ครบเครื่อง
ญ. อมตะ



6 เทรนด์ดูแลสุขภาพมาแรง ปี 2567 ตอบโจทย์สังคมผู้สูงวัย เพื่ออายุขัยที่ยืนยาว

การมีอายุขัยที่ยืนยาวอย่างมีสุขภาพดีคือสิ่งที่ผู้สูงวัยหลายคนต้องการ รวมถึงคนทั่วไปในวัยทำงานที่อนาคตก็ต้องก้าวสู่การเป็นผู้สูงอายุอย่างเลี่ยงไม่ได้ การดูแลตนเองแต่เนิ่นๆ อย่างถูกวิธีเพื่อให้มีร่างกายแข็งแรงและมีอายุยืนอย่างมีความสุข โดยไม่เป็นภาระของคนรอบข้างและระบบสาธารณสุข คือเทรนด์สุขภาพที่มาแรงในปี 2567

ศ.ดร.พิเชษฐ์ วิริยะจิตรา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และหัวหน้าคณะนักวิจัยฯ บริษัท เอเชียน ไฟย์โตซูติคอลส์ จำกัด (มหาชน) หรือ APCO เผยว่า ปัจจุบันนี้ การดูแลตัวเองในแบบองค์รวมกำลังเป็นเรื่องที่ได้รับความนิยมมากขึ้น โดยจะเป็นการมองหาวิธีดูแลและเข้าใจทั้งทางด้านร่างกาย จิตใจ และอารมณ์ ไปพร้อมๆ กัน ซึ่งต้องดูแลอย่างสม่ำเสมอ แม้จะมีร่างกายที่แข็งแรงอยู่แล้วก็ตาม เพราะในแง่ของสุขภาพนั้น การป้องกันย่อมดีกว่าการรักษา ไม่ควรรอให้เกิดโรคก่อนแล้วจึงไปปรึกษาแพทย์ ด้วยเหตุนี้หัวใจสำคัญที่สุดคือการมีอายุที่ยืนยาวได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อสังคมไทยมีแนวโน้มที่จะขาดแคลนวัยแรงงานในอนาคต

เราจึงต้องเตรียมตัวและปรับตัวให้มีช่วงเวลาในการทำงานยาวขึ้น การดูแลสุขภาพในแบบเดิมๆ อาจจะไม่เพียงพอสำหรับปัจจุบัน โดยเทรนด์การดูแลสุขภาพที่กำลังเป็นที่นิยม และจะช่วยให้คนไทยมีอายุยืนยาวได้อย่างมีประสิทธิภาพนั้น ได้แก่

1. Holistic health care การดูแลสุขภาพแบบองค์รวม ขณะที่เราก้าวเข้าสู่ปี 2567 การให้ความสำคัญเฉพาะเรื่องสุขภาพร่างกายแต่เพียงอย่างเดียวอาจจะไม่เพียงพอ ในอนาคตสุขภาพที่ดีต้องหมายรวมถึงชีวิตที่มีความสุขแบบองค์รวม นั่นคือ ความสุขที่มาจากร่างกายที่แข็งแรง และสุขภาพจิตใจที่เบิกบาน

โดยเทรนด์นี้กำลังเป็นที่สนใจของคนในยุคปัจจุบันมากขึ้นเรื่อยๆ โดยผู้คนกำลังมองหาวิธีการสร้างสมดุลให้กับทั้งทางด้านร่างกาย จิตใจ และอารมณ์ เพื่อสร้างความสุขที่ยั่งยืน ไม่ต้องพึ่งการรักษาหรือยาอีกต่อไป

2. การดูแลสุขภาพ และโภชนาการแบบรายบุคคล อีกเทรนด์หนึ่งที่สำคัญและกำลังเป็นที่นิยมมาก คือ การดูแลสุขภาพและโภชนาการแบบรายบุคคล โดยเราจะต้องรู้จักร่างกายของเราก่อนว่ามีพื้นฐานเป็นอย่างไร ขาด หรือมีอะไรที่มากเกินไป จากนั้นจะเน้นไปที่การวางแผนโภชนาการที่ปรับให้เหมาะสมกับพันธุกรรม เพศ ชีวภาพ และเป้าหมายด้านสุขภาพของเราหรือของแต่ละบุคคล อาหารที่มีประโยชน์ที่ถูกคัดเลือกมาเพื่อวัตถุประสงค์เฉพาะ เพื่อให้ร่างกายเกิดความสมดุล และทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด

