ครบเครื่อง
ญ. อมตะ



รีวิวงานศพคนกรุง สาวอีสาน อยากให้แถวบ้านจัดแบบนี้บ้าง เรียบง่ายไม่ยุ่งยาก

การสวดอภิธรรม เป็นพิธีกรรมทางพระพุทธศาสนา ที่ถือเป็นธรรมเนียมหรือประเพณีที่พระสงฆ์ และพุทธศาสนิกชนใช้เป็น พิธีบ าเพ็ญกุศลที่เกี่ยวเนื่องกับศพหรือผู้ตาย แม้ว่าคนไทยจะยึดถือเป็นแนวปฏิบัติเดียวกัน แต่ก็ไม่เหมือนกันไปเสียหมดเพราะในแต่ละภาคของประเทศ มีประเพณีในรูปแบบที่แตกต่างกันออกไป

เกี่ยวกับเรื่องนี้ ผู้ใช้งาน Tiktok ชื่อว่า @uncharee_p17 ได้โพสต์คลิป รีวิวงานศพคนกรุง หลังจากที่ได้ไปร่วมงานสวดอภิธรรมที่วัดแห่งหนึ่ง โดยภายในงานจัดอย่างเรียบง่าย และระหว่างที่พระกำลังสวดเจ้าภาพได้จัดเซทของว่างให้กับแขกที่มาร่วมงาน จนทำให้เธอนั้นรู้สึกว่าอยากให้ที่อีสานแถวบ้านจัดงานอย่างเรียบง่ายเช่นนี้บ้าง

เจ้าของคลิประบุข้อความเอาไว้ว่า "รีวิวงานศพคนกรุง งานศพคนไทยัดง่ายๆ ไม่มีมาเทียวกินทั้งวัน ถึงเวลามาสวด สวดเสร็จแจกขนม ขม เนย ไม่มีเลี้ยงยุ่งยาก อยากให้ภาคอีสานแถวบ้านฉันจัดแบบจัง ไม่ชอบหมู 100 โล ไก่ 100 โล ไม่พอห่อ พูดถึงเรื่องซองทำบุญ ขนาดไม่ได้เลี้ยงยังใส่หนักๆ คนบ้านใส่ 100 เลี้ยงไม่ดี อาหารไม่อร่อย ไม่ได้ห่อ นินทาทั้งชาติ"

คลิปนี้ได้รับความสนใจจากชาวเน็ตเป็นจำนวนมาก ซึ่งบางรายได้เข้ามาแสดงความคิดเห็นในทำนองว่า เห็นด้วยกับสิ่งที่เจ้าของคลิปคิด และอยากให้คนในระแวกบ้านจัดงานอย่างเรียบง่ายเช่นกัน แต่อาจจะติดอยู่ที่ธรรมเนียมปฏิบัติที่ยึดถือกันต่อมา อาจทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงได้ยาก ยิ่งถ้าเป็นคนในครอบครัวมีความเห็นไม่ตรงกันแล้วก็ยิ่งเป็นเรื่องที่ยากเช่นกัน

นอกจากนี้ ยังมีชาวเน็ตเข้ามาแสดงความคิดเห็นอีกเป็นจำนวนมาก บางรายระบุข้อความเอาไว้ว อาทิ

อยู่ที่เจ้าภาพครับว่าจะจัดอย่างไร ทุกอย่างต้องปรับเข้ากับสถานการณ์เห็นใจและเข้าใจเจ้าภาพครับ

กรุงเทพเป็นแบบนี้นานแล้ว มาด้วยใจ ใส่ซองตามกำลัง ไม่เน้นกิน เข้าใจซึ่งกันและกันครับ

