ครบเครื่อง
ญ. อมตะ



เปิดความหมาย ดอกมะลิวันแม่ พร้อมแจกวิธีทำดอกมะลิวันแม่สวยๆ ง่ายๆ ด้วยตัวเอง

วันแม่แห่งชาติ 2568 ตรงกับวันที่ 12 สิงหาคมของทุกปี "ดอกมะลิ" ซึ่งเป็นดอกไม้ความหมายดี กลายเป็นหนึ่งในสัญลักษณ์วันแม่ เพื่อแสดงออกถึงความรักและความกตัญญู บทความนี้ ไลฟ์สไตล์ไทยรัฐพาเปิดความหมายของดอกมะลิวันแม่ พร้อมวิธีทำดอกมะลิง่ายๆ มาฝาก

ดอกมะลิวันแม่ ความหมายสุดประทับใจ

ดอกมะลิ (ภาษาอังกฤษ : Jasmine) หรือดอกมะลิซ้อน ถูกกำหนดให้เป็นสัญลักษณ์ดอกไม้วันแม่ เนื่องจากดอกมีลักษณะสีขาว กลิ่นหอมคงทน สื่อถึงความรักอันบริสุทธิ์ที่ยืนยาว เปรียบเสมือนความรักของแม่ที่มอบให้ลูกเสมอ ไม่เสื่อมคลาย

คณะกรรมการอำนวยการสภาสังคมสงเคราะห์แห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ จึงได้กำหนดให้วันที่ 12 สิงหาคม ซึ่งตรงกับวันคล้ายวันพระราชสมภพสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง เป็นวันแม่แห่งชาติ และกำหนดให้ “ดอกมะลิ” เป็นสัญลักษณ์แทนใจวันแม่ในปี พ.ศ.2519 เป็นต้นมา

แจก 3 วิธีทำดอกมะลิวันแม่ง่ายๆ มอบให้ในวันแม่แห่งชาติ 2568

นับถอยหลังเข้าสู่วันแม่แห่งชาติ หลายคนคงกำลังมองหาดอกมะลิแทนใจมอบให้แม่ โดยเฉพาะการประดิษฐ์ดอกมะลิด้วยตนเอง ไทยรัฐออนไลน์มีวิธีทำดอกมะลิง่ายๆ ดังนี้

1. วิธีทำดอกมะลิจากกระดาษ A4

อุปกรณ์

กระดาษ A4

กรรไกร

แม็กเย็บกระดาษ

วิธีทำ

1. พับครึ่งกระดาษ A4 จากนั้นพับอีก 2 ทบ ตัดกระดาษให้เป็นสี่เหลี่ยมจัตุรัส ใช้แม็กเย็บกระดาษเย็บไว้

2. ตัดกระดาษจากสี่เหลี่ยมให้เป็นวงกลม

3. ตัดกระดาษให้เป็นกลีบรอบๆ ตกแต่งกลีบให้โค้งสวยงาม

4. พับดอกมะลิชั้นแรกให้งอและโค้งเข้าหากัน ลักษณะคล้ายเกสร

5. ทำซ้ำให้ครบ ก็จะได้ดอกมะลิที่มีลักษณะดอกบานสะพรั่ง สวยงาม

2. วิธีทำดอกมะลิทิชชู

อุปกรณ์

ทิชชูแบบแผ่นใหญ่

ลวด

กรรไกร

ใบมะลิปลอม

วิธีทำ

1. พับครึ่งกระดาษทิชชู ตัดตามรอยพับ ทำทั้งหมด 3 ครั้ง จนได้ทิชชูที่มีรูปทรงคล้ายสี่เหลี่ยมผืนผ้า

2. พับทิชชูสลับขึ้นและลงจนสุดแผ่น นำลวดมามัดบริเวณกึ่งกลาง ความยาวลวดตามชอบ

3. คลี่กระดาษทิชชูออกทุกชั้น เพื่อให้กระดาษฟูสวย

4. ตัดตกแต่งรอบๆ ให้ดอกมีลักษณะกลมสวย สอดใบมะลิปลอมไว้บริเวณฐานดอก เพิ่มความสมจริงเป็นอันเสร็จสิ้น

