ครบเครื่อง
ญ. อมตะ



"อ.เจษฎ์" โต้ปมงด "กินเห็ด" เพราะไม่ดีต่อสุขภาพ ย้ำกินได้ไม่ต้องกลัวมะเร็ง

"อาจารย์เจษฎ์" งัดผลวิจัยโต้ผู้เชี่ยวชาญ ปมงด "กินเห็ด" เพราะไม่ดีต่อสุขภาพ พร้อมย้ำ "เห็ดที่ไม่มีพิษ" เกือบทุกชนิดกินได้ ไม่ต้องกลัวมะเร็ง

วันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2567 ศ.ดร.เจษฎา เด่นดวงบริพันธ์ อาจารย์ประจำภาควิชาชีววิทยา คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และนักสื่อสารวิทยาศาสตร์ ได้โพสต์ข้อความเรื่อง "เห็ดที่ไม่มีพิษ (เกือบทุกชนิด) กินได้ ไม่ต้องกลัวมะเร็ง" พร้อมระบุข้อความว่า

มีการแชร์คลิปวิดีโอของคุณหมอท่านหนึ่ง ที่อ้างว่าเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านโภชนการบำบัด ตามแนวทางแพทย์ทางเลือก สัมภาษณ์แนะนำให้งดกินเห็ดทุกชนิดเพราะไม่ดีต่อสุขภาพ นำไปสู่โรคต่างๆ โดยในคลิปนั้นคุณหมออ้างว่า ไม่กล้ากินเห็ดเพราะเห็ดเป็นเชื้อรา และรามีส่วนทำให้เกิดโรคสูงมาก รากระตุ้นให้ภูมิต้านทานผิดปกติ เมื่อจับมือกับไวรัสจึงกลัวเห็ด และต่อต้านแม้แต่กับอาหารมังสวิรัติที่มักจะมีเห็ดเป็นส่วนประกอบ แล้วยกตัวอย่างคนไข้มะเร็ง ที่มะเร็งโตขึ้น ทั้งที่หยุดกินเนื้อสัตว์ กินแต่ข้าวผัดกับถั่ว เพราะไปกินเห็ด จึงต้องสั่งให้หยุดกินเห็ด จึงควรพยายามเลี่ยงเห็ดเท่าที่เลี่ยงได้ ไม่ได้ห้ามนะ แต่ถ้าป่วยแล้วก็ต้องเลิกกิน

เรื่องนี้ก็ต้องบอกว่า เป็นความเชื่อส่วนตัวของคุณหมอเขา การห้ามกินเห็ดนั้น ไม่ได้อยู่บนพื้นฐานของวิทยาศาสตร์การแพทย์ มีแต่แนะนำให้กินเสียด้วยซ้ำ เนื่องจากมีคุณค่าทางอาหารสูง เป็นแหล่งของโปรตีนธรรมชาติ เห็ดแม้จะเป็นราชนิดหนึ่ง แต่เมื่อเรากินเข้าไปก็จะถูกย่อยสลายเป็นสารอาหารต่างๆ

แต่ที่สำคัญคือเห็ดที่จะนำมากิน ต้องเป็นเห็ดที่ไม่มีพิษเท่านั้น อย่าเสี่ยงกินเห็ดพิษเข้าไป เหมือนที่อย่ากินเชื้อราชนิดที่สร้าง mycotoxin หรือสารพิษจากเชื้อราเข้าไป รวมทั้งอย่าสูดดมสปอร์ของเห็ดเข้าสู่ระบบทางเดินหายใจด้วย จริงๆ ก็มีเห็ดที่กินกันอยู่ แต่เพียงแค่บางชนิดเท่านั้น ที่ถ้ากินดิบๆ และกินมากเกินไป ก็อาจได้รับผลข้างเคียงจากสารเคมีในเห็ดนั้นได้ เช่น เห็ดแชมปิญอง

สำหรับเห็ด (mushroom) เป็นเชื้อรา (fungi) ชั้นสูง ที่สามารถพัฒนาเป็นดอกหรือเป็นกลุ่มก้อน มองเห็นได้ด้วยตาเปล่า ไม่สามารถสังเคราะห์แสงแดดเพื่อสร้างอาหารเองได้ ต้องอาศัยการย่อยสลายสารอินทรีย์จากสิ่งมีชีวิตอื่นๆ ในการเจริญเติบโต มีการจำแนกเห็ดไว้หลากหลายชนิด แบ่งออกเป็นเห็ดที่กินได้ และเห็ดที่กินไม่ได้ หรือเห็ดพิษ ซึ่งรับประทานเข้าไปแล้ว ก่อให้เกิดอาการผิดปกติต่างๆ เช่น ประสาทหลอน หรือมีพิษต่อระบบต่างๆ ของร่างกาย จนถึงเสียชีวิต