มันเป็นวัฒนธรรมท้องถิ่นครับ เปลี่ยนยาก เพราะถ้าเราคนเดียว ญาติๆ จะไม่ยอม

จริงครับยิ่งตอนเผ่าบริจาคให้หน่วยงานอื่นอีกแทนทีจะเหลือบ้างหมดแถมติดลบ

ถ้ามีคนนำ น่าจะมีคนทำตามนะคะ เพราะว่าประหยัดกว่ากันเยอะ ลูกหลานจะได้ไม่เป็นหนี้

จริงๆอยู่ที่เจ้าภาพล้วนๆ เลยค่ะ แต่ ตจว.ญาติเยอะ แค่รู้ข่าวทั้งญาติทั้งคนรู้จักนับถือ ไม่ชวนก็มาร่วมงาน เจ้าภาพเลยต้องเตรียมอาหารว่าอาหารจานเดียวไว้


หัวร้อนจี๋ 'ลูกค้า' รีวิวอาหารแบบนี้ เหมือนเกลียดกันตั้งแต่ชาติก่อน

กลายเป็นดราม่าร้านอาหารทันที หลังเจ้าของร้านอาหารดังแห่งหนึ่ง ในจังหวัดขอนแก่น ออกมาโพสต์ภาพการรีวิวของ ลูกค้า กลุ่มหนึ่ง ที่เข้ามาใช้บริการที่ร้าน เป็นรีวิวเหมือนเกลียดกันมาแต่ชาติปางก่อน ด่าหมดตั้งแต่อาหารยันชุดเด็กเสิร์ฟ เจ้าของร้านถึงกับงงทำอะไรผิดขนาดนั้นหรอ

วันที่ 5 มี.ค. 2567 ผู้ใช้เฟซบุ๊กรายหนึ่ง ซึ่งเป็นเจ้าของร้านอาหารชื่อดัง ในจังหวัดขอนแก่น และเขาโดน ลูกค้า กลุ่มหนึ่งที่เข้ามาใช้บริการ ได้ออกมาและรีวิวแบบเสียหาย ด่าหมดไม่สน ด่าตั้งแต่อาหารยันเด็กเสิร์ฟ โดยเขาเขียนแคปชั่นว่า

"แนะนำดีเราดีใจ เพราะอย่างน้อยลูกค้าสะท้อนจุดบอดให้เราได้แก้ไข แต่แนะนำไม่ดี ก็ขอหน่อย สร้างร้านมายากลำบาก ก็รักและหวนแหนที่นี่เพราะทั้งชีวิตตัวเองและลูกน้องเกือบ 60 คน ก็ฝากไว้กับที่นี่ คุณแค่เข้ามา 1-2 ชม. อย่ามาทำลาย 8 ปีที่เราสร้างมาเลยนะครับ ขอร้องหละ เกินไปจริงๆ"

โดย ลูกค้า ได้รีวิวด้วยถ้อยคำรุนแรงว่า "มาลองทานครั้งแรกจากคำแนะนำของคนรู้จัก สั่งข้าวผัดสับปะรดกับข้าวคลุกกะปิ มาทานกับเพื่อนคนละจาน เค็มมากๆ ทั้งสองจาน เค็มแบบไตพัง จนเพื่อนทนไม่ไหวต้องบอกพนักงาน พอพนักงานเปลี่ยนข้าวคลุกกะปิให้ใหม่ ทำกลับมาก็ยังคงเค็มมากอยู่เหมือนเดิม พนักงานก็มีแต่ผู้ชาย ชุดยูนิฟอร์มก็สีดำดูไม่สะอาดตา ราคาก็แพงเกินไปไม่คุ้มค่า และยังคิดค่าเซอร์วิสชาร์ทที่ไม่ควร"

ต่อมาเจ้าของร้านได้ตอบกลับ ลูกค้า ว่า "ผมว่าลูกค้าเอามาตรฐานตัวเองและเพื่อนวัดคุณค่าคนอื่นเกินไปครับ ข้าวคลุกกะปิไม่ได้เค็มขนาดนั้น ต่อให้เค็ม แจ้งร้านก็พร้อมทำให้ใหม่ ถ้ายังเค็มอยู่คงไม่ใช่ร้านทำเค็ม คงเป็นที่ลูกค้าที่ไม่กินเค็ม ก็ควรจะยกเลิกไปเลย เพราะขนาดปรับรสชาติตามลูกค้าต้องการ

