ครบเครื่อง
ญ. อมตะ



ครบเครื่อง ญ.อมตะ 5 มีนาคม 2565

เทศกาลหน้ากากผีๆ ผุดไอเดียร์ ศิลปะร่วมสมัย Mask Festival ริมโขง เชียงคาน

เลย ขับเคลื่อนท่องเที่ยวจังหวัด จัดงานเทศกาลศิลปะร่วมสมัย พร้อมกิจกรรม Mask Festival สวมหน้ากาก ยลงานศิลป์ เช็คอินริมโขง เชียงคาน 11 – 13 มี.ค.

ลานวัฒนธรรม วัดท่าคก อ.เชียงคาน จ.เลย จังหวัดเลย แถลงจัดงานเทศกาลศิลปะร่วมสมัย ลุ่มแม่น้ำโขง กิจกรรม Mask Festival สวมหน้ากาก ยลงานศิลป์ เช็คอินริมโขง

นายชัยธวัช เนียมศิริ ผู้ว่าราชการจังหวัดเลย นายอภินันท์ สุวรรณโค นายอำเภอเชียงคาน นางสาวณัณธิญาจ์ มังคละคีรี วัฒนธรรมจังหวัดเลย นายจริยาทร สูหู่ ผู้อำนวยการสำนักงานการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย(ททท.) สำนักงานเลย นายนายอภิชาติ สบู่แก้ว ผู้ช่วยแพทย์สาธารณสุขจังหวัดเลย

พร้อมด้วยหัวหน้าส่วนราชการ ผู้บริหารสถาบันการศึกษา ภาคเอกชน ภาคีเครือข่ายทางวัฒนธรรม และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ร่วมแถลง

นายชัยธวัช เผยว่า การจัดงานครั้งนี้เป็นการผนึกกำลังกันทุกภาคส่วน ขับเคลื่อนการท่องเที่ยว อย่างยั่งยืน พร้อมรองรับนักท่องเที่ยว ทั้งชาวไทยและต่างชาติ หวังกระตุ้นเศรษฐกิจ ของจังหวัดเลย ภายใต้มาตรการปลอดภัยสำหรับองค์กร (COVID Free Setting) เป็นการส่งเสริมการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน

ภายใต้การขับเคลื่อนการท่องเที่ยวเชียงคาน รูปแบบ Sandbox เพิ่มมูลค่านวัตกรรมผลิตภัณฑ์ มุ่งสู่การเป็นศูนย์กลางสุขภาพนานาชาติ และเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจที่เกิดจากการบริการสุขภาพและการท่องเที่ยว

ด้าน นางสาวณัณธิญาจ์ มังคละคีรี วัฒนธรรมจังหวัดเลย กล่าวว่า สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดเลย กำหนดจัดงานเทศกาลศิลปะร่วมสมัย ลุ่มแม่น้ำโขง ณ จังหวัดเลย กิจกรรมสวมหน้ากาก ยลงานศิลป์ เช็คอินริมโขง ระหว่างวันที่ 11 – 13 มีนาคม 2565 ลานวัฒนธรรมวัดท่าคก อำเภอเชียงคาน

เพื่อส่งเสริมเศรษฐกิจฐานราก ด้วยมิติทางวัฒนธรรม และพัฒนาศักยภาพอุตสาหกรรมวัฒนธรรมให้สามารถแข่งขันได้ในตลาดโลก เพื่อเสริมสร้างการเรียนรู้และการสร้างสรรค์ งานด้านศิลปวัฒนธรรม อีกทั้งส่งเสริมเศรษฐกิจวัฒนธรรม เพื่อสร้างคุณค่าทางสังคม และมูลค่าทางเศรษฐกิจ ภายใต้แนวคิด “วัฒนธรรมทำงาน วัฒนธรรมทำเงิน และวัฒนธรรมทำดี”

ภายในงานมีจัดกิจกรรม จะมีการแสดงผลงานจากการประกวดศิลปะร่วมสมัย “เทศกาลหน้ากาก” (Mask Festival) การสาธิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์ทางวัฒนธรรมไทย รวมทั้งกิจกรรมถนนสายศิลปะ การจัดแสดง “ผ้า ลายอัตลักษณ์ประจำจังหวัดเลย” และการแสดงศิลปวัฒนธรรมท้องถิ่น