3. วิธีทำดอกมะลิ จากหลอด

อุปกรณ์

หลอด

ไม้บรรทัด

กรรไกรซิกแซ็ก

กาวสองหน้า

ลวด

วิธีทำ

1. ผ่าหลอดตรงกลาง คลี่หลอดออกก่อนจะพับครึ่งให้เกิดรอย

2. นำกรรไกรซิกแซ็กตัดตามรอย

3. แปะกาวสองหน้าบริเวณด้านใน

4. ตัดหลอดตามรอยฟันปลา

5. ทำซ้ำในขั้นตอนที่ 1-4 ให้ได้หลอด 4 ชิ้น

6. นำลวดมาพับครึ่ง แกะกาวสองหน้า ก่อนจะม้วนหลอดที่เตรียมไว้กับลวดให้แน่นเป็นลักษณะของเกสรดอกไม้

7. หลอดที่เหลือให้แกะกาวสองหน้าและม้วนแบบเดิมจนครบ

8. คลี่ดอกที่พับไว้ตามแต่ละชั้น ตกแต่งดอกให้ฟูและบานสะพรั่ง

9. สอดใบมะลิปลอมไว้บริเวณฐานดอก เพิ่มความสวยงามและสมจริงเป็นอันเสร็จสิ้น

ดอกมะลิ สัญลักษณ์วันแม่แห่งชาติ เปรียบเสมือนความรักที่บริสุทธิ์และยืนยาว หากใครที่กำลังมองหาดอกมะลิสวยๆ มอบให้แม่ สามารถลองทำตามวิธีทำดอกมะลิง่ายๆ ที่ทางไลฟ์สไตล์ไทยรัฐนำมาฝากกันได้ รับรองว่าคุณแม่จะต้องประทับใจในไปอีกนาน


แพทย์แนะเทคนิคขั้นเทพ.. หลับได้ใน 5 นาทีจริงหรือ?

แพทย์ชาวอังกฤษแนะเทคนิคขั้นเทพ "Cognitive Shuffling" (การสับเปลี่ยนความคิด) ช่วยให้นอนหลับได้ในเวลา 5 นาที โดยไม่ต้องพึ่งยานอนหลับ แก้ปัญหาโรคนอนไม่หลับได้เป็นอย่างดี

เคยไหมที่นอนไม่หลับ เพราะสมองคิดเรื่องโน้นเรื่องนี้ไม่หยุด? ตอนนี้มีเทคนิคที่เรียกว่า ‘Cognitive Shuffling’ (การสับเปลี่ยนความคิด) ซึ่งกำลังได้รับความสนใจอย่างมาก เป็นวิธีช่วยให้คุณหลับได้เร็วโดยไม่ต้องพึ่งยานอนหลับ

เทคนิคนี้แนะนำโดย ดร. อาร์เธอร์ จิอุสตรา กุมารแพทย์จากสำนักงานบริการสุขภาพแห่งชาติอังกฤษ (NHS) ซึ่งอ้างว่า ‘Cognitive Shuffling’ ช่วยให้เขานอนหลับภายในไม่กี่นาที แม้จะมีปัญหาเรื่องการนอนหลับเรื้อรังจากการทำงานกะกลางคืนบ่อยครั้ง

‘Cognitive Shuffling’ ทำงานอย่างไร?

หลักการสำคัญคือการ “รบกวนสมอง” ไม่ให้คิดฟุ้งซ่านเรื่องเดิมๆ ที่ทำให้เรานอนไม่หลับ โดยการจินตนาการคำสุ่มๆ ที่ไม่มีความเกี่ยวข้องกันขึ้นมาเป็นชุดๆ วิธีนี้จะช่วยปิดกั้นกระบวนการคิดที่ไม่จำเป็น ทำให้สมองเข้าสู่สภาวะที่ปลอดภัย และพร้อมจะหลับ

ตัวอย่าง:

