ครบเครื่อง
ญ. อมตะ



ปิดตำนาน 'ภัตตาคารลอยน้ำจัมโบ้' เคียงคู่ฮ่องกงเกือบ 50 ปี จมก้นทะเล

ชาวฮ่องกง และชาวโลกต้องใจหาย ภัตตาคารลอยน้ำ จัมโบ้ สัญลักษณ์ที่เคียงคู่ฮ่องกงมานานเกือบ 50 ปี ประสบเหตุล่ม จนจมสู่ก้นทะเลจีนใต้ ไม่ถึง 1 สัปดาห์ หลังภัตตาคารจัมโบ้ ซึ่งมีรูปทรงคล้ายพระราชวังจีนโบราณ ถูกลากจูงจากท่าเรืออะเบอร์ดีน ซึ่งเคยเป็นบ้านมายาวนานนับ 46 ปี ออกไปยังทะเลจีนใต้ ซึ่งไม่มีการเปิดเผยว่าจะเป็นที่ใด

แต่แล้ว ในขณะที่เรือลากจูงและเรือภัตตาคารลอยน้ำจัมโบ้กำลังผ่านหมู่เกาะพาราเซล ในทะเลจีนใต้ ต้องเผชิญกับสภาพอากาศเลวร้าย ทำให้น้ำเข้าเรือ จนเรือเอียง จมลงสู่ก้นทะเลจีนใต้ เมื่อ 19 มิ.ย.65 ขณะที่ลูกเรือได้รับบาดเจ็บ

ด้านบริษัทอะเบอร์ดีน เรสเตอรองค์ เอ็นเตอร์ไพรส์ บริษัทแม่ได้ ออกแถลงการณ์ว่าทางบริษัทมีความเสียใจอย่างยิ่งที่ภัตตาคารลอยน้ำจัมโบ้ได้จมสู้ก้นทะเลจีนใต้ ที่ระดับความลึกกว่า 1,000 เมตร จึงถือเป็นเรื่องยากมากที่จะกู้เรือขึ้นมาได้

การอับปางจมสู่ก้นทะเลจีนใต้ของภัตตาคารลอยน้ำจัมโบ้ ถือเป็นข่าวร้ายที่เกิดขึ้นตามมา หลังจากบริษัทเมลโค อินเตอร์เนชั่นแนล ดิเวลอปเมนต์ บริษัทเจ้าของภัตตาคารจัมโบ้ ได้ประกาศเมื่อกลาง มิ.ย. 2565 ว่า จำเป็นต้องปิดกิจการอย่างถาวร เนื่องจากประสบปัญหาขาดทุนสะสมเกินกว่า 100 ล้านดอลลาร์ฮ่องกง หลังจากไม่เคยได้กำไรเลยมาตั้งแต่ปี 2563 เนื่องมาจากวิกฤติโควิด-19 ระบาดทั่วโลก จนต้องปิดให้บริการ

ถือเป็นการปิดตำนาน ภัตตาคารลอยน้ำจัมโบ้ ที่ทำให้ชาวฮ่องกงรู้สึกใจหายเป็นอย่างยิ่ง หลังจากภัตตาคารลอยน้ำจัมโบ้ ถูกสร้างขึ้นในปี 2519 มีความยาวจากหัวเรือจรดท้ายถึง 76 เมตร และสามารถรองรับแขกได้มากถึง 2,300 คน จนกลายเป็นสัญลักษณ์ที่เคียงคู่กับฮ่องกงมายาวนานเกือบ 50 ปี โดยภัตตาคารจัมโบ้ เคยต้อนรับแขกมาแล้วกว่า 30 ล้านคน รวมถึงแขกคนสำคัญที่มีชื่อเสียงระดับโลกมากมาย ทั้งสมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 แห่งอังกฤษ และทอม ครูซ พระเอกฮอลลีวูดชื่อดัง

ที่มา : BBC


เกาหลีใต้แก้ตัวสำเร็จ ทดสอบส่งจรวดปล่อยดาวเทียมจำลองสู่วงโคจร

ความพยายามครั้งที่สองของเกาหลีใต้ประสบความสำเร็จ ในการส่งจรวดซึ่งผลิตเอง ทดสอบปล่อยดาวเทียมจำลองให้ขึ้นสู่วงโคจรโลก