โดยจะเปิดงาน วันที่ 12 มีนาคม 2565 เวลา 17.30 น.จะมีขบวนพาเหรดหน้ากากหลากสีสัน (Mask Festival) มากกว่า 300 คน ซึ่งทุกคนจะพร้อมใจกันสวมใส่หน้ากากหลากสีสัน ร่วมชมโคมไฟหน้ากากหลากสีและมีการแสดงบนเวทีกลางให้ชม


ไหว้พระ ไหว้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ประเภทไหน ต้องใช้ "ธูป" กี่ดอก

คนไทยส่วนใหญ่จะนิยมจุด "ธูป" เลขคี่ เพราะเชื่อว่าเป็นมงคล อย่างเวลาไหว้พระ เราจะจุดธูป 3 ดอก เพื่อบูชาพระพุทธ พระธรรม และพระสงฆ์ แต่หากต้องการสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์อื่นๆ ล่ะ คุณรู้หรือไม่ว่าต้องใช้ “ธูป” กี่ดอก

การไหว้พระ หรือสักการะสิ่งศักด์สิทธิ์ ต้องใช้ “ธูป” เป็นตัวหลักในการประกอบพิธี ซึ่งจำนวนของธูปนั้นก็เป็นไปตามตำนานความเชื่อที่มีสืบต่อกันมานาน สำหรับคนไทยส่วนใหญ่จะนิยมจุดธูปเลขคี่ เพราะเชื่อว่าเป็นมงคล อย่างเวลาไหว้พระ เราจะจุดธูป 3 ดอก เพื่อบูชาพระพุทธ พระธรรม และพระสงฆ์ แต่หากต้องการสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์อื่นๆ ล่ะ คุณรู้หรือไม่ว่าต้องใช้ “ธูป” กี่ดอก

ธูป 1 ดอก : เป็นเรื่องของการเน้นหรือเจาะจง ในเรื่องที่เกี่ยวกับผีบ้านผีเรือน วิญญาณภาคพื้น เช่น การจุดไหว้เจ้าที่ หรือผีบ้านผีเรือน

ธูป 2 ดอก : เป็นเรื่องที่เกี่ยวกับวิญญาณ และการปักธูปบนอาหาร

ธูป 3 ดอก : เป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับการบูชา พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์

คนไทยส่วนใหญ่จะนิยมจุด "ธูป" เลขคี่ เพราะเชื่อว่าเป็นมงคล อย่างเวลาไหว้พระ เราจะจุดธูป 3 ดอก เพื่อบูชาพระพุทธ พระธรรม และพระสงฆ์ แต่หากต้องการสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์อื่นๆ ล่ะ คุณรู้หรือไม่ว่าต้องใช้ “ธูป” กี่ดอก

การไหว้พระ หรือสักการะสิ่งศักด์สิทธิ์ ต้องใช้ “ธูป” เป็นตัวหลักในการประกอบพิธี ซึ่งจำนวนของธูปนั้นก็เป็นไปตามตำนานความเชื่อที่มีสืบต่อกันมานาน สำหรับคนไทยส่วนใหญ่จะนิยมจุดธูปเลขคี่ เพราะเชื่อว่าเป็นมงคล อย่างเวลาไหว้พระ เราจะจุดธูป 3 ดอก เพื่อบูชาพระพุทธ พระธรรม และพระสงฆ์ แต่หากต้องการสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์อื่นๆ ล่ะ คุณรู้หรือไม่ว่าต้องใช้ “ธูป” กี่ดอก ซึ่งวันนี้ จะนำความรู้เรื่องนี้มาฝากกัน

ธูป 1 ดอก : เป็นเรื่องของการเน้นหรือเจาะจง ในเรื่องที่เกี่ยวกับผีบ้านผีเรือน วิญญาณภาคพื้น เช่น การจุดไหว้เจ้าที่ หรือผีบ้านผีเรือน

ธูป 2 ดอก : เป็นเรื่องที่เกี่ยวกับวิญญาณ และการปักธูปบนอาหาร

ธูป 3 ดอก : เป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับการบูชา พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์

"ธูป" 4 ดอก : เป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับธาตุ ใช้ในการสวดเสริมดวงชะตา

ธูป 5 ดอก : เป็นเรื่องที่เกี่ยวกับการบูชา พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ คุณบิดา คุณมารดา และครูบาอาจารย์