วิธีที่ 1: ลองนึกถึงคำว่า ‘เปียโน’ แล้วตามด้วยคำว่า ‘เรือ’, ‘คอมพิวเตอร์’ หรือ ‘อพาร์ตเมนต์’ ซึ่งเป็นคำที่ไม่มีความเชื่อมโยงกันเลย

วิธีที่ 2 (ห่วงโซ่คำ): ใช้ตัวอักษรสุดท้ายของคำเพื่อสร้างคำใหม่ เช่น ‘elephant’ ตามด้วยคำว่า ‘t’ree’ แล้วตามด้วย ‘e’ngine และ ‘e’gg วิธีนี้ก็ช่วยลดกิจกรรมของสมองที่มากเกินไปได้เช่นกัน

เทคนิคนี้มีที่มาจากการศึกษา ‘Serial Diverse Imagery Task’ ที่คิดค้นโดยศาสตราจารย์ลุค พี. โบโดอิน จากมหาวิทยาลัยไซมอนเฟรเซอร์ ประเทศแคนาดา ผลการทดลองกับนักศึกษามหาวิทยาลัย 154 คน พบว่ากลุ่มที่ใช้เทคนิคนี้มีคุณภาพการนอนหลับที่ดีขึ้น และมีความตื่นตัวลดลงก่อนหลับ

ดร. จิอุสตรา ระบุว่าเทคนิค Cognitive Shuffling เป็นทางเลือกที่ดีสำหรับผู้ที่มีอาการนอนไม่หลับ เพราะเป็นวิธีที่กระตุ้นการนอนหลับแบบไม่ต้องใช้ยา และใครๆ ก็สามารถทำตามได้ง่าย

อย่างไรก็ตาม ดร. จิอุสตรา ยังแนะนำว่า หากอาการนอนไม่หลับเป็นเรื้อรัง ควรเข้ารับคำปรึกษาจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ และเนื่องจากการศึกษานี้ยังมีขอบเขตจำกัด จึงอาจต้องมีการวิจัยเพิ่มเติม เพื่อยืนยันประสิทธิภาพของเทคนิคนี้ในวงที่กว้างขึ้น

ใครที่นอนไม่ค่อยหลับ ลองนำวิธีการนี้ไปใช้ดู ว่าช่วยให้หลับง่ายขึ้นจริงหรือไม่?

ที่มาและภาพ : insight korea, freepik...


จับโกหก! ให้เต็มเกิบ ‘แฉไต๋ลวงโลก’ จัดไป..ประจานเล่ห์!

เกินกว่าจะใช้คำประณามใด ๆ ให้สาสมได้ กับการ “โกหกอย่างหน้าไม่อาย” ของ “บางชาติที่รุกล้ำก่อศึกหวังแย่งดินแดนชาติไทย” ด้วย “สารพัดเล่ห์ร้าย” แต่ถึงกระนั้นจากสถานการณ์นี้ก็ต้องชื่นชม “พลเมืองเน็ตไทย-ชาวโซเชียลไทย” ที่ไม่อยู่เฉย ขุดหลักฐาน “จับโกหก-ฟ้องประจานต่อโลก” กันแข็งขัน...

ทั้งนี้กับการ “จับโกหกประจานชาติเกเรหน้ามึน”ชาติดังกล่าวนี้ นี่ก็ถือว่าเป็น “ภารกิจช่วยชาติไทยโดยประชาชนคนไทยเอง” ในอีกรูปแบบหนึ่ง ซึ่งการที่คนไทยช่วยกันทำภารกิจนี้เยอะ ๆ ก็น่าจะ “ช่วยสยบเฟคนิวส์หน้าไม่อาย”ถือเป็นการ“ช่วยรับมือแนวรบข่าวโกหกลวงโลก”ได้อีกทาง

ปรากฏการณ์ “จับโกหก” นั้น “มีข้อดี”

เป็นสิ่งที่ “สันทัดกรณีก็จะมีประโยชน์”

ไม่เพียงเรื่องของชาติ “รวมถึงในชีวิต”

