ครบเครื่อง
ญ. อมตะ
ครบเครื่อง ญ. อมตะ 15 กุมภาพันธ์ 2563

ต้องใส่ใจ เพราะโรคต้อหิน.. ใกล้ตัวกว่าที่คิด

หนึ่งในโรคทางตาที่ไม่มีสัญญาณเตือนแต่มีความอันตรายถึงขั้นสูญเสียการมองเห็น นั่นคือโรคต้อหิน เพราะเป็นโรคที่ไม่แสดงอาการล่วงหน้า ในระยะเริ่มต้นและแม้กระทั่งในระยะลุกลามของโรคที่ผู้ป่วย เริ่มสูญเสียการมองเห็นโดยรอบ ก็อาจลุกลามไปโดยไม่ทันได้สังเกต จึงเป็นโรคที่ควรให้ความสำคัญ เพราะสามารถเกิดได้กับทุกคน

พญ.ชมพูนุท ภูมิรัตนประพิณ จักษุแพทย์เฉพาะทางโรคต้อหิน ศูนย์จักษุ โรงพยาบาลหัวเฉียว กล่าวว่า เนื่องจากโรคต้อหินส่วนใหญ่จะไม่มีสัญญาณเตือนหรือการแสดงอาการของโรค จนผู้ป่วยเริ่มรู้สึกถึงความผิดปกติของสายตา เมื่อสังเกตเห็นจุดบอดในการมองภาพด้านข้าง จึงอาจทำให้มาพบจักษุแพทย์ ไม่ทันการและสูญเสียการมองเห็นได้ในที่สุด

สาเหตุของโรคต้อหินส่วนมากเกิดจากความดันลูกตาที่สูง ทำให้เส้นประสาทตาถูกทำลาย และเกิดจากการระบายน้ำออกของลูกตามีการอุดตันและเสื่อมสภาพ เกิดการระบายน้ำออกจากลูกตาได้ ไม่ดีพอ โรคต้อหินพบได้มากในผู้สูงอายุหรือผู้ที่มีอายุ 40 ปีขึ้นไป แต่ในเด็กและวัยรุ่นก็สามารถเป็นโรคต้อหินได้เหมือนกัน เพราะฉะนั้นเนื่องในสัปดาห์ต้อหินโลกที่จัดขึ้นในช่วงเดือนมีนาคมของทุกปี อยากให้ทุกคนใส่ใจรู้เท่าทันโรคต้อหิน ที่สำคัญควรหมั่นตรวจเช็คโรคต้อหินกับจักษุแพทย์เป็นประจำทุกปี เพื่อจะได้รับมือได้ทันท่วงที

สำหรับผู้ที่พบว่าเป็นโรคต้อหินแล้ว การรักษาก็สามารถทำได้หลายวิธีขี้นอยู่กับระดับความรุนแรง ของผู้ป่วย เบื้องต้นจักษุแพทย์จะรักษาโดยการใช้ยาหรือเลเซอร์ แต่หากไม่ได้ผลอาจต้องรักษาด้วยการผ่าตัด ซึ่งเป้าหมายของการผ่าตัดคือ การลดความดันลูกตาลงเพื่อให้ตัวโรคสามารถควบคุมได้

ส่วนผู้ที่มีความเสี่ยงของโรคต้อหินสูง ได้แก่

• อายุมากกว่า 40 ปี

• มีประวัติบุคคลในครอบครัวเป็นโรคต้อหิน

• เคยมีอุบัติเหตุเกี่ยวกับดวงตา

• มีโรคประจำตัว เช่น โรคเบาหวาน ความดัน

• เคยได้รับการผ่าตัดตามาก่อน

• สายตาสั้นหรือยาว

• ใช้ยาสเตียรอยด์ อย่างต่อเนื่องติดต่อกันเป็นเวลานาน

อาจต้องเข้ารับการตรวจบ่อยครั้งขึ้น เพื่อคัดกรองและรักษาได้อย่างทันท่วงที

ปัจจุบัน ศูนย์จักษุ โรงพยาบาลหัวเฉียว มีทีมจักษุแพทย์เฉพาะทางที่มีความชำนาญประสบการณ์สูง ให้บริการดูแลรักษาโรคและอาการที่เกี่ยวกับดวงตา รวมถึงโรคต้อหิน ด้วยเครื่องมือทันสมัยในการตรวจวินิจฉัยและการผ่าตัดด้วยกล้อง