แล้วยังกินไม่ได้ก็บอกกันดีๆ ข้าวคลุกกะปิเราเป็นเมนูขายดี และที่บอกพนักงานเรามีแต่ผู้ชาย แต่นั้นเป็นเพราะเอกลักษณ์ของเรา เปิดร้านมา 8 ปี ก็เป็นแบบนี้ คุณเพิ่งหลงมาครั้งเดียว เข้ามาจะมากด 1 ดาว แล้วติว่ามีแต่ผู้ชาย ผมว่าอันนี้ใจร้ายไป ลูกค้าแบบนี้อย่าวนมาอีกนะครับ ไปแล้วไปเลย ขอบคุณครับ"

หลังเรื่อง ลูกค้า กลุ่มนี้ถูกแชร์ไปในโลกออนไลน์ ชาวเน็ตก็พากันไปขุดโพสต์ต่างๆ ของ ลูกค้า กลุ่มนี้เคยรีวิว พบว่าพวกเขามักให้ 1 ดาว และคอมเมนต์ต่อว่าร้านอาหารและคาเฟ่ต่างๆ อยู่เป็นประจำ ไม่ใช่แค่ร้านเจ้าของโพสต์เพียงร้านเดียว


เปิดวาร์ป 'พิ้งกี้' สาวผมทอง ที่อยู่ในศึกกะเทย สุขุมวิท11 สวยพุ่ง เซ็กซี่มาก

ข่าวใหญ่ที่หลายคนให้ความสนใจ และยกย่องในความสามัคคีของ "กะเทยไทย" ที่ช่วยกันกู้ศักดิ์ศรี หลังกะเทยไทย 4 คน ถูก "กะเทยฟิลิปปินส์" กว่า 20 คน รุมตบ จนได้รับบาดเจ็บ แถมยังพากันขโมยทรัพย์สิน เท่านั้นยังไม่พอยังถ่ายคลิปล้อเลียนเหตุการณ์ลงในโซเชียล ร้อนจนกะเทยไทย กว่า 2 พันคน รวมตัวกันโดยไม่ได้นัดหมาย ที่สุขุมวิท11

ซึ่งเหตุการณ์นี้ กลายเป็นที่พูดถึงและเป็นไวรัลในโซเชียลมากมาย จนติด สุขุมวิท11 ในโลกทวิตเตอร์ (X) ซึ่ง 1 ในนั้น คือสาวผมทอง ที่อยู่ในศึกกะเทยเมื่อคืนนี้ หน้าสวย จมูกพุ่ง จนหลายคนสงสัยว่าเธอคือใครกันหนอ ทำไมสวยออร่าพุ่งได้ขนาดนี้

พบว่าสาวคนนี้คือ "พิ้งกี้" หรือ "พิ้งกี้ ฟ็อกซี่" อินฟลูเอนเซอร์สาวไทยชาวใต้ เจ้าของอินสตาแกรม และ TikTok ที่มีชื่อว่า pinkyfoxi และนอกจากหน้าสวยแล้ว พบว่ารูปร่างของเธอก็สวยเซ็กซี่ไม่เบา ซึ่งในโลกโซเชียลนั้น ต่างพากันบอกว่า เธอสวยเหมือนตุ๊กตาบาร์บี้ บางมุมเธอมีใบหน้าคล้ายกับนางเอกสาว "อั้ม พัชราภา"


"Sinon" อินฟลูฯ ชาวฟิลิปปินส์ โพสต์หลังมีศึกสุขุมวิท 11

"Sinon Loresca" อินฟลูฯ LGBTQ+ ชาวฟิลิปปินส์ โพสต์หลังมีศึกสุขุมวิท 11 ขณะที่คนไทยเข้าไปคอมเมนต์เพียบ

วันที่ 5 มี.ค.67 จากกรณีเกิดการกระทบกระทั่ง ระหว่าง สาวประเภทสอง หรือ กลุ่ม LGBTQ+ หรือที่ในโลกโซเชียลเรียกว่า "พี่กะเทย" ที่สุขุมวิท 11 โดยจุดเริ่มต้น มีการอ้างว่า มาจากการถูกยั่วยุของกะเทยฟิลิปปินส์ จนกะเทยไทยถูกทำร้ายบาดเจ็บ ก่อนมีการแชร์กันในโลกโซเชียลเพื่อมาทวงศักดิ์ศรี จากนั้นก็กลายเป็นศึกสุขุมวิท 11 ตามที่เสนอข่าวไปแล้วนั้น