และเกี่ยวกับการ “จับโกหก”นี่วันนี้ทาง “ทีมสกู๊ปเดลินิวส์” จะพลิกแฟ้มสะท้อนต่อข้อมูล “เคล็ดลับ” ที่สามารถจะใช้ในชีวิตประจำวันได้ โดยข้อมูลที่นำมาสะท้อนต่อนั้นมาจากบทความสารคดีทางวิทยุ จาก “รายการจิตวิทยาเพื่อคุณ” ที่ออกอากาศผ่าน วิทยุจุฬาฯ FM 101.5 โดยมี ผศ.ดร.ทิพย์นภา หวนสุริยา อาจารย์ประจำ แขนงวิชาจิตวิทยาสังคมพื้นฐานและประยุกต์ คณะจิตวิทยา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เป็นผู้ให้ข้อมูลเรื่องนี้ไว้ ซึ่งน่าพิจารณาอย่างมาก

อย่างไรก็ดี ก่อนจะไปที่ “เคล็ดลับจับโกหก” ก็น่าจะต้องพลิกแฟ้มชวนดู “ความหมาย–ประเภท” ของ “การโกหก” กันก่อน โดยกรณีนี้ก็มีการอธิบายไว้ใน เว็บไซต์คณะจิตวิทยา จุฬาฯ ที่ได้แจกแจงไว้ว่า… “การโกหก” หมายถึง “การที่ผู้พูดบอกข้อมูลเท็จให้กับบุคคลอื่น โดยที่ผู้พูดรู้ว่าไม่ใช่ความจริงทั้งหมด โดยจงใจ” โดยวัตถุประสงค์ของการโกหกนั้น คนที่โกหกอาจไม่ได้หวังผลเพียงเพื่อให้ประสบผลสำเร็จในการหลอกลวงเท่านั้น แต่มีแรงจูงใจมากมายที่ทำให้พูดโกหก เช่น รักษาหน้าตา เลี่ยงการถูกลงโทษ เลี่ยงการเผชิญหน้า สร้างความประทับใจ หรือเพื่อทำร้ายผู้อื่นก็มี …นี่เป็นคำอธิบายโดยสังเขป

อ้อ!…“โกหกหวังชิงดินแดนก็มีเห็น ๆ”

สำหรับ “เคล็ดลับการจับโกหก” ที่อาจารย์คณะจิตวิทยา จุฬาฯ ให้ความรู้ไว้นั้น มีการระบุไว้ว่า… จากการศึกษาของนักจิตวิทยาต่างประเทศ พบว่า… คนทั่วไปมักพูดโกหกเฉลี่ยวันละ 1-2 ครั้ง ซึ่งสะท้อนว่า…แต่ละวันคนเรามีโอกาสไม่น้อยที่จะต้องเจอกับการโกหก และบางครั้งอาจจะเป็นตัวของเราเองด้วยซ้ำที่พูดโกหกเหมือนกัน อย่างไรก็ตาม แต่ก็มี “หลักสังเกตเบื้องต้น” เพื่อใช้เป็น “แนวทางจับโกหก”อยู่เช่นกันโดยอาจจับโกหกได้ผ่าน “สัญญาณพฤติกรรมต่าง ๆ” ดังต่อไปนี้…

“สัญญาณอารมณ์ด้านความรู้สึก” โดยเมื่อคนพูดโกหกซึ่งเป็นการพูดเรื่องที่ไม่เคยเกิดขึ้น หรือพูดในสิ่งที่ไม่ได้เชื่อ หรือไม่ได้มีความรู้สึกเช่นนั้นจริง ย่อมจะทำให้ผู้พูดโกหกกลัวจะถูกจับได้ หรือละอายใจที่พูดโกหก จึงทำให้มีร่องรอยอารมณ์ความรู้สึกที่ซุกซ่อนอยู่รั่วไหลออกมาผ่านทางสีหน้า ท่าทาง และน้ำเสียง ซึ่งเป็นปฏิกิริยาอัตโนมัติที่ยากจะควบคุมให้แนบเนียนได้ตลอดเวลา โดยที่มักจะแสดงออกมาเมื่อพูดโกหก ได้แก่ พูดด้วยน้ำเสียงสูงกว่าปกติ, พูดเร็วหรือดังกว่าปกติ, พูดติดขัดหรือพูดผิดบ่อย ๆ ที่จะยิ่งชัดเจนหากผู้พูดกลัวจะถูกจับได้ โดยเฉพาะกรณีที่เป็นเรื่องเสี่ยง และรู้สึกว่ากำลังถูกจับตามอง