สำนักข่าวต่างประเทศรายงานจากกรุงโซล ประเทศเกาหลีใต้ เมื่อวันที่ 21 มิ.ย. ว่ากระทรวงวิทยาศาสตร์และไอซีทีของเกาหลีใต้ออกแถลงการณ์ว่า จรวด “เคเอสแอลวี-ทู” หรือ “นูรี” ซึ่งมีความหมายว่า “โลก” ทะยานขึ้นจากฐานปล่อยจรวด ภายในศูนย์อวกาศนาโร ตั้งอยู่ที่เขตโกฮึง ริมชายฝั่งของของจังหวัดช็อลลาใต้ ทางตอนใต้ของประเทศ เมื่อเวลา 16.00 น. ตามเวลาท้องถิ่นของวันอังคาร (14.00 น. ตามเวลาในประเทศไทย)

หลังจากนั้นอีกประมาณ 1 ชั่วโมง กระทรวงวิทยาศาสตร์และไอซีทีของเกาหลีใต้ เผยแพร่แถลงการณ์อีกฉบับ ว่าจรวดนูรีสามารถปล่อยดาวเทียมจำลอง ซึ่งมีน้ำหนักประมาณ 1.5 ตัน ให้ไปโคจรที่ระดับความสูงประมาณ 600-800 กิโลเมตร เหนือพื้นโลก

การประสบความสำเร็จครั้งนี้ จะช่วยเพิ่มความเชื่อมั่นอีกหลายเท่าตัว ให้แก่ทุกภาคส่วนในเกาหลีใต้ ในการร่วมมีบทบาทต่อสมรภูมิ “สงครามอวกาศ” ที่หลายประเทศในทวีปเอเชียกำลังมีพัฒนาการที่เกี่ยวข้องอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะจีน เนื่องจากทั้งจรวดและดาวเทียมจำลองล้วนเป็นการผลิตเองภายในเกาหลีใต้

สำหรับการทดสอบดังกล่าวเป็นความพยายามครั้งที่สอง ต่อจากการทดสอบครั้งแรก เมื่อเดือน ต.ค. ปีที่แล้ว ซึ่งแม้จรวดสามารถทะยานขึ้นสำเร็จ แต่ยังไม่สามารถปล่อยดาวเทียมออกไปได้ อย่างไรก็ตาม ค่าเฉลี่ยความสำเร็จ “100%” ของการทดสอบจรวดครั้งแรกทั่วโลก อยู่ที่ประมาณ 30%

แม้วัตถุดังกล่าวยังไม่ใช่ของจริงความสำเร็จ แต่ความสำเร็จครั้งนี้ทำให้เกาหลีใต้เป็นประเทศที่ 7 ของโลก ซึ่งสามารถส่งจรวดปล่อยดาวเทียมที่มีน้ำหนักมากกว่า 1 ตัน ต่อจาก รัสเซีย สหรัฐ ฝรั่งเศส จีน ญี่ปุ่น และอินเดีย นอกจากนี้ เกาหลีใต้มีแผนการส่งยานสำรวจที่สร้างขึ้นเอง เดินทางไปสำรวจดวงจันทร์ ภายในปี 2573 ด้วย.

เครดิตภาพ : REUTERS


สังเกต ‘เหงื่อออกมือ’ บอกโรค

หลาย ๆ คนอาจจะเข้าใจผิดคิดว่าอาการ “เหงื่อออกมือ” อาจเป็นสัญญาณของโรคหัวใจ

คุณหมอขอบอก หลาย ๆ คนอาจจะเข้าใจผิดคิดว่าอาการ “เหงื่อออกมือ” อาจเป็นสัญญาณของโรคหัวใจ ซึ่งเป็นอาการเริ่มต้นที่เกิดขึ้น นอกเหนือจากอาการของโรคหัวใจที่พบกันอยู่เป็นประจำ คือ เหนื่อยง่าย หายใจเข้าได้ลำบาก มีอาการหอบหรือเป็นลมหมดสติโดยไม่ทราบสาเหตุ ขาหรือเท้าบวมโดยไม่ทราบสาเหตุ หรือปลายมือปลายเท้าและริมฝีปากมีลักษณะเขียวคลํ้า เหล่านี้เป็นอาการที่เกิดขึ้นและเสี่ยงที่จะเป็นโรคหัวใจ