ขณะที่เห็ดถูกนำมาใช้เป็นวัตถุดิบในการปรุงอาหารมาช้านาน ตัวอย่างของเห็ดที่กินได้ ได้แก่ เห็ดโคน, เห็ดนางฟ้า, เห็ดนางรม, เห็ดหูหนู, เห็ดเข็มทอง, เห็ดฟาง, เห็ดเผาะ, เห็ดแชมปิญอง, เห็ดหอม, เห็ดหลินจือ เป็นต้น โดยเห็ดเหล่านี้ ถูกนิยมนำมาใช้เป็นอาหาร เนื่องจากมีรสชาติและเนื้อสัมผัสที่ดี มีความคล้ายคลึงกับเนื้อสัตว์ เนื่องจากเห็ดมีกรดอะมิโนกลูตามิค ที่ช่วยกระตุ้นประสาทการรับรส สามารถหาซื้อได้ง่าย อุดมไปด้วยสารอาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการ และมีประโยชน์ที่หลากหลาย โดยคุณประโยชน์ของเห็ด ได้แก่

1. เป็นแหล่งโปรตีนจากธรรมชาติที่มีแคลอรีต่ำ มีไขมันต่ำ และน้ำตาลค่อนข้างน้อย มีแร่ธาตุและวิตามินกว่า 15 ชนิด มีใยอาหารสูง

2. สารอาหารต่างๆ ในเห็ด มีประโยชน์ช่วยต้านอนุมูลอิสระ ชะลอวัย และต้านมะเร็ง ช่วยในการทำงานของระบบต่างๆ และปรับสมดุลของน้ำในร่างกาย, กระตุ้นการทำงานของระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย, ฤทธิ์ในการลดความดันโลหิต, ฤทธิ์ลดระดับน้ำตาลในเลือด, ฤทธิ์ลดไขมันในเลือด, ฤทธิ์ในการลดไข้และต้านการอักเสบ, เป็นอาหารที่ใช้ควบคุมน้ำหนัก เนื่องจากเห็ดมีแคลอรีต่ำ อุดมไปด้วยเส้นใยอาหารและโปรตีน สามารถรับประทานแทนอาหารพวกเนื้อสัตว์หรืออาหารที่มีไขมันสูง

การรับประทานเห็ด ควรระมัดระวังในการเลือกซื้อ การจำแนกชนิดเห็ดต้องมั่นใจจริงๆ ว่ารู้จักเห็ดชนิดนั้นๆ ไม่ควรรับประทานเห็ดที่ไม่คุ้นเคยเพราะอาจเป็นเห็ดพิษ ซึ่งเป็นอันตรายถึงชีวิตได้ ลักษณะของเห็ดพิษที่ไม่ควรเก็บมาบริโภค ได้แก่ เห็ดที่มีปุ่มปม เห็ดที่มีหมวกเห็ดสีขาว มีวงแหวนใต้หมวก มีปลอกหุ้มโคน มีลักษณะคล้ายสมองหรืออานม้า เห็ดที่ขึ้นใกล้มูลสัตว์ เป็นต้น

ทั้งนี้ เคยมีงานวิจัยหลายชิ้นที่พูดว่า การบริโภคเห็ด น่าจะช่วยลดความเสี่ยงในการเป็นมะเร็งบางชนิด ก็เคยมีการศึกษาวิจัยผลของการบริโภคเห็ด ต่อความเสี่ยงของการที่จะเป็นมะเร็ง ในประชากรของประเทศสหรัฐอเมริกา โดยสำรวจจากอาสาสมัครหญิง จำนวน 68327 คน และชาย 44664 คนที่ยังไม่ได้เป็นมะเร็งในปี 1986 และติดตามผลกว่า 26 ปี ซึ่งสุดท้ายแล้ว พบเป็นมะเร็งรวม 22469 รายนั้น ได้คำสรุปว่าการบริโภคเห็ดไม่ได้มีความสัมพันธ์การเป็นมะเร็ง

อย่างไรก็ตาม ในบรรดาเห็ดไม่มีพิษที่บริโภคกันโดยทั่วไปนั้น เห็ดแชมปิญอง (Champignon) หรือเห็ดกระดุมขาว (white button mushroom) หรือชื่อวิทยาศาสตร์ Agaricus bisporus ถูกพบว่ามีการสร้างสาร อาการิทีน (agaritine) ที่มีผลการวิจัยพบว่า เป็นสารก่อมะเร็งได้เมื่อให้สัตว์ทดลองกินแบบดิบๆ เป็นจำนวนมาก แต่ยังไม่มีหลักฐานว่าก่อมะเร็งในคนที่บริโภคเห็ดชนิดนี้ตามปกติแต่อย่างไร.

