ครบเครื่อง
ญ. อมตะ



ครบเครื่อง ญ.อมตะ 2 เมษายน 2565

8 ประโยชน์ของ “กาแฟดำ” แคลอรีต่ำ มีวิตามิน ดีต่อสุขภาพ

“กาแฟ” หนึ่งในเครื่องดื่มยอดนิยมของคนทั่วโลก มีกลิ่นหอมเป็นเอกลักษณ์จากเมล็ดกาแฟคั่วบด ที่นำไปทำเครื่องดื่มได้หลากหลายเมนู เช่น เอสเพรสโซ ลาเต้ คาปูชิโน หรือแบบไม่ไม่มีส่วนผสมอื่นอย่าง “กาแฟดำ” ที่ได้รับความสนใจในกลุ่มคนรักสุขภาพ และผู้ที่ต้องการดูแลรูปร่าง เพราะนอกจากจะมีรสชาติอร่อยเข้มข้นแล้ว ยังมีงานวิจัยที่ออกมาระบุถึงคุณประโยชน์ต่างๆ บทความนี้ ไทยรัฐออนไลน์จึงรวบรวมสาระความรู้มาฝากกัน

ทำความรู้จัก “กาแฟดำ” (Black Coffee)

กาแฟดำ หรือ Black Coffee คือ กาแฟที่ผ่านการคั่วบดและชงอย่างพิถีพิถัน โดยไม่ใส่นม น้ำตาล หรือส่วนผสมอื่นใดลงไปนอกจากกาแฟและน้ำเท่านั้น จึงคงคุณประโยชน์ของกาแฟไว้ได้อย่างแท้จริง โดยกาแฟดำนั้นจะมีรสชาติต่างจากกาแฟใส่นมทั่วไป เพราะมีรสขม เข้มข้น และมีความเปรี้ยวของกาแฟแทรกอยู่ แม้อาจจะไม่ถูกปากใครหลายคน แต่สำหรับคอกาแฟสายสุขภาพแล้ว กาแฟดำถือเป็นเครื่องดื่มที่ค่อนข้างได้รับความนิยม

ประโยชน์ของกาแฟดำ (Black Coffee) ที่ควรรู้

1. “กาแฟดํา” มีแคลอรีต่ำ ช่วยเสริมการลดน้ำหนัก

กาแฟดำ กี่แคลอรี? เนื่องจากกาแฟดำมีเพียงกาแฟและน้ำเท่านั้น ไม่ได้มีส่วนผสมที่ให้พลังงานเพิ่มเติม เช่น นม ครีม หรือน้ำตาล เหมือนกับกาแฟและเครื่องดื่มชนิดอื่นๆ ซึ่งให้พลังงานสูง จึงทำให้กาแฟดำมีพลังงานต่ำเพียง 2-5 แคลอรีเท่านั้น ทำให้เป็นทางเลือกที่ดีสำหรับผู้ที่ต้องการลดน้ำหนัก

การเติมส่วนผสมอื่นๆ ลงในกาแฟดำ จะเพิ่มพลังงานอีกกี่แคลอรี?

• น้ำตาล 1 ช้อนชา = เพิ่ม 16 แคลอรี

• ครีมเทียม 1 ช้อนโต๊ะ = เพิ่ม 30 แคลอรี

• ครีม 1 ช้อนโต๊ะ = เพิ่ม 50 แคลอรี

• ครีมพร่องมันเนย 1 ช้อนโต๊ะ = เพิ่ม 20 แคลอรี

• วิปปิ้งครีม = เพิ่ม 100 แคลอรี

• นมสด = เพิ่ม 20 แคลอรี

• นมพร่องมันเนย = เพิ่ม 10 แคลอรี

2. ช่วยให้สมองให้ตื่นตัว เพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน

เป็นที่ทราบกันดีว่าในกาแฟนั้นมีสารสำคัญอย่าง “คาเฟอีน” อยู่ด้วย โดยกาแฟ 1 แก้วนั้น อาจมีปริมาณคาเฟอีน 60-200 มิลลิกรัม ซึ่งจะออกฤทธิ์กระตุ้นระบบประสาทส่วนกลาง ทำให้สมองตื่นตัว รู้สึกสดชื่น กระปรี้กระเปร่า มึความคล่องแคล่วกระฉับกระเฉง ช่วยให้ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ

3. มีสารต้านอนุมูลอิสระ (Antioxidant) เสริมภูมิคุ้มกันในร่างกาย

ในกาแฟดำมีสารต้านอนุมูลอิสระ หรือ Antioxidant เช่น วิตามิน B2, B3, B5, แมงกานีส, โพแทสเซียม และแมกนีเซียม ซึ่งเป็นสารสำคัญที่ช่วยเสริมระบบภูมิคุ้มกันในร่างกาย ช่วยลดสารอนุมูลอิสระ ไม่ให้สร้างความเสียหายกับเซลล์ อีกทั้งช่วยทำให้ร่างกายแข็งแรง ลดการเกิดโรคต่างๆ และชะลอความเสื่อมของร่างกาย

4. ช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือด

การดื่มกาแฟเป็นประจำนั้น อาจเพิ่มความดันโลหิตเป็นเวลาชั่วคราว แต่จะค่อยๆ ลดลงในภายหลัง การดื่มกาแฟดำวันละ 1-2 แก้ว จะช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือด รวมถึงโรคหลอดเลือดสมอง อีกทั้งกาแฟดำยังช่วยลดระดับการอักเสบในร่างกายอีกด้วย

5. กลิ่นหอมของกาแฟ ช่วยให้ผ่อนคลาย

นอกจากรสชาติที่โดดเด่นแล้ว กลิ่นหอมละมุนเป็นเอกลักษณ์ของกาแฟ จะช่วยกระตุ้นฮอร์โมนแห่งความสุขอย่าง เซโรโทนินหรือโดพามีน ในสมองของคุณออกมา ช่วยบรรเทาอาการเหนื่อยล้าและความเครียดสะสมได้อย่างเห็นผล

6. ป้องกันการเกิดโรคพาร์กินสัน

สารคาเฟอีนที่อยู่ในกาแฟดำ ไม่เพียงแต่ช่วยเพิ่มความกระปรี้กระเปร่าในการทำงานเท่านั้น แต่จากงานวิจัยยังพบว่าคาเฟอีนมีส่วนช่วยชะลออัตราเสี่ยงในการเกิดโรคพาร์กินสัน ซึ่งเป็นโรคที่เกิดจากความเสื่อมของเซลล์สมองได้ด้วยการดื่มกาแฟ 1-2 แก้วต่อวัน

7. ช่วยป้องกันโรคเบาหวานชนิดที่ 2

การดื่มกาแฟดำที่ปราศจากน้ำตาลและครีมเทียม มีส่วนในการช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดโรคเบาหวานชนิดที่ 2 ได้ ซึ่งงานวิจัยในวารสารโภชนาการของอเมริกันชี้ว่าการดื่มกาแฟดำที่ไม่มีคาเฟอีนช่วยความเสี่ยงการเกิดโรคเบาหวานได้มากกว่ากาแฟที่มีส่วนผสมของคาเฟอีนได้มากถึง 7 เปอร์เซ็นต์

8. ช่วยลดอาการเมาค้างและปวดศีรษะ

สำหรับใครที่เคยเมาจนรู้สึกปวดหัวจนต้องหาตัวช่วยให้สร่างเมา กาแฟดำก็เป็นอีกตัวเลือกหนึ่งที่ไม่ควรพลาด เพราะคาเฟอีนในกาแฟดำจะช่วยเร่งการขับแอลกอฮอล์ออกจากร่างกายผ่านการปัสสาวะ ช่วยให้หายจากอาการเมาค้างได้เป็นอย่างดีอีกด้วย

กาแฟดํากินตอนไหนดีที่สุด?

หากต้องการดื่มกาแฟดำให้ได้รับประโยชน์สูงสุด ควรหันมาดื่มกาแฟหลังรับประทานอาหารเช้า เพื่อหลีกเลี่ยงอาการนอนไม่หลับ ทั้งนี้ ควรหลีกเลี่ยงการดื่มกาแฟดำตอนท้องว่างและหลังบ่ายสองโมงเย็น รวมถึงไม่ควรดื่มเกิน 4 แก้ว ไม่เช่นนั้นร่างกายจะได้รับคาเฟอีนมากเกินไป

ข้อควรระวัง กาแฟดำอาจไม่ดีสำหรับทุกคนเสมอไป

แม้การดื่มกาแฟดำจะมีประโยชน์ต่อสุขภาพ ทั้งช่วยต้านอนุมูลอิสระ เสริมภูมิคุ้มกัน หรือช่วยลดคอเลสเตอรอล แต่ก็ไม่แนะนำสำหรับผู้ที่เป็นโรคกระเพาะอาหาร และโรคหัวใจ เนื่องจากมีฤทธิ์กระตุ้นอาการของโรค ผู้ที่มีโรคประจำตัวจึงควรปรึกษาแพทย์ในการดื่มกาแฟดำ