ผศ.นพ.ศิระ เลาหทัย ศัลยแพทย์ทรวงอกผู้เชี่ยวชาญด้านผ่าตัดส่องกล้องจากคณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลวชิรพยาบาล ได้อธิบายถึงอาการของโรคหัวใจว่า ผู้ป่วยมักจะมีอาการเจ็บหรือแน่นหน้าอกและมีอาการปวดร้าวไปบริเวณคอหรือแขนซ้ายได้ ในบางรายอาจมีภาวะเหนื่อยง่าย ใจสั่น หรือเหงื่อออกร่วมด้วยได้ โดยส่วนมากมักจะเกิดขึ้นขณะที่ผู้ป่วยกำลังทำงานหรือออกกำลังกาย

แต่ในทางกลับกัน โรคเหงื่อออกที่มือนั้น (hyperhidrosis) ผู้ป่วยมักจะเป็นที่มือทั้ง 2 ข้าง และคนไทยจะป่วยเป็นโรคนี้โดยเฉลี่ย 3% ของประชากรของประเทศ คิดง่าย ๆ หากประเทศไทยมีประชากร 70 ล้านคน จะมีผู้ป่วยโรคนี้ ถึง 2.1 ล้านคน และสามารถพบได้ทั้งผู้ชายและผู้หญิงเท่า ๆ กัน โดยลักษณะของโรคนี้มักไม่มีอาการดังกล่าวร่วมด้วย อีกทั้งมักจะเป็นที่มือทั้ง 2 ข้าง ในบางรายอาจมีอาการบริเวณเท้า หรือบริเวณรักแร้ร่วมด้วยได้ ซึ่งอาการที่จะเกิดไม่สัมพันธ์ต่ออุณหภูมิ เวลา หรือการออกกำลังกาย

อย่างไรก็ตามภาวะเหงื่อออกที่มือ ต้องมีการวินิจฉัยแยกจากโรคที่มีสาเหตุ (Secondary hyperhidrosis) เช่น โรคไทรอยด์เป็นพิษ เบาหวาน ตั้งครรภ์ โรคระบบประสาทหรือรับประทานยาบางชนิด อาจมีผลทำให้เกิดภาวะเหงื่อออกที่มือได้

ผศ.นพ.ศิระ ระบุว่า ปัจจุบันการรักษาโรคเหงื่อออกที่มือนั้น มีวิธีการรักษาได้หลายแบบตั้งแต่ยารับประทาน สเปรย์ทามือหรือฉีดยา botulinum toxin อย่างไรก็ตามวิธีการรักษาที่ทำให้หายขาดที่ดีที่สุด คือการรักษาโดยการผ่าตัด (Thoracoscopic sympathectomy) ทำได้โดยการผ่าตัดส่องกล้องแผลเล็กขนาด 1 เซนติเมตร ข้างลำตัวทั้ง 2 ข้างเพื่อเข้าไปเส้นประสาทอัตโนมัติ (Sympathetic chain) บริเวณช่องซี่โครงที่ 4 และ 5 อย่างไรก็ตามการผ่าตัดอาจมีภาวะแทรกซ้อนที่เรียกว่า ภาวะเหงื่อทดแทน (Compensatory hyperhidrosis) ซึ่งพบเหงื่อทดแทนบริเวณที่ลำตัวหรือต้นขาได้

ภาวะโรคเหงื่อออกที่มือ นับว่าเป็นสัญญาณที่ผิดปกติ ที่ไม่เป็นอันตรายต่อชีวิต แต่ส่งผลทำให้คุณภาพชีวิตลดลง ผู้ป่วยท่านใดที่พบเจอแนะนำควรปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเพื่อรับการวินิจฉัยและรับการรักษาที่ตรงจุดหรือสามารถสอบถามข้อมูลได้ผ่านทางเฟซบุ๊กผ่าตัดปอด หรือ lineofficial : @lungsurgeryth หรือรับชมได้ที่ www.youtube.com ของ คณะแพทยศาสตร์ วชิรพยาบาลมหาวิทยาลัยนวมินทราธิราช.

เขียนโดย : อภิวรรณ เสาเวียง...