ขอบคุณเฟซบุ๊ก อ๋อ มันเป็นอย่างนี้นี่เอง by อาจารย์เจษฎ์


กางเกงช้าง ก๊อบปี้ยังไงให้ไวกว่าไทย พ่อค้าจีนเปิดต้นทุนหน้าโรงงานต่ำกว่า 25 บ

กางเกงช้าง ซอฟต์พาวเวอร์ไทย ที่ขายกว่า 70 เปอร์เซ็นต์ ผลิตจากโรงงานจีน ด้วยต้นทุนถูกกว่า ทำให้นายกฯ จดลิขสิทธิ์ป้องกัน แต่ในมุม "พ่อค้าจีน" ที่คลุกคลีในตลาดส่งออกเสื้อผ้ามาไทย มองว่า กรณีกางเกงช้าง การก๊อบปี้มาจากคนไทยที่สั่งโรงงานจีนผลิตจำนวนมาก ทำให้ราคาต้นทุนอยู่ที่ตัวละ 25 บาท หรือต่ำกว่านั้น ขึ้นอยู่กับจำนวนผลิต ด้านผู้ออกแบบกางเกง "แมวโคราช" ห่วงการผลักดันซอฟต์พาวเวอร์ล้มเหลว เพราะของก๊อบปี้เกลื่อน

หลังจากที่โซเชียลขุดราคาขายกางเกงลายช้างจากเว็บไซต์แห่งหนึ่งที่มีการผลิตในจีนอยู่ที่ตัวละ 30 บาท และเมื่อผู้สื่อข่าวลงพื้นที่ตลาดขายเสื้อผ้าในกรุงเทพฯ แม่ค้าส่วนใหญ่ยอมรับว่า กางเกงช้างที่ขาย 70 เปอร์เซ็นต์ผลิตในจีน ประกอบกับ สมาพันธ์เอสเอ็มอีไทย ระบุข้อมูลถึงกางเกงช้าง มีการลักลอบนำเข้าแบบเหมาตู้คอนเทนเนอร์ โดยเสียภาษีเหมารวม ด้วยปัจจุบันภาษีสินค้านำเข้าจากจีนอยู่ที่ 0% ด้วยต้นทุนจีนต่ำ

เมื่อประเด็นเรื่อง กางเกงช้าง ที่ถูกผลักดันเป็นซอฟต์พาวเวอร์ ถูกท้าทายจากการผลิตในจีน นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และรมว.คลัง เตรียมจดลิขสิทธิ์เพื่อป้องกันการลอกเลียนแบบ

ทีมข่าวเจาะประเด็น ไทยรัฐออนไลน์ สอบถามไปยังพ่อค้าชาวจีนรายหนึ่งที่ทำธุรกิจส่งเสื้อผ้าจากจีนมาไทย เปิดเผยว่า กางเกงช้าง ในตลาดค้าส่งเสื้อผ้าขนาดใหญ่ของเมืองกว่างโจว ประเทศจีน ไม่มีให้เห็น คาดว่ากางเกงลายช้างที่ส่งเข้าไปขายในไทย มาจากพ่อค้าแม่ค้าไทยที่ส่งแบบมาที่โรงงานผลิตในจีน ด้วยโรงงานผลิตเสื้อผ้าจีนมีการแข่งขันสูง ตอนนี้โรงงานมีการปรับตัวให้ลูกค้าที่สั่งผลิตเสนอราคาให้กับโรงงานได้ก่อน ต่างจากเดิมที่โรงงานผลิตเป็นผู้เสนอราคาลูกค้า ทำให้โรงงานหลายแห่งตัดราคาการผลิตจนมีต้นทุนสินค้าที่ต่ำ โดยต้นทุนกางเกงช้าง ตกอยู่ที่ตัวละ 25-30 บาท

“กางเกงช้าง ต้องสั่งกับโรงงานผลิตโดยตรง ต้องมีพ่อค้าแม่ค้าคนไทยส่งแบบให้ เมื่อผลิตเสร็จถึงส่งกลับไปไทย โดยปกติการสั่งตัดกางเกงแบบนี้ต้องมียอดสั่งประมาณ 1,000 ตัว แต่ถ้ามียอดสั่งผลิตมากกว่านั้น ต้นทุนจะต่ำกว่าตัวละ 25 บาท แต่ถ้ามีการสั่งในโรงงานขนาดเล็ก ที่ไม่มีเครื่องจักรมาก จะได้ราคาต่ำลง อยู่ที่การต่อรองของพ่อค้าไทยที่มาจ้างผลิต”

ปกติโรงงานตัดเย็บเสื้อผ้าในจีน ถ้ามีออเดอร์สินค้าที่เป็นกระแส เมื่อสั่งผลิตภายใน 1-2 วัน สามารถผลิตได้เสร็จ ส่วนเวลาในการส่งไปไทยใช้เวลาไม่เกิน 7 วัน ยิ่งในคนไทยที่จ้างโรงงานจีนผลิตเสื้อผ้าอยู่เดิมแล้ว การผลิตของก๊อบปี้ยิ่งรวดเร็วมากขึ้น เพียงส่งแบบมาทางวีแชต ถ้าโรงงานฝั่งจีนตอบรับว่าทำได้ สามารถผลิตได้ทันที