จะเห็นได้ว่า “กาแฟดำ” มีประโยชน์มากมาย ให้พลังงานต่ำ เหมาะกับการลดน้ำหนัก ดังนั้น เพื่อให้ได้ผลดีที่สุด ควรดื่มกาแฟดำควบคู่ไปกับการควบคุมอาหารและออกกำลังกาย รวมถึงควรกินอาหารครบ 5 หมู่ และดื่มน้ำวันละ 6-8 แก้ว และพักผ่อนให้เพียงพอ เพื่อให้มีสุขภาพที่ดีพร้อมสำหรับก้าวใหม่ๆ ในทุกๆ วัน.

ที่มา : www.arit.npru.ac.th, www.eraofwe.com


แผนที่การเคลื่อนไหว ดาวแคระขาวทางช้างเผือก

ดาวแคระขาว (White dwarfs) เคยเป็นดาวฤกษ์ปกติที่คล้ายกับดวงอาทิตย์ มีรัศมีราว 1% ของดวงอาทิตย์ พวกมันมีมวลเท่ากัน นั่นหมายความว่าพวกมันมีความหนาแน่นประมาณ 1,000 กิโลกรัมต่อลูกบาศก์เซนติเมตร เมื่อดาวแคระขาวยุบตัวลงหลังจากปลดปล่อยพลังงานจนหมด พอเย็นลงจนถึงจุดที่หยุดเปล่งแสงที่มองเห็นได้และกลายเป็นดาวแคระดำ (Black dwarfs) เศษซากของดวงดาวเหล่านี้ยากต่อการศึกษาในอดีต

แต่เมื่อเร็วๆนี้มีผลศึกษาของนักดาราศาสตร์จากมหาวิทยาลัยลุนด์ในสวีเดน เผยข้อมูลใหม่เกี่ยวกับรูปแบบการเคลื่อนที่ของดวงดาวเหล่านี้

เป้าหมายของการศึกษาคือดาวแคระขาวชื่อ 40 Eridani A. เป็นเทหวัตถุในท้องฟ้าที่ส่องสว่าง ห่างจากโลก 16.2 ปีแสง ล้อมรอบด้วยระบบดาวคู่ ซึ่งประกอบด้วยดาวแคระขาว 40 Eridani B และดาวแคระแดง 40 Eridani C. นับตั้งแต่ค้นพบในปี 2326 นักดาราศาสตร์พยายามเรียนรู้ดาวแคระขาวพวกนี้เพื่อทำความเข้าใจประวัติศาสตร์วิวัฒนาการของกาแล็กซีทางช้างเผือกของเราให้ลึกซึ้งขึ้น

การศึกษาล่าสุดเผยว่าด้วยการสังเกตการณ์จากกล้องโทรทรรศน์อวกาศไกอาทำให้วัดตำแหน่งและความเร็วของดาวฤกษ์ถึง 1,500 ล้านดวง เมื่อทำแผนที่ความเร็วและรูปแบบการเคลื่อนที่ของดาวแคระขาวได้แล้ว ก็พบว่าพวกมันมีการเคลื่อนที่ในรูปแบบต่างๆ นั่นคงเป็นเพราะมีมวลและอายุขัยต่างกัน

ผลได้เชื่อว่าจะนำไปใช้พัฒนาแบบจำลองใหม่ๆ เพื่อทำแผนที่ประวัติศาสตร์และวิวัฒนาการของทางช้างเผือก และด้วยข้อมูลที่เพิ่มขึ้นนักดาราศาสตร์หวังว่าจะช่วยระบุถึงการกำเนิดทางช้างเผือกได้ในอีกไม่ช้านาน.

(ภาพประกอบ Credit : NASA, ESA, STScl, and G. Bacon (STScl))


ต้อหินคืออะไร

ความผิดปกติของขั้วประสาทตา เกิดได้จากหลายสาเหตุ สาเหตุสำคัญเกี่ยวข้องกับความดันตาที่สูง การที่ขั้วประสาทตาถูกทำลายทำให้ลานสายตาค่อยๆ แคบลงจากด้านข้างเข้ามาส่งผลให้มีการมองเห็นที่ลดลง

ประเภทของต้อหิน

ปฐมภูมิ : ไม่ทราบสาเหตุ มีปัจจัยเสี่ยง เช่น ครอบครัวเป็นต้อหิน (พ่อแม่ พี่น้อง ปู่ย่า ตายาย)อายุที่สูงขึ้น > 50 ปี, สายตาสั้น/ยาวมากๆ