ธูป 6 ดอก : เป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับธาตุกำลังไฟ (คนที่เกิดวันอาทิตย์) ใช้ในการสวดเสริมดวงชะตา

ธูป 7 ดอก : เป็นเรื่องที่เกี่ยวกับจิตวิญญาณ (ศาลเจ้าพ่อ เจ้าแม่) ครูบาอาจารย์ที่เสียชีวิตแล้ว

ธูป 8 ดอก : เป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องการเสริมดวง (คนที่เกิดวันอังคาร)

ธูป 9 ดอก : เป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับการสักการบูชาเทพ เจ้าป่า เจ้าเขา หรือ รุกขเทวดาศาลพระภูมิ ศาลเทพ

ธูป 10 ดอก : เป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับธาตุ ใช้ในการเสริมดวงชะตา (คนที่เกิดวันเสาร์)

ธูป 11 ดอก : เป็นเรื่องเกี่ยวข้องกับการบูชาเทวดาชั้นสูง

ธูป 12 ดอก : เป็นเรื่องเกี่ยวข้องกับการบูชาพระราหู ใช้ในการสวดเสริมดวง (คนที่เกิดวันพุธกลางคืน)

ธูป 14 ดอก : เป็นเรื่องเกี่ยวข้องกับการบูชาคุณพระสงฆ์ เช่น การจุดบูชาสักการะรูปปั้นพระสงฆ์

ธูป 15 ดอก : เป็นเรื่องเกี่ยวข้องกับธาตุ ใช้ในการสวดเสริมดวงชะตา (คนที่เกิดวันจันทร์)

ธูป 16 ดอก : เป็นเรื่องเกี่ยวข้องกับการบูชาเทพชั้นสูง เช่น บูชาพรหม ฯลฯ (ใช้จุดกลางแจ้ง จุดธูปเทพเทวดา ทั้งสิบหกชั้นฟ้าด้วย)

ธูป 17 ดอก : เป็นเรื่องเกี่ยวข้องกับธาตุ ใช้ในการเสริมดวงชะตา (คนที่เกิดวันพุธ)

ธูป 19 ดอก : เป็นเรื่องเกี่ยวข้องกับการจุดบูชาครู และใช้ในการเสริมดวงชะตา (คนที่เกิดวันพฤหัสบดี)

ธูป 20 ดอก : เป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับการสวดเสริมดวงชะตา

ธูป 21 ดอก : เป็นเรื่องเกี่ยวข้องกับการบูชาพระแม่ธรณี (ใช้ในพิธีเบิกพระแม่ธรณี) และการสวดเสริมดวงชะตา (คนที่เกิดวันศุกร์)

ธูป 32 ดอก : ใช้สวดชุมนุมเทวดาทั้ง 4 ทิศ (การไหว้ 16 ชั้นฟ้า 15 ชั้นดิน 1 โลกมนุษย์)

ธูป 38 ดอก : เป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับการบูชาพระธรรม

ธูป 39 ดอก : เป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับการบูชาพระแม่โพสพ

ธูป 56 ดอก : เป็นเรื่องเกี่ยวข้องกับคุณพระพุทธเจ้า

"ธูป" 108 ดอก : เป็นเรื่องเกี่ยวข้องกับการประกอบพิธีกรรมสวดเสริมดวงชะตา และบูชาสิ่งสูงสุดทั่วโลกทุกชั้นฟ้า

ขอบคุณข้อมูล : หนังสือ คัมภีร์ พิธีกรรมแบบโบราณของไทย


"คนโสด" ต้องรู้ ทรัพย์สินที่ดินอาจตกเป็นของแผ่นดิน หากเข้าข่ายกรณีเช่นนี้

รู้หรือไม่ “คนโสด” หากเสียชีวิตโดยที่ไม่ได้ทำพินัยกรรมไว้ก่อน ทรัพย์สินที่มีอยู่นั้นจะตกเป็นของใคร ซึ่งวันนี้มีคำตอบในส่วนของอสังหาริมทรัพย์ยอดฮิตอย่าง “ที่ดิน” มาฝากกัน