เมื่อถามถึงการที่ไทยจะจดลิขสิทธิ์กางเกงช้าง เพื่อป้องกันจีนก๊อบปี้ พ่อค้ารายนี้มองว่า คงไม่ได้รับผลกระทบ เพราะโรงงานผลิตส่วนใหญ่ ถ้าแคร์เรื่องลิขสิทธิ์ก็อยู่ไม่ได้ แต่อย่าลืมว่าโรงงานบางส่วนก็ผลิตของก๊อบปี้ออกมาจำนวนมาก สมัยนี้โรงงานตัดเย็บเสื้อผ้าในจีนปรับตัวค่อนข้างสูง เจ้าของมารับลูกค้าชาวไทยด้วยตัวเอง ยิ่งในสินค้าแฟชั่นที่ต้องผลิตเร็วเพื่อชิงความได้เปรียบ

กางเกงแมวโคราช ถูกก๊อบปี้แย่งตลาด ซอฟต์พาวเวอร์อาจไม่ยั่งยืน

โจ จิรพิสิษฐ์ รุจน์เจริญ ประธาน YEC (Young Entrepreneur Chamber of Commerce) หอการค้าจังหวัดนครราชสีมา ผู้อยู่เบื้องหลัง ‘กางเกงแมวโคราช’ เปิดเผยกับทีมข่าวเจาะประเด็น ไทยรัฐ ออนไลน์ ว่า กรณีกางเกงช้างที่ผู้ผลิตส่วนใหญ่อยู่ในจีน ทั้งที่มีการโปรโมตเป็นซอฟต์พาวเวอร์ไทย ถือเป็นประเด็นที่ป้องกันยาก ต้องยอมรับว่าจีนมีเทคโนโลยีการผลิตที่เร็ว ต้นทุนถูกกว่ามาก ซึ่งกางเกงแมวโคราช หลังจากออกลายมาไม่ถึงอาทิตย์ ของก๊อบปี้ก็ออกมาขายแข่งในตลาด

สำหรับคนที่ทำไม่ว่ารายใหญ่ หรือรายเล็ก ได้แต่พยายามสื่อสารกับลูกค้าให้รับรู้ถึงแบรนด์คนไทย เพราะอย่างกางเกงลายแมวโคราช เราคิดแบบขึ้นมาเพื่อให้เป็นอุตสาหกรรมชุมชนท้องถิ่นนำไปใช้เพื่อหารายได้ แต่พอมีของก๊อปออกมาเลยทำให้ยอดขายของชาวบ้านลดลง ส่งผลกระทบต่อโมเดลซอฟต์พาวเวอร์ของรัฐบาลที่อาจไม่ยั่งยืน

“ต้องยอมรับว่าเราเองก็ยังหาทางแก้ปัญหานี้ไม่ได้ เพราะคนที่นำสินค้าเลียนแบบจากจีนเข้ามา จะเน้นขายออกเร็ว ราคาต่ำ แต่คุณภาพสู้สินค้าไทยไม่ได้ สำหรับซอฟต์พาวเวอร์ที่รัฐบาลกำลังผลักดันให้เป็นกระแส ถ้ามองในมุมธุรกิจคือ การฉวยโอกาสให้เร็วที่สุด ดังนั้นจะเห็นโรงงานผลิตในจีนใช้โอกาสนี้ผลิตสินค้าที่มีต้นทุนต่ำกว่าของไทยเกือบเท่าตัวมาขาย”

การจดลิขสิทธิ์เป็นอีกแนวทางแก้ปัญหา แต่การพัฒนาซอฟต์พาวเวอร์ ของรัฐบาลหลายโครงการดี แต่ต้องมีการสร้างแบรนด์ให้ผู้ซื้อสินค้ารับรู้ เพื่อป้องกันสินค้าเลียนแบบ ขณะเดียวกันก็ป้องกันไม่ให้เม็ดเงินที่ควรจะได้ไปตกอยู่กับชาติอื่น.


แจกไอเดีย 'ของขวัญวันวาเลนไทน์' ให้ไอต้าวแฟน เนื่องในวาเลนไทน์ 2567

ใกล้ "วาเลนไทน์ 2567" เข้ามาทุกที หลายคนคงกำลังหาของ "ของขวัญวันวาเลนไทน์" ให้แฟนหรือคนรัก ซึ่งวันแห่งความรัก จะตรงกับวันที่ 14 กุมภาพันธ์ ของทุกปี ในปัจจุบันเป็นวันที่ผู้คนนิยมเฉลิมฉลองเพื่อแสดงออกถึงความรัก โดยเฉพาะคนมีแฟนมักจะพากันไปเที่ยวและให้ของขวัญกัน วันนี้ คมชัดลึกออนไลน์ มาแนะนำ "ของขวัญวันวาเลนไทน์" ควรซื้ออะไรให้แฟนดี ไปดูด้วยกันเลย

7 "ของขวัญวันวาเลนไทน์" สุดฮิตสำหรับ วาเลนไทน์ 2567

น้ำหอม

ไม่มีใครไม่ชอบน้ำหอม ยิ่งในปัจจุบันมีน้ำหอมหลายกลิ่น ทั้งสายหวาน สายเท่ หรือกลิ่นแบบเซ็กซี่ตัวแม่ ก็มีให้เลือกหลากหลายแบรนด์ เหมาะเป็นของขวัญวันวาเลนไทน์ แต่ควรเลือกกลิ่นที่คนรับจะชอบด้วยจะได้ยิ้มไม่หุบ