3. การฝึกสติ และการสร้างสุขภาพจิตที่ดี จิตใจมนุษย์ถือเป็นพื้นฐานของความสุขทั้งปวง หากจิตป่วยร่างกายก็ยากที่จะแข็งแรงสมบูรณ์ได้ ความกดดันของสังคมในปัจจุบัน เป็นต้นเหตุให้เกิดความเครียดได้ง่าย ทำให้เกิดโรคทางจิตตามมามากมาย เช่น โรคซึมเศร้า ดังนั้น จิตจึงมีความสำคัญเป็นอย่างมาก ความสำคัญของสุขภาพจิตคือการเน้นไปที่การฝึกสติ ลดความเครียด และดำเนินชีวิตอย่างมีความสุข โดยกิจกรรมที่จะช่วยฝึกสติได้ เช่น การทำสมาธิ การทำโยคะ และการฝึกการหายใจในรูปแบบต่างๆ ซึ่งกำลังเป็นที่นิยมอย่างมาก

4. การใช้อาหารเป็นยา การทานอาหารที่ดี เท่ากับว่าเป็นการเสริมสร้างสุขภาพตัวเองให้แข็งแรง ยิ่งเรารักษาสุขภาพด้วยการกินดี พักผ่อนดี ออกกำลังกายดี ชีวิตก็จะดีได้ไม่ยาก ในปัจจุบันการแพทย์ได้วิจัยออกมาแล้วว่าอาหารหลายๆ ชนิดมีส่วนช่วยป้องกันโรคร้ายต่างๆ ได้ ฉะนั้นการกินอาหารจากธรรมชาติ ปลอดภัย ไร้สารเคมี จะทำให้ร่างกายถูกซ่อมแซมได้มากกว่าการกินยาเคมี โดยอาหารที่รับประทานควรเลือกชนิดที่ดูดซึมได้ง่าย ช่วยเสริมสร้างให้ระบบการทำงานของร่ายกายมีประสิทธิภาพได้ดีขึ้น มีภูมิคุ้มกันที่สมดุล และเพื่อป้องกันโรคภัยไข้เจ็บต่างๆ

5. การกินอาหารที่ทำมาจากพืช การทานอาหาร plant-based คือ การทานอาหารที่เน้นผัก ผลไม้ เครื่องเทศ สมุนไพร ถั่ว และธัญพืชที่ไม่ขัดสี หรือขัดสีน้อยที่สุด โดยมีงานวิจัยรองรับในเชิงวิชาการมากมายว่าการทานอาหาร plant-based ช่วยให้มีสุขภาพดีขึ้น อาการเจ็บป่วยต่างๆ ค่อยๆ ดีขึ้นและช่วยลดความเสี่ยงจากการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือด โรคความดันโลหิตสูง และโรคหลอดเลือดในสมอง นอกจากนี้ การทานอาหาร plant-based ยังมีประโยชน์ต่อสุขภาพอื่นๆ อีกมากมาย เช่น ช่วยเพิ่มการได้รับวิตามิน แร่ธาตุ สารต้านอนุมูลอิสระ ใยอาหาร ช่วยในเรื่องระบบขับถ่าย ลดความเสี่ยงจากการเกิดโรคมะเร็งลำไส้ ควบคุมน้ำหนัก ควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด และลดระดับไขมันในเลือดได้อีกด้วย

6. การสร้างเสริมสุขภาพด้วยการปรับระบบภูมิคุ้มกันในร่างกายให้สมดุล ภูมิคุ้มกันคือระบบป้องกันของร่างกายที่ช่วยป้องกันการติดเชื้อจากเชื้อโรคต่างๆ และความไม่สมดุลของการทำงานในร่างกาย ซึ่งจะนำไปสู่การเกิดโรคต่างๆ การสร้างและรักษาภูมิคุ้มกันให้แข็งแรงเป็นสิ่งที่สำคัญ โรคร้ายเรื้อรังที่เราพบเจอทุกวันนี้ล้วนเกิดขึ้นจากการที่ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายบกพร่อง การสร้างเสริมภูมิคุ้มกันจะช่วยป้องกันการเข้าทำลายของเชื้อโรคและจุดอ่อนของร่างกายที่เสี่ยงต่อการติดเชื้อ ซึ่งภูมิคุ้มกันสามารถช่วยลดความรุนแรงของโรค ทำให้ร่างกายสามารถต่อสู้กับเชื้อโรคได้ดีขึ้น ช่วยลดการเจริญเติบโตของเซลล์และลดความเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็ง อีกทั้งการรักษาภูมิคุ้มกันที่ดีช่วยลดความเสี่ยงต่อโรคเรื้อรัง เช่น โรคหลอดเลือดหัวใจ เบาหวาน และความดันโลหิตสูง ทั้งยังมีผลต่อระดับความเครียดและภาวะซึมเศร้าเช่นกัน