รู้หรือไม่ “คนโสด” หากเสียชีวิตโดยที่ไม่ได้ทำพินัยกรรมไว้ก่อน ทรัพย์สินที่มีอยู่นั้นจะตกเป็นของใคร ซึ่งวันนี้ คมชัดลึกออนไลน์ มีคำตอบในส่วนของอสังหาริมทรัพย์ยอดฮิตอย่าง “ที่ดิน” มาฝากกัน

จะเห็นว่าในสังคมปัจจุบัน หนุ่ม-สาวมักจะใช้ชีวิต “โสด” กันมากขึ้น นั่นเพราะคนรุ่นใหม่สามารถดูและตัวเองได้ดี และมองว่าการใช้ชีวิตคู่ รวมถึงการมีลูกอาจจะไม่ตอบโจทย์อีกต่อ ยิ่งคนที่การศึกษาสูง สามารถวางแผนเพื่อให้คุณภาพชีวิตของตัวเองดีขึ้นได้ จึงเชื่อมั่นว่าไม่น่ามีปัญหาในอนาคต แต่รู้หรือไม่ว่าการเป็น “คนโสด” นั้นหากเสียชีวิตโดยที่ไม่ได้ทำพินัยกรรมไว้ก่อน ทรัพย์สินที่มีอยู่นั้นจะตกเป็นของใคร ซึ่งวันนี้ คมชัดลึกออนไลน์ มีคำตอบในส่วนของอสังหาริมทรัพย์ยอดฮิตอย่าง “ที่ดิน” มาฝากกัน

“ที่ดิน” นับเป็นทรัพย์สินที่มีมูลค่าเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ตามกาลเวลา “ที่ดิน” จึงเป็นมรดกที่หลายครอบครัวส่งต่อสืบทอดกันมาแบบรุ่นสู่รุ่น บางครอบครัวก็อาจกำลังวางแผนการซื้อที่ดินเพื่อเก็บไว้เป็นมรดกส่งต่อไปยังรุ่นลูกรุ่นหลาน และเมื่อพูดถึงเรื่องมรดก การทำความเข้าใจเกี่ยวกับกฎหมายน่ารู้ โดยเฉพาะกฎหมายมรดกที่ดินจึงเป็นเรื่องที่ไม่ควรพลาด ลองมาดูกันว่า 4 เรื่องสำคัญรู้เกี่ยวกับกฎหมายมรดกที่ดินมีอะไรบ้าง

กฎหมายมรดก "ที่ดิน" ที่ควรรู้

กฎหมายมรดกที่ดิน คือ กฎหมายที่เกี่ยวกับที่ดินที่ตกทอดไปยังทายาทเมื่อเจ้าของที่ดินเสียชีวิตเเล้ว ซึ่งรายละเอียดและกฎหมายมรดกที่ดินที่ควรทราบมีดังนี้

1. กฎหมายมรดกที่ดินที่ควรทราบประการแรกคือมรดกที่ดินจะตกเป็นของบุคคลที่เจ้าของที่ดินระบุไว้ในพินัยกรรม ซึ่งเรียกว่า “การได้รับมรดกที่ดินโดยสิทธิตามพินัยกรรม”

2. กฎหมายมรดกที่ดินข้อที่ 2 คือ ในกรณีที่เจ้าของที่ดินไม่ได้ทำพินัยกรรมไว้ ที่ดินจะตกทอดแก่ทายาทตามลำดับของเจ้าของที่ดิน ซึ่งเป็น “ทายาทโดยสิทธิตามกฎหมาย”

3. กฎหมายมรดกที่ดินข้อถัดมาคือผู้ที่มีสิทธิได้รับมรดกที่ดินจะต้องไปขอจดทะเบียนรับโอนมรดกที่ดินกับสำนักงานที่ดินโดยกำหนดรายละเอียดของเอกสารที่นำไปจดทะเบียนไว้ดังนี้

• กฎหมายมรดกที่ดินกำหนดว่าถ้าเอกสารเป็น โฉนดที่ดิน น.ส.3 ข. ขอจดทะเบียนรับโอนมรดกที่ดินที่สำนักงานที่ดินจังหวัด หรือสำนักงานที่ดินจังหวัดสาขา

• ตามกฎหมายมรดกที่ดินถ้าเอกสารเป็น น.ส.3, น.ส.3 ก. ขอจดทะเบียนรับโอนมรดกที่ดินที่สำนักงานที่ดินอำเภอ

