพบร่องรอยการสกัด เตรียมจะขโมยอีกแต่โชคดีที่มีชาวบ้านมาพบก่อน จึงอยากฝากให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้ามาตรวจสอบและอนุรักษ์เอาไว้ให้ลูกหลานได้ศึกษาเรียนรู้ต่อไป


กินฟ้าทะลายโจรเกินกว่า 5 วันได้หรือเปล่า? / ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์

นับตั้งแต่การตรวจการติดเชื้อโควิด-19 เบื้องต้น โดยอาศัยการตรวจ Antigen Test Kid (ATK) นั้น แม้จะเป็นที่นิยม ด้วยเพราะว่าสามารถรู้ผลได้ในเวลา 15-30 นาที แม้จะยังมีความคลาดเคลื่อนได้อยู่ก็ตาม แต่ก็ยังมีประโยชน์ หากใช้สำหรับการตรวจกลุ่มเสี่ยงเป็นติดตามผลตามช่วงเวลาที่กำหนด

ผลตรวจโดยใช้ ATK ซึ่งเป็นการตรวจนั้นแม้ผลเป็นลบ (ไม่ติดเชื้อ) ก็ไม่ได้แปลว่า จริง ๆ แล้วไม่ได้ติดเชื้อ เพียงแต่อาจแปลว่าไม่ติดเชื้อจริง หรืออาจแปลว่าติดเชื้อ แต่อยู่ระหว่างการผลิตโปรตีนยังไม่มากพอที่เครื่องตรวจวัด ATK จะจับได้ ดังนั้น การตรวจที่ไม่พบเชื้อ ก็อาจจะต้องตรวจซ้ำไปอีกหลังจากวันนั้น (เช่น 1 วัน, 3 วัน, 5 วัน) เพื่อให้มั่นใจขึ้นว่าอาจจะไม่ติดเชื้อจริง ๆ ก็ได้

ในทางตรงกันข้าม หากผู้ป่วยรักษาตัวเองจนอาการดีขึ้นแล้วกำลังจะหายป่วยแล้ว แต่ยังปรากฏว่ายังมีผลตรวจโดยใช้ ATK ขึ้นอยู่ แม้ว่าจะผ่านไป 5 วันแล้ว ก็ไม่แน่เสมอไปว่าผลตรวจดังกล่าวนั้น จะเป็นผลตรวจของโปรตีนจากซากของเชื้อที่ตายแล้วและยังหลงเหลืออยู่ หรือการติดเชื้อยังคงอยู่ต่อไป แต่ก็ให้สันนิษฐานเอาไว้ก่อนเพื่อความปลอดภัย ให้มีสมมติฐานว่ายังคงติดเชื้ออยู่ และยังเสี่ยงแพร่กระจายเชื้อต่อไปได้

โดยปกติแล้ว การตรวจไม่พบเชื้อด้วย ATK หลังป่วย ก็ควรจะอยู่ระหว่างประมาณ 8 -14 วัน แต่ก็ไม่แน่ว่าจะเป็นเช่นนั้นเสมอไป บางคนผลตรวจ ATK ยังคงตรวจพบเชื้อยาวนานต่อไปอีกรวมไปถึง 20 วันก็มี กรณีเช่นนี้หากมีความสงสัยก็ควรจะตรวจด้วยวิธี RT-PCR (Real Time PCR) เพื่อความชัดเจนอีกครั้งหนึ่ง

แต่ก็มีคนจำนวนหนึ่ง (ซึ่งมีจำนวนมาก) เมื่อมีคนรอบข้างป่วย หรือเข้าไปในพื้นที่เสี่ยงแล้วพบภายหลังว่ามีคนติดเชื้อในพื้นที่นั้น ก็จะใช้วิธีการรับประทานยาผงฟ้าทะลายโจรแบบแคปซูลขนาด 400 มิลลิกรัม 4 เม็ดต่อครั้ง 4 ครั้งต่อวัน เมื่อรับประทานยาฟ้าทะลายโจรไปครบ 5 วัน ก็รอดพ้นและไม่ป่วย เป็นเช่นนี้จำนวนมาก

แม้จะไม่สามารถเรียกได้ว่า การรับประทานยาฟ้าทะลายโจรเมื่อมีความเสี่ยงว่าเป็นการป้องกันโรค แต่หากมีการติดเชื้อแล้ว การรับประทานยาผงฟ้าทะลายโจรบรรจุแคปซูล ก็มีเป้าหมายคือทำให้เกิดการขัดขวางโปรตีนและเอนไซม์ของเชื้อโควิด-19 ทำให้เพิ่มจำนวนเชื้อได้ยากขึ้น และปล่อยหน้าที่ให้ระบบภูมิคุ้มกันในการกำจัดเชื้อตามกลไกธรรมชาติ

และในช่วงหลังก็จะมีคนสอบถามมากขึ้นว่าหากกินฟ้าทะลายโจรเกินกว่า 5 วันตามมาตรฐานบัญชียาหลักแห่งชาติในการรักษาโรคโควิด-19 นั้นสามารถทำได้หรือไม่ และได้นานเท่าไหร่ และคนที่มักจะถามในเรื่องนี้ก็ด้วยเหตุผล 2 ประการ