เครื่องประดับ

หลายคนชอบใส่เครื่องประดับเพราะทำให้ลุคดูมีอะไร แถมยังหน้ามองเพิ่มขึ้น

กำไลข้อมือ เป็นเครื่องประดับยอดฮิตที่สวมใส่ได้ง่าย แถมยังเข้ากับลุคประจำวันได้อย่างง่ายดาย สามารถใส่ได้ทุกวันจึงเหมาะเป็นของขวัญแทนใจ

แหวน เป็นเครื่องประดับที่สามารถสวมใส่ได้ทุกวัน หากซื้อให้แฟนเขาจะใส่ทุกวันแน่นอน

สร้อยคอ เป็นเครื่องประดับยอดฮิต เพราะสร้อยคอไม่จำเป็นต้องไปวัดขนาดนิ้วเหมือนกับแหวน ซื้อแล้วใส่ได้แน่นอน

นาฬิกาข้อมือ

เป็นอีกหนึ่งไอเทมที่หลายคนซื้อให้แฟน เพราะนาฬิกาข้อมือมีความหมายว่าความรักของคุณจะอยู่เหนือกาลเวลา และเหมาะกับเป็นของแทนใจเพราะต้องใส่ตลอดเวลาในทุกๆ วัน หันมาดูเวลาก็จะนึกถึงคนให้

7 "ของขวัญวันวาเลนไทน์" สุดฮิตสำหรับ วาเลนไทน์ 2567

รองเท้า

รองเท้าถือเป็นสิ่งของที่ทุกเพศต่างชอบ หากคุณรู้จักรสนิยมและไลฟ์สไตล์ของแฟนคุณ หากรู้ว่าเขาชอบรองเท้าแบบไหน ก็เลือกซื้อให้เขาสักคู่ รับรองใจฟูแน่นอน

กระเป๋า

กระเป๋าคือสิ่งที่สาวๆ หลายคนต่างชอบ ยิ่งกระเป๋าแบรนด์ดังต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นกระเป๋าถือ กระเป๋าสตางค์ สาวทุกคนอยากได้มาครอบครอง ซื้อให้รับลองมีกรี๊ดแตก แต่ควรเลือกแบรนด์ที่เหมาะสมกับเงินในกระเป๋าตัวเองด้วย เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาการเงินภายหลัง

แว่นตากันแดด

แว่นตากันแดดก็เป็นอีกสิ่งที่หลายคนสนใจ แว่นตากันแดดนอกจากจะใส่แล้วดูเก๋ ดูเฉี่ยว ดูเป็น Someone ยังช่วยป้องกันดวงตาคู่สวยของเธอจากแดดจ้า แต่จะซ์้อไปให้ใครก็ควรเลือกให้รับกับใบหน้าหวานของผู้รับด้วย

ช่อดอกไม้

บางทีช่อดอกไม้สวยๆ สักช่อ หรือดอกไม้สวยๆ สักดอก ก็บ่งบอกถึงความรัก ดอกไม้เป็นสิ่งที่ผู้หญิงอยากได้มากกว่าฝ่ายชาย หากไม่มีงบมากมาย แค่ดอกไม้สักช่อในวันสำคัญก็ทำให้แฟนของคุณประทับใจได้แล้ว


'ตรุษจีน' ทำไม 'ห้ามกินโจ๊ก' เช็ก 10 ข้อห้ามวันตรุษจีน ที่ต้องรู้

“ตรุษจีน” วันขึ้นปีใหม่ของชาวจีน หรือ ชาวไทยเชื้อสายจีน ที่ปฏิบัติสืบต่อกันมายาวนาน เริ่มตั้งแต่ วันจ่าย วันไหว้ และ วันเที่ยว ซึ่งโดยปกติแล้ว วันตรุษจีน ก็จะมีการไหว้บรรพบุรุษ จัดเตรียมบ้านเรือนด้วยสีสันสดใส และซื้อของขวัญให้แก่ญาติมิตร แต่ตามความเชื่อ ก็มี “ข้อห้ามวันตรุษจีน” อยู่หลายข้อ เช่น ตรุษจีน “ห้ามกินโจ๊ก” หรือ ทำไมห้ามซื้อรองเท้าใหม่ ไปหาคำตอบกัน

“ตรุษจีน” ทำไม “ห้ามกินโจ๊ก”

1. โจ๊กเป็นอาหารของคนจน

ในอดีต โจ๊กเป็นอาหารที่คนยากจนนิยมกิน เพราะราคาถูก หาซื้อง่าย และทำง่าย จึงเชื่อกันว่า การกินโจ๊กในวันตรุษจีน เปรียบเสมือนการดึงดูดความยากจนมาสู่ตัวเอง

