สำรวจสัญญาณเตือนก่อนเกิดแผ่นดินไหว ซึ่งเป็นปรากฏการณ์ทางธรรมชาติที่เราควรใส่ใจและเตรียมพร้อมรับมือ จะมีสัญญาณใดบอกเหตุบ้าง
จากเหตุการณ์ในช่วงบ่ายวันศุกร์ที่ 28 มีนาคม 2568 ที่เกิดเหตุแผ่นดินไหวขนาด 7.7 ลึก 10 กม. ที่เมียนมา ทำให้คนไทยรับรู้ถึงแรงสั่นสะเทือนได้หลายจังหวัดในประเทศไทย โดยเฉพาะในพื้นที่ตึกสูงของกรุงเทพมหานคร นำมาซึ่งความรู้สึกโยกเยก โคลงเคลง และเริ่มมีการรีบอพยพ เคลื่อนย้ายลงมาจากตึกเพื่อเฝ้าระวัง อย่างไรก็ตามยังมีสิ่งให้สังเกตการณ์ได้จากธรรมชาติ ที่ถ้าพบเห็นความผิดปกติแปลก สิ่งเหล่านี้อาจเป็นสัญญาณเตือนก่อนเกิดแผ่นดินไหวได้เช่นกัน
แม้ว่าเราจะไม่สามารถทำนายการเกิดแผ่นดินไหวได้อย่างแม่นยำ แต่ก็มีสัญญาณเตือนบางอย่างที่อาจบ่งบอกถึงความเสี่ยงที่จะเกิดแผ่นดินไหวได้
สัญญาณทางธรรมชาติ
ลำดับแรกที่มักพบเห็น คือ “พฤติกรรมของสัตว์แปลกประหลาดไป” ซึ่งสัตว์หลายชนิดมีประสาทสัมผัสที่ไวต่อการเปลี่ยนแปลงของธรรมชาติ ก่อนเกิดแผ่นดินไหว อาจสังเกตเห็นสัตว์เลี้ยง เช่น สุนัข แมว หรือสัตว์ป่า แสดงอาการตื่นตระหนก กระวนกระวาย หรือพยายามหลบหนี หรือแม้แต่นกบนฟากฟ้าที่มีการเคลื่อนที่ที่แปลกไป ส่งเสียงร้องดัง ก็เป็นอีกหนึ่งสัญญาณที่ต้องพึงระวัง
อีกสิ่งหนึ่งที่สังเกตได้ คือ “ระดับน้ำ” ในบ่อน้ำหรือแหล่งน้ำใต้ดินอาจเปลี่ยนแปลงไปอย่างผิดปกติ เช่น น้ำจากฝั่งทะเลลดลงอย่างผิดปกติ น้ำขุ่นขึ้น มีฟองอากาศ หรือมีกลิ่นเหม็น รวมการเปลี่ยนแปลงของก๊าซเรดอน ก๊าซกัมมันตรังสีที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติ ก่อนเกิดแผ่นดินไหว อาจมีการเพิ่มขึ้นของก๊าซเรดอนในดินหรือน้ำใต้ดิน “แสงประหลาดบนท้องฟ้า” ในบางครั้งอาจมีรายงานการเห็นแสงประหลาดบนท้องฟ้าก่อนเกิดแผ่นดินไหว ซึ่งอาจเกิดจากการปลดปล่อยพลังงานจากเปลือกโลกก็สามารถเกิดขึ้นได้เช่นกัน
สัญญาณทางกายภาพ