“สัญญาณที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการทางปัญญา” ซึ่งพูดง่าย ๆ คือสัญญาณที่บ่งบอกว่าผู้พูดต้องใช้ความคิดมากกว่าปกติ หรือมากกว่าที่จำเป็นต้องใช้ในเวลาที่พูดความจริง เพราะการพูดโกหกคือการพูดสิ่งที่ไม่เคยเกิดขึ้นจริง ผู้พูดจึงต้องใช้สมองใช้ความคิดเพื่อสร้างเรื่องราวขึ้นมา ดังนั้นคนที่กำลังพูดโกหกจึงอาจมีกิริยาท่าทางที่แสดงให้เห็นถึงการที่ต้องใช้ความพยายามทางความคิดมากกว่าปกติ เช่น ตอบคำถามช้า, มีท่าทีลังเลในการพูด, มีการเคลื่อนไหวร่างกายที่ผิดปกติ อาทิ ใช้มือไม้ประกอบน้อยลงกว่าปกติ เพราะเกิดอาการเกร็ง หรือจดจ่ออยู่กับการตั้งใจแต่งเรื่องให้สมเหตุสมผลให้มากที่สุด

“สัญญาณลักษณะเรื่องราวและคำพูด” ถ้าผู้พูดไม่มีโอกาสเตรียมตัวซักซ้อมก่อน เรื่องเล่าโกหกจะ ไม่ค่อยราบรื่น เนื้อเรื่องมีแต่ข้อมูลพื้น ๆ ไม่มีรายละเอียด คลุมเครือ ไม่เฉพาะเจาะจง เพราะไม่ได้เกิดจากประสบการณ์จริง ไม่ใช่เรื่องจริง จึงไม่สามารถที่จะนึกถึงรายละเอียดจำเพาะเจาะจงอะไรได้มากไปกว่าข้อมูลคร่าว ๆ …เหล่านี้เป็น “สัญญาณจับโกหก”

ทั้งนี้ ผศ.ดร.ทิพย์นภา หวนสุริยา นักวิชาการด้านจิตวิทยา ระบุถึงการ “โกหก” ไว้ด้วยว่า… สาเหตุหรือแรงผลักดันทำให้คนพูดโกหกมีได้หลาย ๆ ปัจจัย อาทิ… โกหกเพื่อผลประโยชน์, โกหกเพื่อความสบาย, โกหกเพื่อปกปิดการผิดศีลธรรม–จริยธรรม, โกหกเพื่อหลีกเลี่ยงการถูกลงโทษ เป็นต้น และนอกจากนั้นยังพบอีกว่า… มีอยู่บ่อยครั้งที่การโกหกนั้นอาจจะมีเป้าหมายอื่น ๆ ซุกซ่อนอยู่ เช่น เพื่อจะปกป้องจิตใจตนเองจากความเจ็บปวด หรือ เพื่อจะทำให้ดูเก่งกว่าความจริงที่เป็น รวมไปถึงโกหก เพื่อจะทำให้คนอื่นรู้สึกสงสารเห็นใจหรือเพื่อสวมบทบาทเหยื่อ…ทั้ง ๆ ที่เป็นผู้ทำผิดเอง

“การฝึกจับสังเกตจากสัญญาณหรือเบาะแสที่แสดงออกมา จะช่วยให้เราวิเคราะห์ได้ว่าคนไหนพูดจริง? คนไหนที่โกหก?” …นักวิชาการท่านดังกล่าวระบุไว้ และรวมถึง… การโกหกเป็นพฤติกรรมที่ไม่ได้เกิดขึ้นเฉพาะคนที่ทำความผิด ซึ่งมักจะโกหกเพื่อเอาตัวรอด แต่ การโกหกสามารถเกิดขึ้นได้รอบตัวเรา ในชีวิตประจำวันของคนเรา …นี่นับว่าจริงแท้

แต่ที่ “บางชาติโกหกหน้าไม่อาย” นั้น

แบบนี้ “ใช้เคล็ดลับจับโกหกไม่พอ”

จะ “ต้องแฉประจานให้รู้ทั่วโลก!!”....