ดังนั้น การดูแลสุขภาพที่ดีจะช่วยให้คนไทยมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น และที่สำคัญการดูแลสุขภาพที่ดีไม่จำเป็นต้องจ่ายเงินแพง เราสามารถดูแลสุขภาพได้ด้วยตนเอง โดยใช้ความรู้และทักษะที่เหมาะสม โดยการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ชีวิต รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ พักผ่อนให้เพียงพอ ปรับระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายให้สมดุล

ภาพ : iStock


นักวิทย์ฯ พบ ต้นไม้เก่าแก่ที่สุดในโลก 5,484 ปี ในป่าชิลี อายุเท่าชาวสุเมเรียน อารยธรรมเมโสโปเตเมีย

ก่อนหน้านี้หลายคนรู้กันว่า ต้นไม้ที่อายุมากที่สุดในโลก คือ “เมธูเซลาห์” ต้นสนสายพันธุ์ Pinus longaeva ในรัฐแคลิฟอร์เนียตะวันออก ประเทศสหรัฐอเมริกา โดยมีอายุถึง 4,853 ปี ซึ่งชื่อได้มากจากผู้เฒ่าในพระคัมภีร์ไบเบิล ที่มีความหมายเหมือนคล้ายกันกับการมีอายุยืนยาวของต้นไม้ต้นนี้

แต่สถิติเดิมได้ถูกเขียนขึ้นใหม่ หลังจากนักวิทยาศาสตร์ในประเทศชิลี ได้ศึกษาและเก็บข้อมูล ต้น Patagonian Cypress ในพื้นที่อุทยานแห่งชาติ Alerce Costero และได้พบต้นไม้โบราณที่รู้จักกันในฉายาภาษาสเปนว่า Gran Abuelo หรือ “ปู่ทวด” และได้พบว่ามีอายุประมาณ 5,484 ปี ซึ่งอายุมากกว่าต้นเมธูเซลาห์ ประมาณ 600 ปี ทำให้ต้นไม้ที่ถูกพบใหม่นี้กลายเป็นต้นไม้ที่เก่าแก่และมีอายุมากที่สุดในโลก

ต้นสน Patagonian Cypress หรือที่แถบทวีปอเมริกาใต้เรียก ต้น Alerce เป็นสนพื้นเมืองที่พบได้ในประเทศชิลีและอาร์เจนตินา อยู่ในตระกูลเดียวกับต้นซีคัวยายักษ์และต้นเรดวูด ที่พบมากในพื้นที่รัฐแคลิฟอร์เนีย ประเทศสหรัฐอเมริกา ต้นไม้สายพันธุ์นี้ได้ชื่อว่าเป็นต้นไม้ที่ใหญ่และสูงที่สุดในโลก ซึ่งสามารถสูงได้ถึง 45 เมตร

Alerce เป็นต้นไม้ที่มีอัตราการเติบโต้ที่ช้ามาก สามารถชีวิตอยู่ได้หลายร้อยหรือหลายพันปี แต่ Gran Abuelo หนึ่งในต้นสนที่นักวิทยาศาสตร์ได้ศึกษาถือได้ว่ามีความน่าสนใจอย่างยิ่ง เนื่องจากต้นนี้มีอายุมากกว่า ต้น Alerce อื่นๆ ที่เคยถูกค้นพบมา โดยมีอายุถึง 5,484 ปี หากเมื่อเทียบกับช่วงเวลาประวัติศาสตร์ของมนุษย์แล้วจะอยู่ในยุคเริ่มต้นอารยธรรมต่างๆ หรืออายุเท่าชาวสุเมเรียนในอารยธรรมเมโสโปเตเมีย