2. โจ๊กมีลักษณะคล้ายข้าวยาจก

โจ๊กมีลักษณะเป็นอาหารเหลว คล้ายกับข้าวยาจก ที่คนสมัยก่อนนิยมแจกจ่ายให้ขอทาน จึงเชื่อกันว่า การกินโจ๊กในวันตรุษจีน จะทำให้ชีวิตตกต่ำ ยากจนเหมือนยาจก

3. โจ๊กชื่ออาหารไม่เป็นมงคล

คำว่า “โจ๊ก” ในภาษาจีนแต้จิ๋ว ออกเสียงคล้ายกับคำว่า “เจ๊ง” ซึ่งหมายถึง “ล้มละลาย” จึงเชื่อกันว่า การกินโจ๊กในวันตรุษจีน จะทำให้ธุรกิจการค้าไม่ประสบความสำเร็จ ขณะที่ภาษาไทยเอง ก็มีสำนวนที่เกี่ยวกับโจ๊กในความหมายไม่ดี เช่น “เละเป็นโจ๊ก“ เช่นเดียวกัน

4. โจ๊กเป็นอาหารจืด

โจ๊กเป็นอาหารที่มีรสอ่อน จืดชืด จึงเชื่อกันว่า การกินโจ๊กในวันตรุษจีน จะทำให้ชีวิตตลอดปี จืดจาง ไม่มีสีสัน ไม่มีความรุ่งโรจน์

5. โจ๊กเป็นอาหารที่ไม่มีสีสัน

ในวันตรุษจีน ชาวจีนนิยมกินอาหารที่มีสีสันสดใส เพื่อเป็นสิริมงคล จึงเชื่อกันว่า การกินโจ๊ก ซึ่งเป็นอาหารที่มีสีขาว จะทำให้ชีวิตจืดชืด ไร้สีสัน

ข้อห้ามวันตรุษจีน

ห้ามทำความสะอาดบ้าน

การทำความสะอาดบ้าน และทิ้งขยะในวันตรุษจีน จะเป็นการกวาดเอาโชคลาภ เงินทอง ออกไปจากบ้าน ดังนั้น วันตรุษจีน จึงไม่ค่อยมีคนทำความสะอาดบ้าน แต่จะไปทำความสะอาดกันหนึ่งวันก่อนวันตรุษจีน เพื่อที่จะให้บ้านสะอาดรับปีใหม่ และใช้บ้านในการต้อนรับแขก

ห้ามซักผ้า

ตามความเชื่อ เทพเจ้าแห่งน้ำเกิดในวันตรุษจีน ดังนั้น การซักผ้าในวันนี้ จึงถือเป็นการลบหลู่ท่าน

ห้ามร้องไห้

คนจีนเชื่อว่า จะทำให้พบกับเรื่องไม่ดี และเสียใจไปตลอดปี ในวันนี้ ผู้ใหญ่ ก็จะไม่ดุ หรือตีลูกๆ หลานๆ ก็เพราะไม่อยากให้เด็กๆ ร้องไห้นั่นเอง

ห้ามพูดคำหยาบ

การพูดในสิ่งไม่ดี ไม่ว่าจะเป็นคำหยาบ พูดปด หรือพูดไปถึงความตาย คนจีนเชื่อว่า การพูดเรื่องราวหรือสิ่งที่ไม่ดีนั้น จะเป็นการนำความโชคร้ายมาให้ตลอดทั้งปี รวมถึงการทะเลาะเบาะแว้ง และควรหลีกเลี่ยงการพูดเลข 4 เพราะเลข 4 เป็นเลขที่ออกเสียงคล้ายกับคำว่า ซี้ หรือ ตาย นั่นเอง

ห้ามใส่ชุดขาว-ดำ

เพราะว่าชุดสีขาว หรือชุดสีดำนั่นหมายถึง ลางร้าย ดังนั้น เราจะเห็นว่าวันตรุษจีน ผู้คนจะสวมใส่เสื้อผ้าสีแดงหรือชุดที่มีสีสันสดใสเท่านั้น เพราะเชื่อว่าสีแดงจะนำความโชคดี และความสุขมาให้ชีวิต

ห้ามใช้ของมีคม

สิ่งของใดก็ตามที่มีคม จะต้องงดใช้ทุกรูปแบบ เพราะตามความเชื่อของชาวจีน หากใช้ของมีคม จะเหมือนว่าเราทำการตัดความโชคดี โชคลาภออกไป

ห้ามยืมเงิน

ห้ามเผลอให้ใครยืมเงิน หรือพูดว่าไม่มีเงินในวันตรุษจีนเด็ดขาด เพราะเชื่อว่าการให้ยืมเงินจะทำให้ทั้งปีมีคนเข้ามาขอยืมเงินตลอด รวมไปถึงหากใครที่ติดเงิน หรือเป็นหนี้ใครไว้ ก็ควรที่จะคืนเงินก่อนวันตรุษจีน เพราะการติดเงินใครในวันตรุษจีน เชื่อว่าคนนั้นก็จะมีหนี้สินตลอดปีไม่จบไม่สิ้น