บางครั้งก่อนเกิดแผ่นดินไหว อาจมีการเกิดแผ่นดินไหวขนาดเล็ก (แรงสั่นสะเทือนเบา ๆ) หลายครั้งติดต่อกัน อาจเป็นสัญญาณเตือนของการเกิดแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ได้ รวมถึงการเปลี่ยนแปลงของพื้นดินที่มีการยกตัวขึ้น ยุบตัว หรือเกิดรอยแตกแยก รวมถึงเสียงดังจากใต้ดิน อาจมีเสียงดังคล้ายเสียงระเบิด เสียงคำราม หรือเสียงวัตถุขนาดใหญ่เคลื่อนที่มาจากใต้ดิน
แม้ว่าสัญญาณเตือนเหล่านี้จะไม่สามารถรับประกันการเกิดแผ่นดินไหวได้ 100% แต่การสังเกตและใส่ใจกับสัญญาณเหล่านี้อาจช่วยให้เรามีเวลาเตรียมตัวและลดความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นได้
อย่างไรก็ตามควรติดตามข่าวสารจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการเตือนภัยแผ่นดินไหวอย่างใกล้ชิดควบคู่ไปด้วย รวมถึงจัดทำแผนฉุกเฉินสำหรับครอบครัว รวมถึงจุดนัดพบ เส้นทางอพยพ และสิ่งของจำเป็นไว้ก่อนเนิ่น ๆ ล่วงหน้า
รวมถึงจัดเตรียมชุดอุปกรณ์ฉุกเฉินที่ประกอบด้วย น้ำดื่ม อาหารแห้ง ไฟฉาย ยา และสิ่งของจำเป็นอื่น ๆ พร้อมเรียนรู้เทคนิคการเอาตัวรอดเมื่อเกิดแผ่นดินไหว เช่น การหลบใต้โต๊ะที่แข็งแรง หรือการออกจากอาคารไปยังที่โล่งแจ้ง
การเตรียมพร้อมรับมือกับแผ่นดินไหวเป็นสิ่งสำคัญ เพื่อลดความเสี่ยงและความเสียหายที่อาจเกิดขึ้น หากคุณอยู่ในพื้นที่เสี่ยงต่อการเกิดแผ่นดินไหว ควรศึกษาข้อมูลและเตรียมพร้อมรับมืออย่างสม่ำเสมอ
"ผศ.ดร.ธรณ์ ธำรงนาวาสวัสดิ์" อาจารย์ประจำภาควิชาวิทยาศาสตร์ทางทะเล คณะประมง มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ โพสต์ภาพปลาที่นอนแนบพื้นทะเลตามสัญชาตญาณ หลังจากรับแรงสั่นสะเทือนใต้น้ำจากเหตุแผ่นดินไหว ระบุ ปลารู้ก่อนแป๊บเดียวเท่านั้น ที่บอกกันว่าสัตว์เตือนภัยได้ ก็คือสัตว์รู้ก่อนคน แต่ไม่ใช่นาน ๆ
เมื่อวันที่ 29 มี.ค. “ผศ.ดร.ธรณ์ ธำรงนาวาสวัสดิ์” อาจารย์ประจำภาควิชาวิทยาศาสตร์ทางทะเล คณะประมง มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ โพสต์เฟซบุ๊กให้ความรู้เกี่ยวกับ การเตือนของปลาก่อนเหตุแผ่นดินไหว ว่า “…ปลารู้ไหมว่าแผ่นดินไหว ถ้ารู้แล้วทำไง? เพื่อนธรณ์ไปดำน้ำที่สิมิลันช่วงนั้นพอดี จึงเจอปรากฏการณ์สุดแปลกที่แทบไม่มีรายงานมาก่อน ในช่วงแผ่นดินไหว ปลาในแนวปะการังต่างพากันลงไปนอนนิ่งกับพื้น!