โจนาธาน แบริชิวิช

(Jonathan Barichivich) นักวิทยาศาสตร์สิ่งแวดล้อมชาวชิลีที่ทำงานที่ห้องปฏิบัติการวิทยาศาสตร์ภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อมในปารีสได้ใช้แบบจำลองคอมพิวเตอร์และวิธีการดั้งเดิมในการคำนวณอายุต้นไม้ โดยใช้วิธีการคำนวณนับวงปี ซึ่งข้อมูลนี้เชื่อถือได้มากกว่า 80% บ่งบอกได้ว่าต้นไม้ต้นนี้มีอายุมากกว่า 5 พันปีแล้ว ถึงแม้ว่านักวิทยาศาสตร์บางส่วนจะยังไม่เชื่อในคำกล่าวอ้างนี้ แต่ผู้เชี่ยวชาญหลายคนก็เชื่อในวิธีการของเขา

แม้เหล่านักประวัติศาสตร์พืชโบราณ (dendrochronologists) หลายคนอาจจะยังตั้งข้อสงสัยในการเก็บข้อมูลอายุของต้นไม้ เนื่องจากการศึกษานี้ไม่มีการพิจารณาวงปีการเจริญเติบโตของต้นไม้ทั้งหมด แต่อย่างน้อยผู้เชี่ยวชาญบางคนก็เปิดรับความเป็นไปได้ว่า ต้นที่ค้นพบใหม่นี้เป็นต้นไม้ที่เก่าแก่และมีอายุมากที่สุดในโลก

ขอบคุณข้อมูลอ้างอิง : www.igreenstory.co , www.science.org


"พ่อเมืองกาฬสินธุ์" เปิดศูนย์เรียนรู้พืชเสพติดสู่พืชเศรษฐกิจใหม่ "พืชกระท่อม" นำมาแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์

ที่ไร่กระท่อมภูมะตูม ต.กุดหว้า อ.กุฉินารายณ์ จ.กาฬสินธุ์ นายทรงพล ใจกริ่ม ผวจ.กาฬสินธุ์ ลงพื้นที่พบปะ และตรวจเยี่ยมให้กำลังใจเกษตรผู้ปลูกกระท่อม พร้อมทั้งเปิดศูนย์การเรียนรู้จากพืชเสพติด สู่พืชเศรษฐกิจใหม่ (พืชกระท่อม) โดยมีนายสนัด วงศ์ทวีทอง รองผู้อำนวยการอุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ ดร.นพดล โปธิตา ประธานกรรมการบริษัท กระท่อม อินโนเวชั่น จำกัด นายวิทยาธร บุญไกรสร ประธานที่ปรึกษาบริษัท กระท่อม อินโนเวชั่น จำกัด และเกษตรกร รวมกิจกรรม

ดร.นพดล โปธิตา ประธานกรรมการบริษัท กระท่อม อินโนเวชั่น จำกัด เปิดเผยว่า พืชกระท่อม เป็นสมุนไพรที่มีสรรพคุณทางยาที่เป็นประโยชน์ ทั้งทางการแพทย์ และเป็นพืชเศรษฐกิจทางเลือกที่มีมูลค่าสูงเป็นที่ต้องการของตลาดอุตสาหกรรมอาหาร เครื่องดื่ม เครื่องสำอาง อาหารเสริม และสมุนไพร ทั้งในและต่างประเทศ ดังนั้น หากทุกภาคส่วนร่วมกันขับเคลื่อนพืชกระท่อม อย่างเป็นระบบครบวงจร ตั้งแต่การปลูก การแปรรูปอย่างมีมาตรฐาน จะสามารถทำการตลาด จำหน่ายให้ ผู้บริโภค มีความปลอดภัย สร้างรายได้ให้แก่เกษตรกร ผู้ประกอบการ จนสามารถยกระดับเศรษฐกิจฐานรากของจังหวัดกาฬสินธุ์ได้ในอนาคต