4. ในกรณีที่พื้นที่นั้นๆ ยกเลิกอำนาจของนายอำเภอเกี่ยวกับกฎหมายมรดกที่ดินไปแล้ว ผู้ที่ได้รับมรดกที่ดินที่มีเอกสารเป็นโฉนดที่ดิน น.ส.3 หรือ น.ส.3 ก.,น.ส.3 ข. ต้องไปขอจดทะเบียนที่สำนักงานที่ดินจังหวัด หรือสำนักงานที่ดินจังหวัดสาขาที่ที่ดินตั้งอยู่ตามที่กฎหมายมรดกที่ดินกำหนด

ใครมีสิทธิรับมรดกที่ดินบ้าง ในทางกฎหมายมรดกที่ดินการส่งมอบมรดกที่ดินแบ่งผู้ที่มีสิทธิรับมรดกที่ดินออกเป็น 2 รูปแบบ ดังนี้

1. กฎหมายมรดกที่ดินกำหนดว่าผู้ได้รับมรดกที่ดินต้องมีสิทธิตามพินัยกรรม ผู้ได้รับมรดกที่ดินโดยสิทธิตามพินัยกรรม หรือผู้รับพินัยกรรม คือผู้ที่เจ้าของที่ดินทำพินัยกรรมส่งต่อมรดกที่ดินนั้นโดยระบุชื่อผู้สืบทอดไว้ชัดเจนตามที่กฎหมายมรดกที่ดินกำหนด

2. กฎหมายมรดกที่ดินกำหนดว่าผู้ได้รับมรดกที่ดินต้องเป็นทายาทโดยสิทธิตามกฎหมายหรือทายาทโดยธรรม เมื่อเจ้าของที่ดินไม่ได้ทำพินัยกรรมไว้ผู้ที่มีสิทธิ์ในการรับมรดกที่ดินจะเป็นไปตามกฎหมายมรดกที่ดินที่มีการลำดับทายาทโดยสิทธิตามกฎหมายหรือทายาทโดยธรรมไว้ดังนี้

ลำดับผู้ได้รับมรดก “ที่ดิน”

ลำดับที่ 1 ผู้สืบสันดาน คือ บุตรโดยชอบด้วยกฎหมาย, บุตรนอกกฎหมายที่บิดารับรองแล้ว และบุตรบุญธรรม

ลำดับที่ 2 บิดามารดา ในกรณีของบิดา เฉพาะบิดาที่ชอบด้วยกฎหมายเท่านั้นที่มีสิทธิรับมรดก

ลำดับที่ 3 พี่น้องร่วมบิดามารดาเดียวกัน

ลำดับที่ 4 พี่น้องร่วมแต่บิดาหรือมารดาเดียวกัน หรือที่เรามักเรียกกันว่า “พี่น้องต่างพ่อหรือต่างแม่”

ลำดับที่ 5 ปู่ ย่า ตา ยาย

ลำดับที่ 6 ลุง ป้า น้า อา

ซึ่งการแบ่งมรดกจะใช้หลักการ “ญาติสนิทตัดสิทธิญาติห่าง” ทายาทลำดับต้นมีสิทธิรับมรดกก่อนทายาทลำดับหลัง แต่มีข้อยกเว้นสำหรับทายาทลำดับที่ 1 และที่ 2 จะไม่ตัดสิทธิกันเอง

***ในกรณีที่ไม่มีผู้สืบสันดาน ทรัพย์สินทั้งหมดจะตกเป็นของแผ่นดิน***

อย่างไรก็ตาม คู่สมรสก็ถือเป็นทายาทโดยธรรมเช่นกัน เพียงแต่ไม่ตกอยู่ภายใต้บังคับตามลำดับข้างต้นนี้ โดยจะมีกฎหมายที่ใช้บังคับเป็นกรณีพิเศษ หากมีคู่ครองที่จดทะเบียนสมรสจะได้ใช้สิทธิตามกฎหมายได้อย่างเต็มที่ในลำดับที่ 1 เท่ากันกับผู้สืบสันดาน

ดังนั้นเพื่อไม่ไห้เกิดปัญหาดังกล่าว “คนโสด” ควรทำพินัยกรรมระบุไว้ให้ชัดเจน ว่าทรัพย์สมบัติที่มีอยู่จะจัดการแบ่งสรรปันส่วนให้ใคร อย่างไรบ้าง จะได้ไม่เกิดปัญหาในอนาคต ทั้งนี้การเขียนพินัยกรรมด้วยตัวเองสามารถทำไว้ได้ตั้งแต่เนิ่นๆ โดยสามารถเปลี่ยนแปลงได้เสมอ ตราบเท่าที่เจ้ามรดกต้องการ