ด่วน! พิธีเปิดซีเกมส์ส่อไม่ได้จัด ‘สนามหลวง’ กกท.ชี้จุดน่ากังวล ยอมรับยังมีปัญหาเยอะ

ด่วน! "พิธีเปิดซีเกมส์" ส่อปรับแผน ไม่จัดที่สนามหลวงแล้ว "ผู้ว่าการ กกท." เผย มีข้อกังวล ชงย้ายไป "ราชมังคลากีฬาสถาน" ประชุมด่วนเย็นนี้ ยอมรับอีก 4 เดือนจะจัด แต่ยังมีปัญหาหลายด้าน

การแข่งขันกีฬาซีเกมส์ ครั้งที่ 33 ที่ประเทศไทย เป็นเจ้าภาพ ระหว่างวันที่ 9-20 ธ.ค. 68 นี้ อาจเปลี่ยนจากท้องสนามหลวง เป็นราชมังคลากีฬาสถาน

ก่อนหน้านี้ พิธีเปิดวางไว้ที่ท้องสนามหลวง ซึ่งจะเป็นความพิเศษอย่างมาก ในการไม่จัดในสเตเดี้ยม

อย่างไรก็ตาม ล่าสุด ดร.ก้องศักด ยอดมณี ผู้ว่าการการกีฬาแห่งประเทศไทย (ผู้ว่าการ กกท.) ให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าวไทย ว่า พิธีเปิดการแข่งขัน มีความเป็นไปได้สูงที่จะย้ายจากท้องสนามหลวง กลับมาที่ราชมังคลากีฬาสถาน เพื่อการดูแลรักษาความปลอดภัยนักกีฬาและเจ้าหน้าที่จากทุกชาติ

นอกจากนี้ ดร.ก้องศักด กล่าวว่า เหลือระยะเวลาอีกประมาณ 4 เดือน แต่ยังมีปัญหาในการจัดแข่งขันหลายด้าน เช่นสนามแข่งขันบางชนิดกีฬาที่ยังไม่เสร็จ, ปัญหาความขัดแย้งชายแดนระหว่างไทย-กัมพูชา ที่ส่งผลต่อความเชื่อมั่นด้านความปลอดภัยของชาติสมาชิก ที่จะส่งนักกีฬาเข้าร่วมการแข่งขัน

ขณะเดียวกัน เย็นวันนี้ (5 ส.ค.68) ผู้ว่าการ กกท. พร้อมคณะกรรมการจัดการแข่งขัน จะประชุมที่กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา เพื่อหาข้อสรุปในประเด็นปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้นอย่างเร่งด่วน

ในส่วนของเบี้ยเลี้ยงฝึกซ้อมที่นักกีฬายังไม่ได้รับถึง 4 เดือน ได้ประสานไปยังกองทุนพัฒนาการกีฬาแห่งชาติ ให้มีการอนุมัติงบประมาณเพิ่มเติม และได้ส่งเรื่องต่อไปยังกรมบัญชีกลาง ให้เร่งดำเนินเบิกจ่ายให้กับนักกีฬาภายใน 1-2 สัปดาห์นี้ เนื่องจากการเก็บตัวนักกีฬาซีเกมส์ครั้งนี้ ยาวนานถึง 1 ปี ทำให้มีผลกระทบกับงบประมาณที่ตั้งไว้...


พบหมู่บ้านสุดแปลก ถือว่าการตายเป็นเรื่อง “ผิดกฎหมาย”

หมู่บ้านเล็กๆ แห่งหนึ่งทางภาคใต้ของสเปนถือว่าการเสียชีวิตในพื้นที่เป็นเรื่องผิดกฎหมาย เนื่องจากไม่มีพื้นที่สุสานเพียงพอต่อการฝังศพ

ที่หมู่บ้านเล็กๆ แห่งหนึ่งชื่อว่า ลันฆารอน ในจังหวัดกรานาดา ประเทศสเปน หากชาวหมู่บ้านเสียชีวิตที่นี่ ถือว่าเป็นการกระทำที่ผิดกฎหมาย.