ประการแรก บางคนกินฟ้าทะลายโจรไปล่วงหน้า และในระหว่างกินยาฟ้าทะลายโจรเพื่อบรรเทาความเสี่ยง แต่ยังไม่ครบ 5 วัน แล้วปรากฏผลว่าตรวจ ATK เพิ่งจะขึ้นมาเป็นบวกว่าติดเชื้อในวันที่ 2, 3, 4 แล้วจะทำอย่างไร จะกินให้ครบเพียง 5 วัน หรือให้เริ่มกินนับ 1 ใหม่ไปอีก 5 วัน

ประการที่สอง บางคนกินฟ้าทะลายโจรครบ 5 วันแล้ว แต่ยังมีอาการอยู่ และคิดว่าจะกินฟ้าทะลายโจรต่อไปได้อีกนานมากน้อยเพียงใดสำหรับในเรื่องนี้คงต้องย้อนกลับไปงานวิจัยในหลอดทดลองของคณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล ที่พบว่าการกินฟ้าทะลายโจรแบบผงหยาบ นอกจากจะช่วยลดเชื้อโควิด-19 ดีกว่าการกิน “สารสกัด” เอนโดรกราโฟไลด์แล้ว การกินฟ้าทะลายโจรแบบผงหยาบยังปลอดภัยสูงมาก เพราะไม่เป็นพิษต่อเซลล์เนื้อเยื่อปอด ตับ ลำไส้ สมอง ฯลฯ

โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่ออ้างอิงตำรามาตรฐานสมุนไพรไทย (Thai Herbal Pharmacopoeia, THP) ที่จัดทำโดยกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข ประจำปี 2564 พบว่าการรับประทานยาฟ้าทะลายโจรในขนาดแคปซูล 400 มิลลิกรัม ประมาณ 4 เม็ดต่อครั้งและ 4 ครั้งต่อวัน สามารถรรับประทานได้ยาวนานสูงสุดถึง 7 วันในบางโรค (โรคกล่องเสียงอักเสบ)

แปลว่า การกินฟ้าทะลายโจรต่อเนื่องจาก 5 วัน ขยายไปถึง 7 วัน ก็ยังอยู่ในเกณฑ์ปลอดภัย

สำหรับผู้เขียนแล้ว การกินฟ้าทะลายโจรโดยไม่มีไข้ หรือไข้หายแล้ว ซึ่งเป็นยารสขม เย็นจัด เป็นผลทำให้ท้องอืดง่าย หากไม่มีไข้ในระหว่างวัด ควรจะรับประทานน้ำขิง ผสมพริกไทย ผสมน้ำมะนาวและน้ำผึ้งเข้าไปด้วย เพื่อบรรเทาผลข้างเคียงจากการกินยารสขมมากจนเกินไป

แต่ในทางตรงกันข้าม หากใครมีไข้ขึ้นสูง ก็จะแนะนำให้กินยาผงฟ้าทะลายโจรบรรจุแคปซูล 4 เม็ดต่อครั้งไปเลยทุก 4 ชั่วโมง เพื่อสยบให้ไข้ลงเร็วที่สุด เมื่อไข้ลงมาแล้ว จึงค่อยปรับลดขนาดยาฟ้าทะลายโจรมาเป็นปกติต่อไป

แต่เนื่องจากผงฟ้าทะลายโจรแต่ละยี่ห้อมีขนาดตัวยาความเข้มข้นต่างกัน และจำนวนเชื้อของผู้ป่วยแต่ละคนก็แตกต่างกัน ภูมิคุ้มกันแต่ละคนแตกต่างกัน ดังนั้นจึงขอให้พิจารณา “อาการ” ว่าไข้ลงเร็วหรือไม่ ถ้าภายใน 1 วันครึ่งอาการไม่ดีขึ้น ก็ให้เพิ่มขนาดยาฟ้าทะลายโจรเพิ่มเป็น 2 เท่าให้เร็วที่สุดจนครบ 5 วัน

สำหรับผู้เขียนไม่แนะนำให้กินยาพาราเซตามอล เพราะด้านหนึ่งจะทำให้ตับทำงานหนักโดยไม่จำเป็น และในอีกด้านหนึ่งยังทำให้ประมาทใช้ยาฟ้าทะลายโจรน้อยเกินกว่าตัวโรค เพราะหลงประเด็นว่าไข้ลงแล้ว (จึงไม่มีโอกาสเพิ่มขนาดยาฟ้าทะลายโจร) แต่หากเกิดอาหารปวดศีรษะผู้เขียนขอแนะนำให้นำผ้าเย็นมาเช็ดหน้า ท้ายทอย และทำแผ่นเจลแช่ช่องน้ำแข็งเอาไว้มาใส่ผ้าแปะไว้ที่หน้าผากพาดไปถึงเบ้าตา และนอนให้มากอาการปวดศีรษะจะดีขึ้นเอง

ด้วยความปรารถนาดี

ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์

คณบดีสถาบันแพทย์แผนบูรณาการและเวชศาสตร์ชะลอวัย มหาวิทยาลัยรังสิต