เกี่ยวกับเรื่องนี้ แน่นอนว่า นอกจากอินฟลูเอนเซอร์ฝั่งไทย จะออกมาแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับเรื่องนี้ โดยขอปกป้องศักดิ์ศรีของ LGBTQ+ ไทย และเรียกร้องให้มีการตรวจสอบเกี่ยวกับกลุ่ม LGBTQ+ ฟิลิปปินส์ด้วยว่า เข้ามาทำอะไรในประเทศไทย

อีกด้าน ก็มีอินฟลูเอนเซอร์ของฟิลิปปินส์ อย่าง "Sinon Loresca" LGBTQ+ กล้ามแน่น ที่มีใจรักในการเดินแบบ จนได้ฉายา King of Catwalk ซึ่งมีผู้ติดตามจำนวนมากกว่า 4.9 ล้านคน และยังเคยเดินทางมาประเทศไทยอยู่บ่อยครั้ง จนมีแฟนคลับชาวไทย ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก หลังมีเหตุการณ์ศึกสุขุมวิท โดยระบุว่า "Thai people are so KIND and RESPECTFUL" พร้อมกับอีโมจิหัวใจและธงชาติไทย รวมทั้ง "Sawasdeekkaa"

หลังจากโพสต์ดังกล่าวถูกแชร์ออกไป ก็มีคนเข้ามาแสดงความคิดเห็นจำนวนมาก ขณะที่คนไทยเอง ที่ติดตาม Sinon อยู่ได้เข้าไปแสดงความเห็นเช่นกัน อาทิ รู้ใจ คนไทยไม่ทำร้ายใครก่อน ถ้าไม่มีใครมาทำร้ายเรา ชาวฟิลิปปินส์บางคนแค่หาเรื่องกับคนไทยเท่านั้น, ประเทศไทย ยินดีต้อนรับ, ขอบคุณ เรายินดีต้อนรับคุณเสมอ, พวกเรารักคุณ ฯลฯ.


ได้ประกันตัวแล้ว "น้องแชมป์" หนุ่มไทยกล้ามโต หลังถูกจับที่ "สุขุมวิท 11"

ได้ประกันตัวแล้ว "น้องแชมป์" หนุ่มไทยกล้ามโต ที่ตำรวจจับกุมในศึกกอบกู้ศักดิ์ศรี "กระเทยไทย" ที่ซอย "สุขุมวิท 11" บอกขอบคุณกำลังใจจากกลุ่ม LGBTQ+ และทุกๆ คน

วันที่ 5 มีนาคม 2567 จากเหตุการณ์ชุลมุนการรวมตัวกันของกลุ่ม LGBTQ+ จำนวนมากที่เรียกตัวเองว่า "กะเทยไทย" บริเวณหน้าโรงแรมแห่งหนึ่งภายในซอยสุขุมวิท 11/1 ที่อ้างว่าเป็นการรวมตัวเพื่อรอปะทะกับกลุ่มสาวสองฟิลิปปินส์ หลังจากมีปัญหาทำร้ายร่างกายกัน จนพี่กะเทยคนไทยได้รับบาดเจ็บ แต่คู่กรณีไม่กล้าลงมา ทำให้ผู้ประสานงานและเจ้าหน้าที่ตำรวจได้แจ้งขอความร่วมมือเคลียร์พื้นที่ให้ย้ายไปรอที่ สน.ลุมพินี จนกลายเป็นประเด็นที่ถูกแชร์ และพูดถึงต่อเนื่องในโลกออนไลน์ดังที่นำเสนอข่าวไปนั้น