ด้านนายทรงพล ใจกริ่ม ผวจ.กาฬสินธุ์ กล่าวว่า ปัจจุบันได้มีการปลดล็อกพืชเศรษฐกิจใหม่ ทำให้ "กระท่อม" ซึ่งสามารถปลูก-ดื่ม-ซื้อ-ขาย ได้อย่างเสรี ตามนโยบายของรัฐบาลที่ต้องการผลักดันให้เป็นพืชเศรษฐกิจใหม่ และสามารถส่งขายในเชิงพาณิชย์เพื่อสร้างรายได้ให้กับเกษตรกรไทย จ.กาฬสินธุ์ได้มองเห็นโอกาสพืชเศรษฐกิจ "กระท่อม" จึงให้ความสำคัญต่อนโยบายส่งเสริมกระท่อมเป็นพืชเศรษฐกิจทางเลือกอย่างยั่งยืน

ทั้งนี้ ได้กำหนดนโยบายส่งเสริมพืชเศรษฐกิจทางเลือกตามยุทธศาสตร์เมืองสีเขียวอัจฉริยะ (Kalasin Smart Green City) เพื่อพัฒนาด้านการเกษตรให้เป็นศูนย์กลางการผลิตอาหารปลอดภัยในพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือภายในปี 2567 ด้วยการขับเคลื่อนนโยบายส่งเสริมการปลูกกระท่อมเป็นพืชเศรษฐกิจทางเลือก และเป็นการส่งเสริมพืชเศรษฐกิจชนิดใหม่ ที่จะช่วยสร้างรายได้เสริมให้กับเกษตรกร โดยเกษตรเองสามารถปลูกเสริมเพิ่มเติมในที่ทำการเกษตรของตนเอง

เนื่องจากพืชกระท่อมเป็นสมุนไพรที่สรรพคุณทางยา ซึ่งคาดว่าในอนาคตจะอาจเป็นที่ต้องการของตลาด ทั้งอุตสาหกรรมเครื่องดื่ม อาหารเสริม และยา ทั้งในและต่างประเทศ กระท่อมจึงเป็นพืชเศรษฐกิจทางเลือกซึ่งจะเป็นการสร้างการเปลี่ยนแปลงและยกระดับรายได้เสริมให้เกษตรกรได้อย่างเป็นรูปธรรมในอนาคตต่อไป


หนุ่มเชียงราย สร้างผลงาน Tanbo Art กลางผืนนา พลิกผืนนาบ้านเกิด ปลูกข้าวหลากสี

หนุ่มเชียงราย สร้างผลงาน Tanbo Art กลางผืนนา พลิกผืนนาบ้านเกิด ปลูกข้าวหลากสี สร้างสรรค์ผลงาน เป็นส่วนหนึ่งของงาน Thailand Biennale Chiang Rai วาดลวดลายสุดสวย

ผู้สื่อข่าวรายงานว่าในปัจจุบันที่ทุ่งนาพื้นที่หมู่บ้านขอนซุง หมู่ 4 ต.งิ้ว อ.เทิง จ.เชียงราย นายธันยพงศ์ ใจคำ ปัจจุบันทำงานเป็นผู้บริหารโรงงานผลิรถยนต์ที่ จ.พระนครศรีอยุธยา แต่ได้แบ่งเวลามาทำนาได้ปลูกข้าวหลากสีบนพื้นที่ประมาณ 5 ไร่ ซึ่งเมื่อมองจากที่สูงจะเห็นลวดลายของแปลงข้าวเป็นรูปแมวอย่างน้อย 2-3 ตัวอยู่ในกริยาต่างๆ ทั้งนอนหลับ ลืมตา ฯลฯ

โดยนายธันย์พงศ์ ระบุว่า สาเหตุที่ปรับนาข้าวให้เป็นรูปทรงดังกล่าวเพื่อให้ร่วมกับงานมหกรรมศิลปะร่วมสมัยนานาชาติ Thailand Biennale Chiang Rai 2023 ซึ่ง จ.เชียงราย เป็นเจ้าภาพ ในระหว่างวันที่ 9 ธ.ค.2566-30 เม.ย.2567 โดยในส่วนของนาข้าว จะเปิดให้เข้าชมในวันที่ 30 ธ.ค.2566 เป็นต้นไป