ตะลึง! เสฉวนพบหลุมศพกว่าพันหลุม พร้อมวัตถุโบราณอีก 5 พันชิ้น

วันที่ 21 มิถุนายน 2565 ตะลึง! เสฉวนพบหลุมศพกว่าพันหลุม พร้อมวัตถุโบราณอีก 5 พันชิ้น

สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า คณะนักโบราณคดีเปิดเผยการค้นพบหลุมศพจากยุคปลายราชวงศ์ซาง (1600-1046 ปีก่อนคริสต์ศักราช) จนถึงยุคต้นราชวงศ์ฮั่นตะวันตก (202 ปีก่อนคริสต์ศักราช-ปี 25) มากกว่า 1,100 หลุม ในอำเภอเหยียนหยวน มณฑลซื่อชวน (เสฉวน) ทางตะวันตกเฉียงใต้ของจีน

สถาบันวิจัยโบราณวัตถุทางวัฒนธรรมและโบราณคดีนครเฉิงตู เมืองเอกของซื่อชวน ระบุว่า มีการค้นพบโบราณวัตถุกว่า 5,000 ชิ้น อาทิ เครื่องปั้นดินเผา เครื่องสัมฤทธิ์ เครื่องเหล็ก เครื่องทอง และเครื่องเงินจากซากเหล่าหลงโถว นับตั้งแต่เริ่มขุดค้นเมื่อเดือนเมษายน 2020

คณะนักโบราณคดีกล่าวว่า เครื่องปั้นดินเผาส่วนใหญ่เป็นโถมีหูจับ โดยจุดเด่นการค้นพบในหมู่เครื่องสัมฤทธิ์ ได้แก่ ชุดอุปกรณ์สิ่งทอสภาพดี รถม้าสัมฤทธิ์ 3 ล้อ ซึ่งเชื่อว่าเป็นหนึ่งในรูปแบบเก่าแก่ที่สุดในจีน และเครื่องสัมฤทธิ์ลักษณะคล้ายกิ่งก้านยื่นออก ที่สะท้อนความเชื่อและการบูชาอันเป็นเอกลักษณ์ในท้องถิ่น

โจวจื้อชิง รองหัวหน้าสถาบันฯเผยว่า การขุดค้นครั้งนี้สลักสำคัญยิ่งต่อการศึกษาพัฒนาการของวัฒนธรรมสัมฤทธิ์ในภาคตะวันตกเฉียงใต้ของมณฑลซื่อชวน รวมถึงภาคตะวันตกของมณฑลอวิ๋นหนาน (ยูนนาน) ทั้งเป็นหลักฐานการแลกเปลี่ยนระหว่างบรรดากลุ่มชาติพันธุ์ในแถบตะวันตกเฉียงใต้ของจีน


จีนยกระดับเตือนภัยน้ำท่วม เหตุระดับน้ำเพิ่มสูงเป็นประวัติการณ์

วันที่ 21 มิถุนายน 2565:สำนักข่าวรอยเตอร์อ้างสื่อทางการรายงานว่า สองมณฑลทางตอนใต้ของประเทศจีน ได้ยกระดับเตือนภัยน้ำท่วมในวันอังคาร (21 มิ.ย.) นี้ เนื่องจากน้ำในแม่น้ำเอ่อล้นตลิ่งและระดับน้ำยังเพิ่มสูงเป็นประวัติการณ์ หลังจากที่มีฝนตกหนักต่อเนื่องมาหลายสัปดาห์ ซึ่งส่งผลกระทบต่อประชาชนจำนวนมากในพื้นที่ประสบภัยต้องอพยพออกจากบ้านเรือน

สถานีโทรทัศน์ทางการรายงานว่า ที่เมือง Shaoguan ในมณฑลกวางตุ้ง มีปริมาณน้ำฝนเฉลี่ยตั้งแต่ปลายเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมาสูงเป็นประวัติการณ์ ทำให้มีการยกระดับการแจ้งเตือนน้ำท่วมเป็นระดับ 1 ซึ่งเป็นระดับเตือนภัยสูงสุด ทางการยังร้องขอให้ประชาชนที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ตามริมฝั่งแม่น้ำและพื้นที่ราบต่ำ ย้ายไปอยู่ที่สูง หลังจากเผชิญน้ำท่วมสูงในรอบ 50 ปี

นอกจากนี้ ระดับน้ำในแม่น้ำเป่ยเจียงของมณฑลกวางตุ้งก็เพิ่มสูงขึ้นมากกว่าระดับเตือนภัยที่สูงกว่าสถิติในปี 1994 และที่เมืองฉิงหยวนของมณฑลกวางตุ้งยังได้ยกระดับเตือนน้ำท่วมสู่ระดับสูงสุดเช่นกันในช่วงบ่ายวันเดียวกันนี้ เนื่องจากระดับน้ำที่เพิ่มสูงขึ้น