ลองดูภาพนะครับ ถ้าเป็นปลาตัวเดียวทำอาจไม่แปลกอะไร แต่ที่เจอคือปลาหลายตัวล้วนทำเช่นนั้น ลงไปนอนแนบกับพื้นทันที ที่เห็นชัดคือฝูงปลา ปกติตอนกลางวันจะว่ายอยู่ในมวลน้ำ จะไม่ลงไปนอนติดพื้นพร้อมกันทั้งฝูง ต่อให้เป็นกลางคืนปลานอน ปลาก็แยกกันนอน ไม่รวมฝูงนอนแบบนี้ ปลารู้ว่ามีแผ่นดินไหวเกิดขึ้น เพราะปลารับแรงสั่นสะเทือนใต้น้ำได้ดีมาก จากนั้นคงเป็นสัญชาตญาณ ทำให้ปลาลงไปนอนแนบพื้น เพาาะอาจเกิดกระแสน้ำปั่นป่วนหรือแม้กระทั่งสึนามิตามมา
การนอนแนบพื้นของปลาก็เหมือนเวลาเราหลบภัยต้องหมอบราบกับพื้น หากลอยอยู่กลางน้ำมีความเสี่ยงที่จะโดนกระแสน้ำหรือคลื่นพัดพาไป เพื่อนธรณ์ที่เป็นอาสาสมัครบินโดรนเฝ้าพะยูนก็รายงานว่า ช่วงแผ่นดินไหว พะยูนก็ตื่นตกใจเผ่นพรวดหนีไปจากที่ตื้น เพื่อว่ายหนีไปที่ลึกตามหลักการหลบสึนามิ
พะยูนไวมากครับ ตอนที่เกิดสึนามิ จึงไม่มีข่าวพะยูนโดนคลื่นพัดมาเกยฝั่ง (เท่าที่ทราบ) ทั้งที่บางแห่งเป็นบริเวณที่พะยูนอาศัย เช่น กระบี่ จะมีก็แค่โลมาที่เขาหลัก ลอยตามคลื่นมาติดค้างในอ่างเก็บน้ำแถวนั้น แต่คลื่นที่เขาหลักแรงมาก จนโลมาอาจไม่คาดคิด แม้แผ่นดินไหวเมื่อวานไม่ได้เกิดในทะเล ไม่เกิดสึนามิ แต่แรงสั่นสะเทือนก็เกิดในทะเลเช่นกัน เพราะพื้นท้องทะเลก็ไหวเหมือนแผ่นดินครับ ปลาหรือพะยูนคงบอกไม่ได้ว่า แผ่นดินไหวในทะเลหรือบนบก เมื่อรับรู้ว่ามีแผ่นดินไหว ปลาหลบไว้ก่อน
แล้วปลารู้ล่วงหน้าได้ไหม? พยากรณ์แผ่นดินไหวได้ไหม? เมื่อแผ่นดินไหวเกิดขึ้น จะเกิดคลื่นแรงสั่นสะเทือนหลายแบบ บางคลื่นเบาแต่เร็วกว่า ปลาอาจรับรู้คลื่นพวกนี้ขณะที่มนุษย์ไม่รู้สึก จากนั้นคลื่นแรงสั่นสะเทือนแบบแรงๆ จะตามมา คราวนี้เรารู้สึกแล้วครับ ทว่า ต่อให้รู้คลื่นล่วงหน้า ปลาก็ไม่มีทางบอกก่อนได้เป็นชั่วโมงๆ เพราะปลารู้ก่อนแป๊บเดียวเท่านั้น ที่บอกกันว่าสัตว์เตือนภัยได้ ก็คือสัตว์รู้ก่อนคน แต่ไม่ใช่นานๆ
ขอบคุณเพื่อนธรณ์ที่ส่งภาพมาให้ ถือเป็นหนแรกของไทยที่มีหลักฐานให้ดูกันชัดๆ ว่าปลาทำยังไงเมื่อแผ่นดินไหว อันที่จริง ในต่างประเทศก็แทบไม่มีภาพชัดเจนแบบนี้ครับ…”
ขอบคุณภาพและข้อมูลจาก Thon Thamrongnawasawat...