นายธันย์พงค์ เปิดเผยว่า ตนมีภูมิลำเนาอยู่ที่หมู่บ้านซอนซุง และครอบครัวก็มีอาชีพเกษตรกรรมมาโดยตลอด จึงมีความผูกพันกับท้องนา กระทั่งได้ทราบว่าที่ประเทศญี่ปุ่นมีการสร้างสรรค์ผลงานศิลปะบนนาข้าวหรือ Tanbo Art โดยใช้พันธุ์ข้าวหลากสีและมีการจัดเทศบาลทุกปีทำให้มีนักท่องเทียวไปเยือนปีละหลายแสนคน ขณะที่ประเทศไทยเรามนาข้าวกว้างขวางแต่ข้าวและต้นข้าวไม่มีหลากหลายหรืออย่างมากไม่เกิน 3 สีเท่านั้น

กระทั่งในปี 2566 ตนทราบว่ามหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตกำแพงแสน ได้พัฒนาสายพันธุ์ข้าวเจ้าโดยนำข้าวจ้าวหอมนิลกลายใบขาวผสมกับข้าวก่ำหอมนิล จนได้ความหลากสี สายพันธุ์ RB01, RB02, RB03, RB04, และ RB05 รวมทั้งเปิดรับสมัครเกษตรกรทำ Tanbo Art ตนจึงรีบสมัครโดยทันที เมื่อได้สายพันธุ์มาแล้วจึงปรึกษากับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในพื้นที่แต่กลับไม่ได้รับการสนับสนุนเพราะอาจเป็นเรื่องใหม่ ดังนั้นตนจึงตัดสินใจนำเมล็ดพันธุ์มาเพาะพันธุ์ทีละเม็ดจนได้ต้นกล้าขึ้น

นายธันย์พงศ์ กล่าวว่า เมื่อได้ต้นกล้าเตรียมปลูกแล้วตนอยากให้มีสวยงามจึงเดินทางไปขอคำปรึกษาจากสมาคมขัวศิลปะ จ.เชียงราย และได้ทราบว่า จ.เชียงราย กำลังเป็นเจ้าภาพจัดงาน Thailand Biennale Chiang Rai 2023 ด้วย เมื่อตนปรึกษาแล้วทางศิลปินได้ไปดูที่นาข้าวและเสนอให้ออกแบบรูปแมตาโต ภาพแมวนอนหลับ และแมวนอนกอดปลา ภายใต้แนวคิด "ในน้ำมีปลา ในนามีแมว" จากนั้นจึงถือตอนการทำภาพซึ่งถือว่ายากมาก

ตนจึงขอศิลปินจากสมาคมขัวศิลปะให้ไปชวย และขอความช่วยเหลือจากช่างกรมชลประทานให้ชวยวัดพิกัด GPS วางหลัก เครื่องมือวัดจากกรมที่ดิน มีการขึงเชือกและปักจุดมากกว่า 3,000 จุด

เมื่อออกแบบกรอบภาพแล้วจึงได้นำต้นกล้าที่เตรียมไว้มาปลูก โดยตนพาภรรยา ลูกๆ ญาติพี่น้อง ศิลปินวัฒนธรรม จ.เชียงราย ฯลฯ ได้ช่วยกันปลูกตามแนวตั้งแต่วันที่ 15 ต.ค.2566 เป็นต้นมา กระทั่งใช้เวลาปลูกประมาณ 10 วัน จึงได้ภาพแมวทั้ง 3 ตัวดังกล่าว

นอกจากนี้ยังปลูกข้าวพันธุ์อื่นๆ ทำให้มีพันธุ์ข้าวในบริเวณเดียวกันมากถึง 7 สี และคาดว่าข้าวจะเปลี่ยนเฉดสีในอีกประมาณ 2 สัปดาห์ ทำให้สามารถปิดให้เข้าชมได้ในปลายเดือน ธ.ค.2566 โดยจะเป็นส่วนหนึ่งของ Thailand Biennale Chiang Rai 2023 ด้วย ส่วนในอนาคตตนหวังว่าจะได้รับการคัดเลือกจากมหาวิทยาลัยฯ ให้เป็น 1 ใน 5 ผู้ที่ทำผลงานได้ดีเพื่อจะได้พัฒนาเป็นศูนย์เรียนรู้ในการปลูกข้าวสรรพสีหรือ Tanbo Art ต่อไป


แนะนำ 7 'ท่านวด' ด้วยตัวเองบรรเทาอาการ ปวดเมื่อยช่วงเดินทางไกล

กรมการแพทย์แผนไทย แนะนำ 7 'ท่านวด' ตัวเอง บรรเทาอาการปวดเมื่อยช่วงเดินทางไกล ทำได้ง่ายๆผ่อนคลายทั้งคอ บ่า ไหล่ หลัง

กรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก แนะนำ 7 "ท่านวด" ตนเอง ช่วยบรรเทาอาการปวดเมื่อยระหว่างการเดินทางไกล ช่วงหยุดยาวเทศกาลปีใหม่ 2567

นพ.ขวัญชัย วิศิษฐานนท์ รองอธิบดีกรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก แนะนำ 7 "ท่านวด" ตนเอง ตามศาสตร์การแพทย์แผนไทย ช่วยบรรเทาอาการเหนื่อยล้าและปวดเมื่อย โดยเฉพาะอาการปวดเมื่อยบริเวณกล้ามเนื้อ คอ บ่า ไหล และ แขน ซึ่งเป็นอาการที่พบได้บ่อยจากการนั่งรถเป็นเวลานาน ๆ บางรายมีอาการปวดล้าบริเวณกระบอกตา คลื่นไส้ อาเจียน อีกด้วย

สำหรับ 7 "ท่านวด" ตนเอง ที่สามารถช่วยบรรเทาอาการปวดเมื่อย ระหว่างการเดินทางได้ด้วยการนวดตนเอง ดังนี้

ท่าที่ 1 ใช้นิ้วหัวแม่มือนวดบริเวณข้อมือด้านในและด้านนอก จะช่วย คลายกล้ามเนื้อและเส้นเอ็นรอบ ๆ ข้อมือ

ท่าที่ 2 เหยียดแขนตรงไปด้านหน้าพร้อมกับใช้มือดัดปลายนิ้วมือในลักษณะคว่ำมือและหงายมือตามลำดับจะช่วยยืดกล้ามเนื้อและเส้นเอ็นของแขน

ท่าที่ 3 ใช้นิ้วมือนิ้วชี้นิ้วกลางนิ้วนางกดนวดจากแนวกล้ามเนื้อบ่าและแนวกล้ามเนื้อต้นคอสิ้นสุดที่ฐานกะโหลกศีรษะท่านี้จะช่วยคลายกล้ามเนื้อบ่า ต้นคอทำให้เลือดไปเลี้ยงบริเวณศีรษะเพิ่มมากขึ้น ท่าที่ 1,2 และ3 ให้ทำสลับทั้งข้างซ้ายและข้างขวา

ท่าที่ 4 นำมือทั้งสองข้างประสานไว้ที่ท้ายทอยแล้วใช้นิ้วหัวแม่มือทั้งสองข้างกดนวดตามแนวกล้ามเนื้อต้นคอทั้งสองข้างพร้อมกันโดยกดนวดตั้งแต่ฐานคอขึ้นไปสิ้นสุดที่ฐานกะโหลกศีรษะ ท่านี้จะช่วยบรรเทาอาการตาพร่ามัวได้

ท่าที่ 5 ใช้นิ้วมือทั้งสองข้างนวดคลึงให้ทั่วศีรษะคล้ายการสระผมท่านี้จะช่วยกระตุ้นการไหลเวียนเลือดรอบ ๆ ศีรษะช่วยบรรเทาอาการปวดศีรษะได้

ท่าที่ 6 เป็นท่ากายบริหารฤๅษีดัดตนแก้เครียด โดยประสานมือไว้บริเวณหน้าอกดัดยืดแขนออกไปทางด้านซ้ายหน้ามองตรง ดัดออกไปทางด้านขวา ดันดออกไปทางด้านหน้า และดัดวาดแขนยืดไปด้านบน พร้อมกับโน้มเอียงตัวไปด้านซ้ายและขวาท่านี้เป็นการยืดกล้ามเนื้อบริเวณบ่า ไหล่ แขน หลัง หน้าอก และชายโครง

ท่าที่ 7 หมุนข้อไหล่โดยยกแขนหมุนไปด้านหลัง ซ้ายและขวาโดยทำทีละข้าง 5 - 10 ครั้ง จะช่วยให้กล้ามเนื้อบริเวณข้อไหล่ บ่า หน้าอก และสะบัก คลายตัวทำให้บริเวณดังกล่าวเลือดลมไหลเวียนได้ดีขึ้น โดยท่าที่ 6,7 เป็นท่าที่สามารถทำได้ขณะจอดแวะพัก