ส่วนที่มณฑลเจียงซี ทางการได้ยกระดับเตือนภัยสีแดง หลังจากประชาชนราว 485,000 คน ใน 9 เขต ได้รับผลกระทบจากเหตุน้ำท่วม จากการรายงานของสำนักข่าวซินหัว ที่ระบุด้วยว่าความเสียหายทางเศรษฐกิจจากภัยธรรมชาติครั้งนี้มีสูงถึง 470 ล้านหยวน (ราว 2,480 ล้านบาท) แล้ว และทำลายพืชผลการเกษตรไปแล้วคิดเป็นพื้นที่มากถึง 43,300 เฮกตาร์


อาหารผู้สูงอายุ

อาหารผู้สูงอายุ เป็นสิ่งสำคัญที่เราต้องใส่ใจ เพราะเมื่ออายุมากขึ้น โดยเฉพาะเมื่ออายุ 60 ปีขึ้นไป ระบบต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับการรับประทานอาหารก็จะเสื่อม ผู้สูงอายุต้องการพลังงานและสารอาหารที่ดีครบทั้ง 5 หมู่ อย่างเพียงพอและเหมาะสมกับความต้องการของร่างกาย ดังนี้

โปรตีน (เนื้อสัตว์ ไข่ นม ถั่ว)

ผู้สูงอายุมีความต้องการโปรตีนมากขึ้น เนื่องจากผู้สูงอายุมีกล้ามเนื้อที่น้อยลง และกระบวนการสร้างกล้ามเนื้อจะต้องใช้ปริมาณโปรตีนที่มากขึ้นเพื่อการซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ และเสริมสร้างภูมิคุ้มกัน ดังนี้

ผู้สูงอายุต้องการโปรตีนปริมาณ 1.2 กรัมต่อวัน ต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม หรือ ถ้าเป็นเนื้อสัตว์ ประมาณ 4 ช้อนโต๊ะต่อมื้อ

ไข่ ถือเป็นโปรตีนที่ดี ผู้สูงอายุที่ไม่มีโรคเรื้อรังสามารถทานไข่ได้ทุกวัน วันละ 1 ฟอง แต่ถ้ามีโรคเบาหวาน ความดันโลหิต โรคหัวใจ หรือภาวะไขมันในเลือดสูง แนะนำให้รับประทานไข่ 3 ฟองต่อสัปดาห์ และควรเป็นไข่ต้มจะดีที่สุด

นม ถือเป็นแหล่งโปรตีนและแคลเซียมที่จำเป็นสำหรับผู้สูงอายุ แต่ควรเลือกนมที่เหมาะสม คือ นมจืด นมพร่องมันเนย และนมไขมันต่ำ 0%แต่ถ้าผู้สูงอายุไม่สามารถดื่มนมได้ สามารถเปลี่ยนเป็นโยเกิร์ตไขมันต่ำ ไม่มีน้ำตาล หรือนมถั่วเหลืองที่เสริมแคลเซียม ปริมาณ 1-2 แก้วต่อวัน

ถั่วเมล็ดแห้ง เต้าหู้ จุลินทรีย์ เช่น ยีสต์ สาหร่าย เห็ด หนอน แมลงที่กินได้

เนื่องจากอายุที่มากขึ้น ระบบย่อยอาหาร โดยเฉพาะการย่อยโปรตีนจะทำงานได้แย่ลง ดังนั้นการเลือกชนิดโปรตีนที่ย่อยง่าย และไขมันต่ำ จะเป็นโปรตีนที่เหมาะสมกับผู้สูงอายุ เช่น เนื้อสัตว์ไม่ติดหนังและไม่ติดมัน ปลา ไข่ เต้าหู้

คาร์โบไฮเดรต (ข้าว แป้ง น้ำตาล เผือก มัน)