เมื่อวันที่ 27 มี.ค. “โบว์ เมลดา” สวยตะลึง จนต่างชาติถึงกับชื่นชมว่า นี่สิคือสโนว์ไวท์ของจริง ซึ่งภาพของเธอถูกแชร์จนกลายเป็นไวรัลในโลกออนไลน์
อย่างเพจดัง Watchman ซึ่งเป็นเพจเกี่ยวกับคนรักหนัง ได้โพสต์ข้อความและแชร์ลิงก์ของต่างประเทศ La Cinestación พร้อมกับระบุว่า Ella es Maylada Susri, actriz y cantante que hace la voz de #Blancanieves para Tailandia, en la premiere de la película. หรือแปลเป็นภาษาไทย ว่า
รอบเปิดตัวของสโนว์ไวท์ ในประเทศไทย ของเมลดา นักแสดง นักร้อง และผู้ให้เสียงพากย์ภาษาไทย
ซึ่งหลังจากที่ได้มีการโพสต์ข้อความดังกล่าวออกไป ได้มีโลกออนไลน์ซึ่งเป็นชาวต่างชาติ เข้ามากดไลก์รัวๆ พร้อมกับระบุว่า สวยกว่าสโนว์ไวท์ และแม่มด และเธอก็น่ารักมาก
ขณะที่ Watchman ซึ่งเป็นเพจของคนรักหนัง ได้โพสต์ข้อความระบุว่า
คุณโบว์-เมลดา ล่าสุดดังไปถึงต่างประเทศแล้วครับ จากลุคในงานพรีเมียร์กับในฐานะที่เป็นคนให้เสียง Snow White ฉบับไทย หลังจากเพจต่างชาติโพสต์รูปนี้ ก็มีคอมเมนต์ชมรัวๆ เลย และกดไลก์กดแชร์เยอะมาก
อันนี้ผมแปลมาให้จาก top comment (จากที่เฟซบุ๊กแปลจากภาษาละตินอีกที)
เธอคือสโนว์ไวท์
เป็นคนเอเชียแต่ดูเหมือนต้นฉบับมาก
ถ้าเธอได้เป็นสโนว์ไวท์จริงๆ คงจะเพอร์เฟกต์เลย
น่าลองให้โอกาสเธอนะ
สโนว์ไวท์ที่ดี
Thai Jennifer Lawrence
สวยมาก เธอเหมาะกับตัวละครนี้เลย
คอสตูมดีกว่าในหนัง
เหมือนคนเดียวกับในการ์ตูนเลย
โบว์ เมลดา เป็นนักแสดงและนักร้องที่สวย มีความสามารถจริงๆ!!
แปะลิงก์ไว้ให้ตามไปอ่านในคอมเมนต์นะครับ
มีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ในแง่ลบดังกระหึ่มทีเดียว สำหรับภาพยนตร์เรื่อง Snow White (สโนว์ไวท์) ฉบับไลฟ์แอ๊คชั่นมิวสิคัล ที่ทาง Walt Disney Studios เปิดเผยรายชื่อนักแสดงผู้รับบทเจ้าหญิงสโนว์ไวท์อย่าง ‘ราเชล เซเกลอร์’ (Rachel Zegler) ที่เสียงวิจารณ์ระบุว่า นักแสดงนำ มีรูปลักษณ์ที่ขัดแย้งกับเจ้าหญิงสโนว์ไวท์ ที่เธอมีผิวขาวราวหิมะ ทำให้แฟนคลับออกอาการผิดหวัง
แผ่นดินไหว เป็นวิบัติภัยธรรมชาติที่ไม่อาจคาดการณ์ได้ ไม่สามารถคาดเดาล่วงหน้าได้ว่า จะเกิดขึ้นเมื่อใด เท่าที่มนุษย์ทำได้ก็คือ เตรียมความพร้อมให้พร้อมที่จะรับมือกับโศกนาฏกรรมนี้ไว้ตลอดเวลา เช่น ทำให้สิ่งปลูกสร้างทั้งหลายมีขีดความสามารถเพียงพอที่จะทานรับได้ เป็นต้น