นี่คือกฎที่อดีตนายกเทศมนตรีโฮเซ รูบิโอ บังคับใช้มากว่า 25 ปีแล้ว โดยเริ่มขึ้นในปี 2542 นายกเทศมนตรีรูบิโอได้ออกประกาศกระตุ้นเตือนให้ประชาชนในลันฆารอน “จงดูแลสุขภาพของตนเองให้ดีที่สุด เพื่อจะได้ไม่เสียชีวิตจนกว่าศาลากลางจะดำเนินการตามจำเป็นเพื่อจัดหาที่ดินที่เหมาะสมให้ผู้เสียชีวิตได้พักผ่อนอย่างสงบ”

นอกจากนี้ยังมีการออกพระราชกฤษฎีกาเพิ่มเติมระบุว่า “ห้ามมิให้เสียชีวิตในลันฆารอน” ช่วยเน้นให้นโยบายนี้ชัดเจนยิ่งขึ้น

รายงานข่าวในขณะนั้นระบุว่า นายกเทศมนตรีรูบิโอกำลังโดนกดดันให้แก้ไขปัญหาความแออัดของสุสานท้องถิ่นโดยเร็ว แม้ว่าจะเป็นปัญหากวนใจชาวบ้านมานานแล้วก็ตาม เขาจึงใช้การออกกฎหมายที่แปลกประหลาดนี้เป็นทางออก

ในเวลานั้น รูบิโอกล่าวว่า “ทุกคนตอบรับกฎหมายนี้ด้วยอารมณ์ขันและปรารถนาอย่างแรงกล้าที่จะปฏิบัติตาม”

ยังไม่เป็นที่แน่ชัดว่า ตกลงแล้วหมู่บ้านซึ่งมีสภาพเป็นเขตเทศบาลเมืองเล็กๆ ด้วยแห่งนี้ได้มีการขยายพื้นที่สุสานจากเดิมหรือไม่ แต่ 26 ปีหลังจากออกกฎหมายประหลาด ลันฆารอนยังคงมีสุสานเพียงแห่งเดียวในท้องที่

นอกเหนือจากกฎหมาย “ห้ามตาย” แล้ว หมู่บ้านเล็กๆ แห่งนี้ก็เป็นเหมือนเมืองเล็กทั่วไป ซึ่งมีประชากรเกือบ 4,000 คน เป็นแหล่งท่องเที่ยวที่โด่งดังสำหรับผู้รักสุขภาพเพราะมีน้ำพุร้อนที่อุดมไปด้วยแร่ธาตุมีประโยชน์

อย่างไรก็ตาม รูบิโอไม่ใช่นายกเทศมนตรีคนเดียวที่ตัดสินใจเช่นนี้ ในเมืองลองเยียร์เบียน ประเทศนอร์เวย์ ชาวเมืองก็โดน “ห้ามตาย” เช่นกัน และโดนห้ามมาตั้งแต่ปี 2493

ในศตวรรษที่ 20 นักวิจัยค้นพบว่า ร่างของผู้เสียชีวิตในหลุมฝังศพของสุสานในเมืองนี้ไม่เน่าเปื่อยเนื่องจากสภาพภูมิอากาศที่หนาวจัดของภูมิภาคที่อยู่ใกล้ขั้วโลกเหนือ นักวิทยาศาสตร์ได้ทดสอบเก็บตัวอย่างจากศพที่ถูกฝังเพื่อหาเชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่ในปี 2460 และสามารถนำตัวอย่างเชื้อไวรัสที่ยังไม่ตายออกมาได้

ด้วยเหตุนี้ จึงมีการปิดสุสาน ไม่ให้นำศพไปฝังเพิ่ม เนื่องจากความกังวลว่าโรคจะแพร่กระจายออกไปได้

ที่มา : nypost.com...