ซึ่งในเหตุการณ์ดังกล่าวได้มีการแชร์ภาพ "น้องแชมป์" หนุ่มไทยกล้ามโต ที่เข้าไปช่วยเหลือกลุ่มกะเทยไทย จนถูกตำรวจควบคุมตัว ไป สน.ลุมพินี พร้อมกับผู้ต้องหาที่เป็นกะเทยฟิลิปปินส์ แต่ก็ยังมีประเด็นที่ถูกวิพากษ์วิจารณ์ถึงความเท่าเทียม เมื่อคนเห็นว่า "น้องแชมป์" นั้นเป็นเพียงคนเดียวที่ถูกใจใส่กุญแจมือ

ต่อมา มีรายงานว่า "น้องแชมป์" ก็ได้ให้สัมภาษณ์ว่า ยังไม่ความรู้สึกไม่เท่าเทียม ที่คนไทยดำเนินการค่อนข้างไว แต่กลุ่มชาวต่างชาติยังไม่มีข้อกล่าวหาใดๆ และยังมีข้อคำถามถึงกลุ่มคนต่างชาติที่เดินทางออกนอกประเทศไปแล้ว และยังไม่ได้เดินทางออกไป ถ้าหากทำร้ายคนไทยแล้ว เดินทางออกไป จะยังสามารถดำเนินคดีได้หรือไม่

อย่างไรก็ตาม ล่าสุด "น้องแชมป์" ได้โพสต์ข้อความผ่านทางเฟซบุ๊กส่วนตัว และใน IG สตอรี่ โดยระบุว่า ตอนนี้ผมได้รับประกันตัวแล้ว จากกรณีที่เกิดขึ้นทางผมไม่ได้มีการระดมทุน หรือรับบริจาคเพื่อการประกันตัวใดๆ ทั้งสิ้น และขอบคุณทุกกำลังใจจากกลุ่ม LGBTQ+ และทุกๆคน ขอบคุณครับ


"วัชระ" รุกต่อ คดี "ฝรั่งเตะหมอสาว" ร้องสอบ "มูลนิธิช้าง-ตำรวจ-ที่ดิน"

นายวัชระ เพชรทอง อดีต สส.ปชป. ขยายปมรุกต่อ กรณี "ฝรั่งเตะหมอสาว" ส่งเรื่องร้องสอบ มูลนิธิฯ-ตำรวจใหญ่อยู่เบื้องหลัง พ่วงที่ดินทับที่หลวง หรือไม่ หากพบว่ามีความผิด ให้ดำเนินการตามกฎหมายอย่างเด็ดขาด

เมื่อวันที่ 5 มีนาคม 2567 นายวัชระ เพชรทอง อดีต สส.พรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) เปิดเผยว่า จากกรณีที่เป็นข่าวเหตุฝรั่งทำร้ายร่างกาย น.ส.ธารดาว จันทร์ดำ อายุ 26 ปี แพทย์ประจำโรงพยาบาลดีบุกที่บริเวณหาดยามู จังหวัดภูเก็ต เมื่อวันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2567 และยังกล่าวคำหยาบคายดูถูก ซึ่งเป็นพฤติกรรมที่ผิดกฎบัตรปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชนอย่างร้ายแรง และยังปรากฏมีข้อเท็จจริงว่า นายออสบีทเฟร์ หรือนายเดวิด เป็นเจ้าของปางช้างแห่งหนึ่งในจังหวัดภูเก็ต และมีการเช่าช้างมาประกอบธุรกิจศูนย์อนุรักษ์ช้างภูเก็ต ชื่อนายออสบีทเฟร์ (MR.URSBEATFEHR) ในนามบริษัท อีเลเฟนท์ แซงชัวรี่ พาร์ค ภูเก็ต จำกัด แต่มีข่าวว่า ซื้อช้างมาอนุรักษ์แค่ตัวเดียว ที่เหลือ คือ การเช่าช้างมาประกอบธุรกิจศูนย์อนุรักษ์ช้างโดยเรียกรับเงินบริจาค อีกทั้งวิลล่าหรูที่พักของนายออสบีทเฟร์หรือนายเดวิด ที่ตั้งอยู่บริเวณชายหาดอ่าวยามู ต.ป่าคลอก จ.ภูเก็ต นั้น มีค่าเช่าหลังละ 1 ล้านบาทต่อเดือน จึงเป็นที่สงสัยว่า มีรายได้จากการประกอบธุรกิจอะไร ถึงสามารถใช้ชีวิตอย่างหรูหราในจังหวัดภูเก็ตได้ กอปรกับมีพฤติกรรมอาจทำตนเป็นผู้มีอิทธิพลก้าวร้าวทำร้ายคนไทย ชูนิ้วกลางใส่รถพยาบาลที่ขับตามหลังบนท้องถนน ฯลฯ