ชวนนีกท่องเที่ยวเดินป่าชิลล์ๆ พิชิต "ภูกระดึง" เส้นทางลัดโผล่ผาหล่มสัก ชมพระอาทิตย์-สัมผัสอากาศเย็น สูดอากาศบริสุทธิ์

วันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2563 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายจเรศักดิ์ นันตะวงษ์ ผู้ตรวจราชการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม พร้อมคณะ ได้เดินเท้าขึ้นยอดภูกระดึงโดยใช้เส้นทางลัดจากฝั่งจังหวัดเพชรบูรณ์ ซึ่งเส้นทางนี้นักท่องเที่ยวที่สนใจจะต้องติดต่อเจ้าหน้าที่อุทยานแห่งชาติภูกระดึง และสามารถติดต่อได้ที่ ศูนย์บริการนักท่องเที่ยวหน่วยพิทักษ์อุทยานแห่งชาติที่ ลย.5 (หนองผักบุ้ง) อ.น้ำหนาว จ.เพชรบูรณ์ เพื่อเจ้าหน้าที่จะได้จัดเตรียมลูกหาบ และเจ้าหน้าที่ต้องเป็นคนพาเดินขึ้นไปเนื่องจากเส้นทางนี้มีเป็นเส้นทางเดินในป่าและบางช่วงเป็นทางสูงชัน อีกทั้งใกล้กับพื้นที่อยู่อาศัยของช้างป่าอาจจะทำให้เกิดอันตรายได้

ก่อนขึ้นนักท่องเที่ยวจะต้องฝากสัมภาระกับลูกหาบที่ทางเจ้าหน้าที่คอยบริการ จากนั้นจะต้องเดินผ่านสะพานสีแดงที่มีลำน้ำตัดผ่านเป็นเส้นแบ่งจังหวัดระหว่างจังหวัดเลย และเพชรบูรณ์ โดยหลังจากที่ได้เดินขึ้นเขามาสักพักใหญ่ตามเส้นทางจะพบกับ "ผาออนซอน" เป็นจุดวิวที่เราจะเห็นวิวทิศทัศน์ที่เห็นหลังคาบ้าน ซึ่งเป็นจุดที่สามารถนั่งพักเหนื่อยเพลินๆ มีลมพัดเย็นสบาย

ทั้งนี้ เมื่อเดินมาถึงจุดกางเต็นท์ที่ "ภูป่าก่อ" ซึ่งเป็นลานกว้างๆ มีห้องน้ำบริการ ระยะทางจากบ้านฟองใต้ถึงภูป่าก็ราวประมาณ 4.6 กิโลเมตร และออกเดินทางต่อระยะทางอีกประมาณ 1.2 กิโลเมตร เมื่อเดินถึงยอดภูเขาก็จะต้องเดินต่อไปอีก 1 กิโลเมตร เพื่อไปที่ "ผาหล่มสัก" ระยะทางรวมเดินทาง 5.8 กิโลเมตร ซึ่งถือว่าเป็นเส้นทางท่องเที่ยวภูกระดึงอีกเส้นทางหนึ่งที่นักท่องเที่ยวสามารถขึ้นไปพิชิตภูกระดึงจากฝั่งจังหวัดเพชรบูรณ์ดังกล่าวฯ

ในโอกาสนี้ผู้ตรวจราชการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมได้มอบถุงผ้าให้กับร้านค้าในชุมชนตามนโยบายของรัฐบาล และนายวราวุธ ศิลปอาชา รมว.ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมในการขับเคลื่อนการงดใช้ถุงพลาสติกร่วมกับเครือข่ายภาคธุรกิจเอกชน 90 แห่งทั่วประเทศ ตลอดจนช่วยกันรณรงค์ให้ใช้ถุงผ้า หรือ วัสดุทดแทนที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมภายใต้กิจกรรม "ทำความดี ด้วยหัวใจ ลดรับ ลดให้ ลดใช้ถุงพลาสติก Everyday Say No to Plastic Bags" "พกถุงผ้าให้เป็นนิสัย"