ปอมเปอี” มรดกโลกที่อิตาลี หรือจะล่มสลาย..อีกครั้ง

“ปอมเปอี” อดีตเมืองที่แสนจะรุ่งเรืองในสมัยอาณาจักรโรมัน ที่ถือกำเนิดขึ้นตั้งแต่เมื่อราว 550 ปีก่อนคริสตกาล และผนวกเข้ากับอาณาจักรโรมัน เมื่อช่วง 80 ปีก่อนคริสตกาล ก่อนที่ภูเขาไฟวิสุเวียส จะเกิดระเบิดขึ้น ในปี ค.ศ.79

ทำให้เมืองปอมเปอี ถูกทำลาย และฝังอยู่ใต้เถ้าถ่านและหินภูเขาไฟที่หนาหลายเมตร ว่ากันว่า มีผู้เสียชีวิตจากเหตุภูเขาไฟระเบิดครั้งนั้นกว่าหมื่นราย ทำให้ปอมเปอีกลายเป็นเมืองที่ล่มสลายในที่สุด

หลังจากนั้นราว 1,500 ปี จึงได้มีการขุดค้นพบเมืองปอมเปอีอีกครั้ง และได้พบกับเรื่องราวอันน่าสลดใจของเมืองนี้

ปัจจุบันปอมเปอี ตั้งอยู่ใกล้กับเมืองเนเปิลส์ ประเทศอิตาลี และได้รับการแต่งตั้งจากองค์การการศึกษา วิทยาศาสตร์ และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ หรือยูเนสโก ให้เป็น “แหล่งมรดกโลก” และถือเป็นแหล่งท่องเที่ยวสำคัญอีกแห่งของประเทศอิตาลี

หากแต่การเมืองโบราณแห่งนี้ ดูเหมือนกำลังใกล้ที่จะล่มสลายปีอีกครั้ง อันเนื่องมาจากการถูกปล่อยปละละเลยมานานหลายสิบปี การขาดซึ่งการบูรณะดูแลอย่างเป็นระบบ เนื่องจากจำนวนนักท่องเที่ยวที่ไปเที่ยวจำนวนมาก และทำให้เมืองเก่าแก่แห่งนี้ได้รับความเสียหาย

อย่างเมื่อตอนปี 2010 ที่ผ่านมา ก็มีอาคารที่เหล่านักรบกลาดิเอเตอร์ เคยใช้เป็นที่ฝึก พังถล่มลงมา

ถือเป็นการส่งสัญญาณให้ทางการอิตาลี ต้องลุกขึ้นมาจริงจังกับการปกป้องแหล่งมรดกโลกแห่งนี้ ที่ยังต้องมีการขุดเจาะอยู่ตลอดเวลา จนทำให้เกิดการสั่นสะเทือนไปยังโครงสร้างต่างๆที่มีอยู่

อีกทั้งยังต้องต่อสู้กับสภาพอากาศที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรุนแรงของโลก ฝนที่ตกลงมาอย่างหนัก แต่ขาดซึ่งการระบายน้ำที่ดี ทำให้เมืองโบราณแห่งนี้อยู่ในสภาพที่ย่ำแย่ลงทุกวัน

จนเกิดเป็นโครงการ “เดอะ เกรท ปอมเปอี” ที่จะใช้เงินจากกองทุนสหภาพยุโรป ราว 105 ล้านยูโร เพื่อปกป้องไม่ให้ปอมเปอีถูกทำลายไปมากกว่านี้

ขณะที่มีการแต่งตั้งนายกาเบรียล ซูคตรีเกล นักโบราณคดี ให้มาดูแลปอมเปอี และได้มีการนำเทคโนโลยีสมัยใหม่เข้ามาช่วยเหลือ ทั้งปัญญาประดิษฐ์ หรือเอไอ และหุ่นยนต์ ที่จะเข้ามาช่วยในการฟื้นฟูบูรณะเมืองโบราณแห่งนี้