แผ่นดินไหวขนาด 8.2 แมกนิจูด ที่เกิดขึ้นเมื่อ 28 มีนาคมที่ผ่านมา ถือเป็นโศกนาฏกรรมครั้งใหญ่ทั้งสำหรับเมียนมาและไทย จุดศูนย์กลางของแผ่นดินไหวครั้งนี้ตามข้อมูลของสำนักงานสำรวจทางธรณีวิทยาของสหรัฐอเมริกา (ยูเอสจีเอส) อยู่ห่างออกไปจากเมืองมัณฑะเลย์ เมืองใหญ่อันดับ 2 ของเมียนมาเพียงแค่ 17.2 กิโลเมตรเท่านั้น
นักวิชาการด้านธรณีวิทยาและแผ่นดินไหวรู้ดีว่าเมียนมามีแนวของรอยเลื่อนแผ่นดินไหวผ่ากลางประเทศอยู่ เรียกว่ารอยเลื่อนสะกาย เป็นรอยเลื่อนมีพลัง เคลื่อนไหวอยู่โดยตลอด และขึ้นชื่อว่าเป็นรอยเลื่อนแผ่นดินไหวที่ร้ายกาจรุนแรงเป็นอันดับต้นๆ ของโลก รอยเลื่อนสะกายนี่เองที่เป็นที่มาของเหตุวิบัติภัยทั้งในเมียนมาและไทยในครั้งนี้
คำว่า “รอยเลื่อน” เป็นศัพท์เฉพาะทางธรณีวิทยา ซึ่งหากพูดเป็นภาษาชาวบ้านก็สามารถเรียกได้ว่า คือแนวปริแยกออกจากกันของแผ่นเปลือกโลก รอยแตกที่ว่านี้เกิดจากการที่แผ่นเปลือกโลกแผ่นใหญ่ ซึ่งในกรณีนี้คือแผ่นออสเตรเลียน ถูกแรงผลักจากหลายทิศทางจนส่วนหนึ่งซึ่งเล็กกว่าปริแตกออกไป กลายเป็นแผ่นเปลือกโลกขนาดเล็กกว่าที่เรียกว่าแผ่นซุนดา บริเวณที่เปลือกโลกทั้งสองแผ่นแยกออกจากกันนี่เองคือ รอยเลื่อนสะกาย ที่มีความยาวจากเหนือไปจนแทบจะถึงนครย่างกุ้ง รวมเป็นระยะทางถึง 1,200 กิโลเมตร
แรงผลักในธรรมชาติยังคงกระทำต่อแผ่นเปลือกโลกทั้งสองอยู่โดยตลอด ในทิศทางที่ตรงกันข้ามกัน กล่าวคือ แผ่นอินเดียนถูกผลักให้ไหลเลื่อนขึ้นเหนือไป ในขณะที่แผ่นซุนดาถูกผลักลงสู่ด้านใต้ ระดับความเร็วนั้นไม่มาก แต่เต็มไปด้วยพลัง จนทำให้แผ่นเปลือกโลกเคลื่อนไปในทิศทางตรงกันข้ามกันปีละ 49 มิลลิเมตร
แผ่นดินไหวจะเกิดขึ้นเมื่อบริเวณรอยเลื่อนมีจุดติดขัด ไม่เคลื่อนไปตามแรงผลัก ทำให้เกิดการสะสมพลังขึ้นตรงจุดนั้น ยิ่งนาน แรงสะสมยิ่งมาก เมื่อมากพอที่จะดันจนจุดที่ติดขัดหลุดออกจากกันก็จะเกิดการเคลื่อนตัวของแผ่นเปลือกโลกอย่างรุนแรงและฉับพลัน ซึ่งก็คือการเกิดแผ่นดินไหวนั่นเอง นักธรณีวิทยาเรียกแผ่นดินไหวชนิดนี้ว่า เป็นแผ่นดินไหวชนิด “สลิป-สไตรค์” ครับ
แผ่นดินไหวที่เกิดขึ้นครั้งนี้ยิ่งซ้ำร้ายหนักข้อขึ้นไปอีก ด้วยเหตุที่ว่า จุดที่ติดขัดที่เป็นจุดสะสมพลังนั้นดันอยู่ใต้ผิวดินลงไปเพียงเล็กน้อย คือลึกลงไปเพียง 10 กิโลเมตรเท่านั้นเอง ต่างจากกรณีทั่วไปที่แผ่นดินไหวในขนาดใหญ่ระดับนี้ความลึกของจุดติดขัด หรือที่เรียกอย่างเป็นทางการว่า จุดศูนย์กลางของแผ่นดินไหว มักจะอยู่ลึกลงไปราว 30 กิโลเมตรหรือมากกว่านั้น
ความลึกมากหรือน้อยมีผลแตกต่างกัน ยิ่งจุดศูนย์กลางแผ่นดินไหวอยู่ตื้นมากเท่าใด พลังที่ถูกปลดปล่อยออกมาจะถ่ายทอดถึงสิ่งปลูกสร้างบริเวณผิวดินมากยิ่งขึ้นเท่านั้น นี่คือเหตุผลที่ว่า ทำไมนักวิชาการบางรายถึงเชื่อว่านี่เป็นเหตุแผ่นดินไหวร้ายแรงที่สุดในรอบกว่า 70 ปีของเมียนมา เมื่อขนาดของแผ่นดินบวกรวมเข้ากับความตื้นของจุดเกิดเหตุนั่นเอง