ห้ามทำของแตก

คนจีนเชื่อว่า ถ้าหากใครทำของแตก ถือเป็นลางร้ายมาเยือน อาจจะมีคนในครอบครัวเจ็บไข้ได้ป่วย ครอบครัวจะแตกแยก หรือมีคนเสียชีวิต ดังนั้น ควรเก็บของที่อาจสุ่มเสี่ยงเพื่อให้พ้นมือของเราและเด็กๆ

ห้ามซื้อรองเท้าใหม่

หลายคนน่าจะข้องใจ ตรุษจีน ทำไมห้ามซื้อรองเท้าใหม่ ก็เพราะคำว่า “รองเท้า” ในภาษาจีน ออกเสียงว่า Hai ทำให้เสียงที่ออกมานั้น คล้ายกับเสียงถอนหายใจ คนจีนจึงถือว่า การซื้อร้องเท้าใหม่ในวันปีใหม่ เป็นสัญญาณที่ไม่ดีสำหรับการเริ่มต้นปีที่ดี

ห้ามใช้ของมีคม

สิ่งของใดก็ตามที่มีคมจะต้องงดใช้ทุกรูปแบบ เพราะตามความเชื่อของชาวจีนหากใช้ของมีคม จะเหมือนว่าเราทำการตัดความโชคดี โชคลาภออกไป ดังนั้นห้ามใช้ของมีคมเด็ดขาดนะครับ


‘ไข้เลือดออก’ อันตรายที่มากับยุงลาย แนะฉีดวัคซีนป้องกันติดเชื้อได้ 80%

คนไทยนอกจากจะต้องรับมือกับอากาศร้อนชื้น ยังต้องเจอกับแมลงต่างๆ ที่เข้ามาในบ้านของเราโดยไม่รู้ตัว โดยเฉพาะ “ยุงลาย” ซึ่งเติบโตในเมืองร้อนอย่างประเทศไทยได้ดี ทำให้มีโอกาสเป็น “โรคไข้เลือดออก” มีอาการไข้สูง และอาจมีอาการรุนแรงจนอันตรายถึงชีวิต โดยกรมควบคุมโรคเผยปี 2566 มีตัวเลขผู้ติดเชื้อไข้เลือดออกสูงถึง 156,079 ราย และเสียชีวิต 175 ราย

นพ.บารมี พงษ์ลิขิตมงคล แพทย์ผู้ชำนาญการเวชศาสตร์ครอบครัว (Family Medicine) ศูนย์อายุรกรรม โรงพยาบาลวิมุต ได้ให้ข้อมูลความอันตรายของโรคไข้เลือดออก พร้อมแนะนำวิธีป้องกันและรักษา เพื่อจะได้รับมือกับโรคนี้ได้อย่างถูกวิธี

โรคไข้เลือดออก เกิดจากการติดเชื้อไวรัสเดงกี (dengue virus) ซึ่งมีอยู่ด้วยกัน 4 สายพันธุ์ คือ DENV-1,DENV-2, DENV-3 DENV-4 โดยโรคนี้ไม่ได้ติดจากคนสู่คนโดยตรง แต่ติดต่อผ่านทางยุงลายที่เป็นพาหะนำโรค ไปกัดคนที่ติดเชื้อไวรัสมาก่อนแล้วมากัดอีกคนหนึ่งในภายหลัง ซึ่งปกติหากเราติดโรคไข้เลือดออกครั้งแรก อาจจะไม่มีอาการ หรือมีอาการเพียงเล็กน้อย แต่หากติดเชื้อซ้ำเป็นครั้งที่ 2 ซึ่งจะเป็นเชื้อต่างสายพันธุ์กับครั้งแรก คนไข้มีโอกาสที่จะมีอาการรุนแรงได้ เช่น มีไข้สูง คลื่นไส้อาเจียน ปวดท้อง บางรายมีการรั่วไหลของน้ำออกจากหลอดเลือด ทำให้เกิดภาวะช็อก ขาดน้ำ บางรายมีเลือดออกรุนแรงจนอาจทำให้เสียชีวิตได้

โรคไข้เลือดออก สามารถแบ่งออกเป็น 3 ระยะ ระยะแรกคือ ระยะไข้สูง (Febrile phase) ซึ่งผู้ป่วยจะมีไข้สูงเฉียบพลัน มากกว่า 38.5 องศาเซลเซียส โดยไม่มีอาการของระบบทางเดินหายใจ แต่จะมีอาการร่วมอื่นๆที่พบได้ เช่น ปวดศีรษะ ปวดกล้ามเนื้อ ปวดข้อ ปวดกระดูก คลื่นไส้อาเจียน ปวดท้อง และไข้มักจะลดลงในระยะเวลาประมาณ 3-7 วัน ส่วนระยะที่สองคือ ระยะวิกฤต (Critical phase) หลังจากระยะไข้ ผู้ป่วยไข้เลือดออกเดงกีส่วนใหญ่จะเข้าสู่ระยะวิกฤตในวันที่ 5-7 ของไข้ ซึ่งเป็นระยะที่มีการรั่วไหลของน้ำออกจากหลอดเลือด ในบางครั้งอาจมีความรุนแรงมากจนทำให้ผู้ป่วยเกิดภาวะเดงกีช็อก และมีโอกาสเสียชีวิตได้ ระยะสุดท้ายคือ ระยะฟื้นฟู (Recovery phase) หลังจากผู้ป่วยไข้เลือดออกเดงกีอยู่ในระยะวิกฤตนานประมาณ 24-48 ชั่วโมง ก็จะเริ่มเข้าสู่ระยะฟื้นตัว โดยเป็นช่วงที่ร่างกายค่อยๆ ฟื้นตัวจนอาการต่างๆ ดีขึ้นอย่างรวดเร็วตามลำดับ