เพื่อป้องกันไม่ให้ปอมเปอี ต้องล่มสลายไปอีกครั้ง


ไอคิวทะลุฟ้า - นศ.เภสัชฯ มธ. คว้ารางวัลชนะเลิศ แผนการตลาด‘นาฬิกาเตือนก่อนล้ม’

คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ พร้อมพัฒนาเภสัชกรไทย ยุคดิสรัปชั่น ล่าสุดทีมนักศึกษาคิดค้นนวัตกรรมและแผนการตลาด เอลด้าแบนด์ (ELDARBAND) นวัตกรรมช่วยป้องกันและ ตรวจจับการล้มในผู้สูงอายุ คว้ารางวัลชนะเลิศระดับประเทศจาก การประกวด “แผนการตลาดของสมาคมเภสัชกรการตลาด (MPAT) โปรเจ็กต์ Start-up Pharma” จัดโดยศูนย์ประสานงานการศึกษาเภสัชศาสตร์แห่งประเทศไทย (ศ.ศ.ภ.ท.) และสมาคมเภสัชกรการตลาด (ประเทศไทย)

รศ.ดร.เภสัชกร อรัมษ์ เจษฎาญานเมธา คณบดีคณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กล่าวว่า ทีมงานประกอบด้วย 4 นักศึกษาเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ได้แก่ น.ส.ยงธิดา แสวงสุข น.ส.ณัฐกฤตา ครองแถว นายสรัช ธีระสุต และ นายธนกฤต โสเจยยะ โดยมี ดร.เภสัชกร สุจินต์ นิทัศน์ปกรณ์ เป็นอาจารย์ที่ปรึกษา ขณะนี้ทีมงานผู้เข้าประกวดนำแนวคิดของนวัตกรรมและแผนการตลาดของเอลด้า แบนด์เข้าสู่โครงการบ่มเพาะวิสาหกิจของมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เพื่อพัฒนาแนวคิดของนวัตกรรมนี้ให้เป็นผลิตภัณฑ์เฮลท์ เทครองรับสังคมสูงวัย

ยงธิดา แสวงสุข หรือ ต้องตา นักศึกษาปีที่ 5 คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กล่าวว่าแนวคิดการสร้างและพัฒนานวัตกรรมเอลด้าแบนด์เพื่อตอบโจทย์การดูแลผู้สูงอายุที่อยู่คนเดียวให้ปลอดภัยและได้รับการช่วยเหลือทันท่วงที โดยทีม นำความรู้ทางด้านเภสัชศาสตร์ผนวกกับเทคโนโลยีเพื่อริเริ่มการสร้างแผนการตลาดของนวัตกรรมเอลด้าแบนด์ เพื่อแก้ปัญหานี้โดยแจ้งเตือน อีกทั้งช่วยตรวจจับปัญหาสุขภาพ เช่น ตรวจจับยาที่รับประทานที่มี ผลข้างเคียง ง่วงนอน เวียนหัว ส่วนแนวทางพัฒนาผลิตภัณฑ์ในอนาคตนั้นจะเน้นความง่าย เพียงสวมข้อมือเหมือนนาฬิกาซึ่งมีเลขบอกเวลา หากผู้สูงอายุเคลื่อนไหวกะทันหันผิดไปจากปกติ อุปกรณ์จะแจ้งเตือนด้วยการสั่นและเสียง อีกทั้งเพิ่มแนวคิดให้ผลิตภัณฑ์สามารถส่งข้อมูลจีพีเอสระบุตำแหน่งและข้อมูลจำเพาะที่จำเป็นต่อการรักษาไปยัง โรงพยาบาลที่อยู่ใกล้เคียงโดยทันที

จุดเด่นของเอลด้าแบนด์ที่ทางทีมเตรียมไว้คือจะสร้างให้ผลิตภัณฑ์นี้เป็นแบนด์อัจฉริยะหนึ่งเดียวที่มีฟังก์ชันป้องกัน “ก่อนการล้ม” ด้วยการตรวจจับสถานะสุขภาพของผู้สูงวัย ได้แก่ อัตราการเต้นของหัวใจ ความดัน ระดับน้ำตาล ระดับออกซิเจนในเลือด อุณหภูมิร่างกายและผิวหนัง หากผู้ใช้งานมี “ความเสี่ยงที่จะล้ม” เอลด้าแบนด์จะแจ้งเตือนไปยังแอพพลิเคชั่นที่เชื่อมต่อทันที