ผู้สูงอายุต้องการพลังงานเพียง 1,400-1,600 แคลอรี่ต่อวัน ถ้าเทียบเป็นปริมาณข้าวจะประมาณ 2-3 ทัพพีต่อมื้อ ควรเลือกทาน ข้าวกล้อง เผือก ข้าวโพด มัน ขนมปังโฮลวีท เพื่อควบคุมระดับน้ำตาล และควรเลี่ยงคาร์โบไฮเดรตที่มีน้ำตาลสูง เช่น ข้าวขาว ข้าวเหนียว ขนมปังขาว มันฝรั่ง รวมถึงผลไม้บางชนิดที่มีดัชนีน้ำตาลสูง เช่น แตงโม มะขาวหวาน ทุเรียน และขนุน

ไขมัน (ไขมันจากพืชและสัตว์)

ผู้สูงอายุสามารถรับประทานไขมันได้ แต่ต้องรับประทานในปริมาณที่เหมาะสม ซึ่งไม่ควรบริโภคน้ำมันเกิน 6 ช้อนชาต่อวัน หรือประมาณมื้อละ 2 ช้อนชา ควรเลือกไขมันดีที่ได้จากสัตว์ เช่น ปลาแซลม่อล ปลาทูน่า ปลาแมกเคอเรล ปลาจาระเม็ด ประกระพง ปลานิลหรือปลาช่อน กลุ่มปลาเหล่านี้จะให้กรดไขมันโอเมกา-3 ซึ่งกรดไขมันนี้จะช่วยต้านการอักเสบ ลดระดับไตรกลีเซอไรด์ในเลือด ซึ่งจะช่วยป้องกันโรคหัวใจและหลอดเลือดได้

ไขมันจากพืช เช่น ไขมันที่มาจากอะโวคาโด น้ำมันมะกอก น้ำมันรำข้าว น้ำมันคาโนลา น้ำมันเมล็ดชา รวมถึงไขมันจากถั่วเปลือกแข็งต่างๆ เช่น ถั่วลิสง จะให้กรดไขมันโอเมกา-9 ซึ่งสามารถช่วยลดระดับ LDL คอเลสเตอรอล ที่เกิดขึ้นในหลอดเลือดได้ ไขมัน ถือเป็นสารอาหารที่สำคัญกับผู้สูงอายุ และในทุกๆ วัย เพราะไขมันมีส่วนสำคัญในการสร้างเยื่อหุ้มเซลล์ประสาท และช่วยละลายวิตามินเอ วิตามินดี วิตามินอี และวิตามินเค

ผัก ผู้สูงอายุควรรับประทานผักประมาณ 4 ทัพพีต่อวัน เพราะผักเป็นอาหารที่อุดมด้วยวิตามินและแร่ธาตุ

สำหรับผู้สูงอายุที่มีปัญหาเรื่องท้องอืด ท้องเฟ้อ อาาหารไม่ย่อย ควรนำผักไปลวกหรือทำให้สุกก่อนรับประทาน เช่น บล๊อกโคลี่ ดอกกะหล่ำ เพื่อลดการเกิดแก๊สในกระเพาะอาหาร

ผลไม้ ผลไม้สามารถทานได้ทุกมื้อ ประมาณ 6 – 8 ชิ้นคำต่อมื้อ ทำให้ได้รับใยอาหารที่มีแร่ธาตุที่เหมาะสม และปริมาณน้ำตาลไม่มากเกินไปควรเลือกรับประทานผลไม้สด หลีกเลี่ยงการรับประทานน้ำผลไม้ ไม่ว่าจะเป็นน้ำผลไม้ที่สกัดแยกกาก หรือไม่แยกก็ตาม เพราะการทานน้ำผลไม้ จะทำให้เราได้รับประมาณน้ำตาลที่มากเกินไป

อาหารที่ควรเลี่ยง ควรเลี่ยงอาหารที่ให้พลังงานสูงแต่มีสารอาหารต่ำ เนื่องจากร่างกายของผู้สูงอายุมีการเผาผลาญลดลง เช่น ของทอด ขนมหวาน เครื่องดื่มที่มีรสชาติหวาน ข้าวขาว ข้าวเหนียว ทุเรียน ฟาสต์ฟู๊ด อาหารเหล่านี้ควรรับประทานเป็นครั้งคราวเท่านั้น อาหารเค็ม เช่น ปูเค็ม ปลาเค็ม ผักดอง สำหรับผู้ที่มีอายุมากกว่า 50 ปีขึ้นไป ไม่ควรทานโซเดียมเกิน 1,500 มิลลิกรัมต่อวัน หรือ 2/3 ช้อนชา