รู้ไว้ไม่เสียหาย! เตือน10สถานที่เสี่ยง แพร่เชื้อ'ไวรัสโคโรนา'

วันที่ 12 กุมภาพันธ์ 2563 น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข ได้เผยแพร่ข้อมูลสถานที่เสี่ยงการแพร่กระจายเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธ์ใหม่จาก 10 สถานที่ ประกอบด้วย 1.สถานที่ราชการ และสถานที่ทำงาน ขอให้ทำความสะอาดบริเวณที่สัมผัสบ่อยๆ อย่างสม่ำเสมอ เช่น โต๊ะทำงาน คอมพิวเตอร์ อุปกรณ์ที่ใช้ทำงาน ที่จับประตู และห้องสุขา 2.รถแท็กซี่ รถตู้โดยสาร รถจักรยานยนต์รับจ้าง ขอให้ทำความสะอาดภายหลังมีการให้บริการเน้นไปที่บริเวณพื้นผิวที่ผู้โดยสารสัมผัสบ่อยบอย เช่นที่จับประตู เบาะที่นั่ง 3.เรือโดยสาร ให้นำแอลกอฮอล์เจลล้างมือ วางไว้พื้นที่ส่วนกลาง เช่น ห้องจำหน่ายตั๋ว และหมั่นทำความสะอาดราวจับ เก้าอี้นั่งในเรือ ที่เท้าแขน ราวบันได และท่าเทียบเรือ 4.ระบบขนส่งมวลชนทางราง เช่น รถไฟฟ้าบีทีเอส รถไฟฟ้าเอ็มอาร์ที รถไฟฟ้าแอร์พอร์ทเรียลลิงค์ และรถไฟ ให้ทำความสะอาดหลังการให้บริการเน้นไปที่บริเวณที่ผู้โดยสารสัมผัสบ่อยๆ เช่น บริเวณที่นั่ง ที่จับ และบริเวณเหนือหัวผู้โดยสาร 5.ห้างสรรพสินค้า โรงแรม ฟิตเนส ให้นำแอลกอฮอล์เจลล้างมือวางไว้บริเวณประตูทางเข้าและทางออก บริเวณหน้าลิฟท์ รวมถึงทำความสะอาดที่จับประตู และห้องสุขขา

น.ส.ไตรศุลี กล่าวต่อว่า 6.ร้านอาหารขอให้หมั่นเช็ดทำความสะอาด ที่บริเวณโต๊ะอาหารและเก้าอี้ด้วยน้ำยาฆ่าเชื้อ 7.โรงพยาบาลให้น้ำแอลกอฮอล์เจลล้างมือวางไว้ในบริเวณที่มีผู้ใช้บริการเป็นจำนวนมาก และให้ทำความสะอาดที่นั่ง ที่จับประตู ห้องสุขา 8.ห้องน้ำสาธารณะขอให้ทำความสะอาดที่จับสายฉีดชำระ พื้นห้องส้วม ที่รองนั่งโถส้วม ที่กดโถส้วม โถปัสวะ ที่เปิดก๊อกอ่างล้างมือและกลอนประตูหรือลูกบิด 9.ปั๊มน้ำมันให้ทำความสะอาดห้องสุขา ซึ่งมีผู้ใช้บริการเป็นจำนวนมาก เน้นที่สายจับฉีดชำระ บริเวณพื้นที่ห้องส้วม ที่รองนั่งโถส้วม ที่กดโถส้วม โถปัสวะ ที่เปิดก๊อกอ่างล้างมือ และกลอนประตูหรือลูกบิด และ 10.สถานีขนส่งผู้โดยสาร และสนามบิน ให้นำแอลกอฮอล์เจลล้างมือ วางไว้ที่บริเวณประตูทางเข้าและทางออก รวมถึฝทำความสะอาดที่จับประตูห้องสุขา