ยูเอสจีเอสประเมินเอาไว้ว่า ที่ระดับความรุนแรงขนาดนี้ผสมกับความตื้นขนาดนี้ แถมยังเกิดใกล้กับบริเวณที่มีประชากรหนาแน่น เมื่อพลังมหาศาลถูกปลดปล่อยออกมา นอกจากจะทำให้สิ่งปลูกสร้างเสียหายอย่างหนักแล้ว ยังมีความเป็นไปได้ที่จะก่อให้เกิดการสูญเสียชีวิตมากถึงระหว่าง 10,000-100,000 คนเลยทีเดียว
อิทธิพลของแผ่นดินไหวครั้งนี้ส่งผลไปถึงมณฑลยูนนาน ทางตอนใต้ของจีน รวมทั้งส่งอิทธิพลต่อไทย ทำให้อาคารสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินที่ยังสร้างไม่แล้วเสร็จถล่มลงมาทั้งหลัง ทั้งที่อยู่ห่างจากจุดศูนย์กลางแผ่นดินไหวไม่น้อยกว่า 1,000 กิโลเมตร
โศกนาฏกรรมที่ไม่คาดฝันเช่นนี้เกิดขึ้นได้เสมอ และยังอาจเกิดขึ้นต่อไปได้อีกในอนาคต ดังนั้น สิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องก็คือ ศึกษาข้อเท็จจริงให้กระจ่างถ่องแท้ เพื่อสรุปเป็นบทเรียนไว้รับมือกับเหตุไม่คาดฝันครั้งต่อไปในอนาคตครับ
ไพรัตน์ พงศ์พานิชย์...
กรมทรัพยากรธรณี เปิดสาเหตุ น้ำพุร้อนกลายเป็นสีแดง หลังแผ่นดินไหว
น้ำพุร้อนกลายเป็นสีแดง – จากกรณีเมื่อวันที่ 28 มีนาคม ที่เกิดแผ่นดินไหวจุดศูนย์กลางเมียนมา และส่งผลกระทบไทยนั้น มีรายงานว่าที่น้ำพุร้อน บ้านแม่กาษา ตำบลแม่กาษา อ.แม่สอด จ.ตาก มีน้ำทะลักออกมาระหว่างเกิดแผ่นดินไหว ทำให้จุดที่มีน้ำร้อนพุ่งออกมาเป็นสีแดง จากเดิมที่เป็นสีขาวขุ่นนั้น
ล่าสุด กรมทรัพยากรธรณี ได้อ้างอิงข้อมูลจาก ดร.พบพร เศรษฐพฤกษา ผู้อำนวยการสำนักทรัพยากรน้ำบาดาล เขต 1 (ลำปาง) ถึงสาเหตุว่า ทำไมแผ่นดินไหวแล้ว น้ำพุร้อน เปลี่ยนเป็นสีสนิม หรือสีอื่นๆ
“พุน้ำร้อนหรือน้ำพุร้อน โดยมากคือชั้นน้ำใต้ดินที่ไหลเวียนอยู่ใต้ผิวดิน และบางจุดได้รับความร้อนจากใต้พิภพ เมื่อมีรอยแตกถึงผิวดิน น้ำถึงพุออกมาเป็นแหล่งพุน้ำร้อน เมื่อแผ่นดินไหวเกิดขึ้น ตะกอนสนิมเหล็ก ตะกอนดิน และอื่นๆ ที่ตกตะกอนตามทางน้ำใต้ดินถูกรบกวนให้ฟุ้งขึ้นมาปนกับน้ำ น้ำร้อนที่พุขึ้นมาสู่ผิวดินจึงสามารถเปลี่ยนสีได้ตามตะกอนที่ปนอยู่ แต่เมื่อเหตุการณ์สงบ ตะกอนจะกลับตกตะกอนจากน้ำ ทำให้น้ำกลับใสเหมือนเดิม
กรณีอื่นๆ จากแผ่นดินไหว คือ ชั้นน้ำใต้ดินเปลี่ยนทิศทาง มีผลทำให้แหล่งน้ำพุนั้นหยุดไหล หายไปตลอดกาล เหตุการณ์น้ำเปลี่ยนสีและน้ำหยุดไหลแบบนี้สามารถเกิดขึ้นกับบ่อน้ำบาดาลได้เช่นกัน”...