โรคไข้เลือดออกนั้น สามารถเป็นได้ทุกคนเมื่อโดนยุงลายที่มีเชื้อกัด โดยเฉพาะในเด็กๆ ช่วงอายุ 5-14 ปี ต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ เนื่องจากเป็นกลุ่มที่พบอัตราการป่วยมากที่สุด โดยทุกคนสามารถป้องกันตัวเองได้หลายวิธี เช่น ทายากันยุง ใส่เสื้อให้มิดชิด และดีที่สุดควรเลี่ยงการโดนยุงกัด แต่อาจจะเลี่ยงไม่ได้ตลอด ดังนั้นจึงควรฉีดวัคซีนเพื่อป้องกัน ทั้งนี้ปัจจุบันวัคซีนไข้เลือดออกครอบคลุมทั้ง 4 สายพันธุ์ แนะนำให้ฉีดวัคซีนคิวเดงกา (Qdenga) เป็นวัคซีนชนิดเชื้อเป็นที่ทำให้ฤทธิ์อ่อนลงทั้ง 4 สายพันธุ์ ฉีดทั้งหมด 2 เข็ม ห่างกันเข็มละ 3 เดือน สามารถป้องกันการติดเชื้อได้ 80% อีกทั้งยังป้องกันภาวะแทรกซ้อน ลดความรุนแรง ลดโอกาสช็อกได้ถึง 90% ซึ่งตัววัคซีนสามารถฉีดได้ตั้งแต่อายุ 4-60 ปี ทั้งผู้ที่เคยและไม่เคยเป็นไข้เลือดออกมาก่อน แต่จะมีข้อห้ามสำหรับผู้ที่มีภูมิคุ้มกันบกพร่อง เช่น ผู้ป่วยที่ใช้ยากดภูมิคุ้มกัน ผู้ป่วยมะเร็งที่ได้รับยาเคมีบำบัด ผู้ป่วย HIV เป็นต้น รวมถึงหญิงที่ตั้งครรภ์ และให้นมบุตร

อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันยังไม่มียาต้านเชื้อไวรัสเดงกีโดยเฉพาะ การรักษาโรคจึงเน้นรักษาตามอาการ และระยะของโรค เช่น การรับประทานยาแก้ปวดลดไข้พาราเซตามอล เช็ดตัวลดไข้ ดื่มน้ำเกลือแร่ แต่ในกรณีที่ผู้ป่วยมีอาการรุนแรง หรือเริ่มเข้าสู่ระยะวิกฤต ควรรีบไปพบแพทย์ทันที เพราะผู้ป่วยอาจมีภาวะสารน้ำรั่วไหลออกจากหลอดเลือด เลือดออกอย่างรุนแรง จนนำไปสู่ภาวะช็อก หรือเสียชีวิตได้ จึงจำเป็นต้องอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์อย่างใกล้ชิด

“ทุกวันนี้อุณหภูมิของโลกค่อยๆสูงขึ้น ส่งผลให้ยุงลายแพร่พันธุ์ได้เร็วขึ้น โอกาสที่เราจะป่วยเป็นโรคไข้เลือดออกจึงเพิ่มขึ้นเช่นกัน ทางที่ดีเราจึงต้องป้องกันตัวเอง โดยการเลี่ยงการโดนยุงกัด ทำลายแหล่งเพาะพันธุ์ยุงลายรอบๆ บ้าน พร้อมทั้งฉีดวัคซีนป้องกันโรคไข้เลือดออกไว้ตั้งแต่เนิ่นๆ เพราะไข้เลือดออกนั้นสามารถเป็นซ้ำได้ตลอดชีวิต เวลาติดเชื้อขึ้นมาจะได้ป้องกันอาการรุนแรง และสามารถฟื้นฟูกลับมาแข็งแรงได้ไวขึ้น” นพ.บารมี กล่าวทิ้งท้าย

ผู้ที่สนใจต้องการปรึกษาแพทย์โรงพยาบาลวิมุต สามารถติดต่อได้ที่ชั้น 3 ศูนย์อายุรกรรมหรือโทรศัพท์นัดหมาย02-0790030 เวลา 07.00-20.00 น. หรือสามารถเรียกรถฉุกเฉินได้ที่โทร.02-0790191