"สำหรับการป้องกันไวรัสโคโรนาสายพันธ์ุใหม่นั้น ขอให้พี่น้องประชาชนสวมใส่หน้ากากอนามัยหรือหน้ากากผ้าทุกครั้งเมื่อต้องไปในพื้นที่เสี่ยงหรือมีคนแออัด รวมถึงรับประทานอาหารที่ปรุงสุกใหม่ หากจำเป็นต้องร่วมรับประทานอาหารกับผู้อื่นขอให้ใช้ช้อนกลางในการตักอาหาร นอกจากนี้ให้หมั่นล้างมือเป็นประจำโดยใช้สบู่หรือเจลล้างมือ ที่สำคัญขอให้ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอเพื่อให้ร่างกายแข็งแรง"น.ส.ไตรศุลี ระบุ


งดงามตระการตา! ขบวนรถบุปผชาติ'มหกรรมไม้ดอกไม้ประดับ'เชียงใหม่

พ่อเมืองเชียงใหม่ ปล่อยขบวนรถบุปผชาติ งานมหกรรมไม้ดอกไม้ประดับ จังหวัดเชียงใหม่ ครั้งที่ 44 “มรดกล้านนา งามล้ำค่าบุปผานครพิงค์” นักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและต่างชาติ ร่วมชมความงดงามตระการตาแน่นสองข้างทาง

เช้าวันที่ 8 ก.พ.63 ที่บริเวณเชิงสะพานนวรัฐ หน้าจวนผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ นายเจริญฤทธิ์ สงวนสัตย์ ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ เป็นประธานปล่อยขบวนรถบุปผชาติ งานมหกรรมไม้ดอกไม้ประดับจังหวัดเชียงใหม่ ครั้งที่ 44 ประจำปี 2563 ที่จัดขึ้นระหว่างวันที่ 7-9 กุมภาพันธ์นี้ โดยขบวนรถบุปผชาติ ถือเป็นไฮไลต์หนึ่งของการจัดงานมหกรรมไม้ดอกไม้ประดับจังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งในครั้งนี้มีหน่วยงานและองค์กรต่างๆ ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ส่งขบวนรถบุปผชาติเข้าร่วม ชิงถ้วยพระราชทาน สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯสยามบรมราชกุมารี รวมทั้งสิ้น 24 ขบวน

โดยขบวนทั้งหมดได้เคลื่อนขบวนจากเชิงสะพานนวรัฐ ฝั่งทิศตะวันออก ผ่านสะพานนวรัฐ เข้าสู่ถนนท่าแพ ต่อเนื่องไปยังถนนคชสาร ถนนราชเชียงแสน และถนนช่างหล่อ ก่อนจะไปสิ้นสุดขบวนที่สวนสาธารณะหนองบวกหาด โดยตลอด 2 ข้างทางมีนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติรอชมขบวนรถบุปผชาติที่ตกแต่งประดับประดาอย่างสวยงามด้วยดอกไม้นานาพันธุ์กันอย่างเนืองแน่น

สำหรับการจัดงานครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นการเชิดชูวัฒนธรรมประเพณีอันดีงามของจังหวัดเชียงใหม่ เเละเพื่อเป็นการสร้างจิตสำนึกในการอนุรักษ์การเป็นดินแดนดอกไม้งามนาม นพบุรีศรีนครพิงค์ ให้คงอยู่ตลอดไป พร้อมกับได้ร่วมแรงกาย แรงใจปลูกไม้ดอกไม้ประดับเพื่อสร้างเมืองเชียงใหม่ให้เป็นเมืองแห่งดอกไม้บานตลอดปี รวมทั้งเพื่อสร้างความสนใจให้นักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างประเทศที่เข้ามาเที่ยวชมความงดงามของดอกไม้นานาพันธุ์เป็นจำนวนมาก ซึ่งจะส่งผลให้เศรษฐกิจโดยรวมของจังหวัดเชียงใหม่ดีขึ้น