"ดังนั้นเพื่อให้คลายความกังวลและข้อสงสัยจากพี่น้องประชาชนและศักดิ์ศรีของประเทศ ผมจึงได้หนังสือร้องเรียนถึง 3 บุคคลสำคัญ คือ 1. นายอรรษิษฐ์ สัมพันธรัตน์ อธิบดีกรมการปกครอง เพื่อขอให้ตรวจสอบมูลนิธิอนุรักษ์ช้างภูเก็ต นายออสบีทเฟร์หรือนายเดวิด ชาวสวิตเซอร์แลนด์ ฝรั่งเตะหมอสาว 2. พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล ผบ.ตร. ขอให้ตรวจสอบเจ้าหน้าที่ตำรวจ ที่เกี่ยวข้องกับ นายออสบีทเฟร์ หรือนายเดวิด และ 3. นายพรพจน์ เพ็ญพาส อธิบดีกรมที่ดิน เพื่อขอให้ตรวจสอบที่ดินเอกสาร น.ส.3 ก. เลขที่ 3411 บริเวณที่เกิดเหตุฝรั่งคนดังกล่าว ว่า ออกโดยผิดกฎหมายหรือไม่ และจะดำเนินการอย่างไร จึงขอให้กรมการปกครองดำเนินการตรวจสอบมูลนิธิอนุรักษ์ช้างภูเก็ต ของนายออสบีทเฟร์หรือนายเดวิดว่า ผิดกฎหมายข้อใดหรือไม่ หากพบพฤติการณ์เข้าข่ายเป็นความผิดแล้ว ก็ขอให้ท่านดำเนินการตามกฎหมายยุบเลิกมูลนิธิโดยเร็วที่สุดต่อไป

เช่นเดียวที่ร้องถึง ผบ.ตร. เพื่อขอให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ดำเนินการตรวจสอบว่า มีตำรวจชั้นผู้ใหญ่หนุนหลัง และมีพฤติการณ์ให้ความช่วยเหลือนายออสบีทเฟร์หรือนายเดวิด จริงหรือไม่ ต้องมีใครเป็นผู้สั่งการให้ตำรวจไปพบผู้เสียหายในที่เกิดเหตุ และแนะนำในทางที่ผิดๆ หากมีเจ้าหน้าที่ตำรวจเกี่ยวข้องควรต้องย้ายออกจากพื้นที่และให้ดำเนินคดีนี้อย่างตรงไปตรงมา และขอให้อบรมเจ้าหน้าที่ตำรวจมีหน้าที่ต้องพิทักษ์ศักดิ์ศรีของชาติ อย่าเห็นคนต่างชาติดีกว่าคนไทย" นายวัชระ กล่าว และว่า ส่วนที่ตนได้ร้องถึงนายพรพจน์ เพ็ญพาส อธิบดีกรมที่ดิน เพื่อขอให้กรมที่ดิน ดำเนินการตรวจสอบเอกสาร น.ส.3 ก. เลขที่ 3411 บริเวณแหลมยามู ต.ป่าคลอก อ.ถลาง จ.ภูเก็ต จำนวน 106-0-19 ไร่ ออกเมื่อวันที่ 6 กรกฎาคม 2548 ออกทับที่สาธารณะหรือที่หลวงอื่นใดหรือไม่ หากผิดกฎหมายให้ดำเนินการตามกฎหมายอย่างเฉียบขาด อย่าละเว้นโดยเร็วที่สุดต่อไป