ทุติยภูมิ : จากสาเหตุต่างๆ เช่น อุบัติเหตุ, ผ่าตัดตา, เป็นต้อกระจกมากๆ, เบาหวานขึ้นจอตา,ใช้ยาสเตียรอยด์, เปลี่ยนถ่ายกระจกตา

เข้าใจกันใหม่เรื่องต้อหิน

ต้อหินไม่ใช่มีหินอยู่ในตา แต่เป็นการเปรียบเทียบว่าตาแข็งเหมือนหินในรายที่มีความดันตาสูง

ต้อหิน พบได้ทุกเพศ ทุกวัย

ต้อหินทำให้เกิดภาวะสูญเสียการมองเห็นชนิดถาวร แต่ไม่จำเป็นต้องตาบอด ถ้าวินิจฉัยได้เร็วและรักษาอย่างถูกต้อง

ความดันตาสูง ไม่จำเป็นต้องเป็นต้อหิน ถ้าความดันตาสูง (> 21 mmHg)แต่ขั้วประสาทตายังไม่ถูกทำลายก็ยังไม่ถึงกับเป็นต้อหิน และก็มีคนไข้บางคนที่ความดันตาไม่สูงแต่ก็เป็นต้อหินได้เพราะขั้วประสาทตาไม่แข็งแรง

อาการของต้อหิน

เรื้อรัง ซึ่งเป็นส่วนใหญ่ 90% ของต้อหิน ไม่มีอาการในระยะแรก เป็นภัยเงียบดังนั้นการตรวจสุขภาพตาในคนที่มีปัจจัยเสี่ยงจึงสำคัญ เฉียบพลัน มีความดันตาสูงขึ้นทันทีมีอาการปวดตา ตาแดง ตามัว คลื่นไส้ อาเจียน ปวดศีรษะ

การวินิจฉัยต้อหิน ผ่านการตรวจรับรองโดยจักษุแพทย์ ดังนี้

1.พบความผิดปกติของขั้วตา จากการตรวจโดยจักษุแพทย์

2.ตรวจลานสายตาโดยเครื่องมือ พบความผิดปกติ

3.ความดันตาสูง > 21 mmHg

Tips : ตรวจลานสายตาง่ายๆ

ปิดตาทีละข้างดูใบหน้าคนตรงข้าม ที่อยู่ห่างไป 1 ช่วงแขน ดูว่าทุกส่วนบนใบหน้าครบไหม หากไม่ครบน่าจะมีลานสายตาแคบ

การรักษาต้อหิน

1.การใช้ยาหยอดตา มียารักษาต้อหินหลายชนิด บางชนิดมียา 2 ชนิดในขวดเดียวกันไม่นิยมใช้ยารักษาต้อหินเกิน 3 ขวด หากใช้ยาเต็มที่แล้วความดันตายังสูงอยู่หรือการมองเห็นแย่ลงจะพิจารณาวิธีอื่น

2.เลเซอร์ มักใช้กับต้อหินมุมตาปิด ส่วนต้อหินมุมตาเปิดจะยิงเลเซอร์เพื่อเพิ่มการระบายน้ำในตา ซึ่งในคนเอเชียตอบสนองไม่ดีนัก

3.การผ่าตัด

ระวังการนวดตาอาจทำให้ความดันตาสูงขึ้น การกินอาหารเสริม ไม่มีผลชัดเจนว่าให้ประโยชน์กับตาเพิ่มเติมเรื่องต้อหิน

กลไกของความดันตาสูง เกิดจากการเสียสมดุลระหว่างการสร้าง และการระบายน้ำในตา ดวงตามีน้ำที่สร้างในตา มีการระบายออกที่มุมตาเหมือนน้ำผ่านตะแกรง เมื่อน้ำในตาผ่านไปบ่อยๆ จนวันหนึ่งตะแกรงอุดตัน ทำให้น้ำในลูกตาระบายออกไม่ได้ เกิดความดันตาสูง ความดันในตาที่สูง จะไปทำลายขั้วประสาทตา ทำให้สูญเสียการมองเห็น

การบ่งต้อ คือการที่หมอชาวบ้านใช้หนามทู่ๆ กดบนตา ในคนที่เป็นต้อกระจกสุก ทำให้เลนส์ตาเคลื่อนลงไป แล้วเอาแว่นขนมครกมาใส่ ซึ่งอาจส่งผลให้มีการอักเสบของวุ้นตา, เป็นต้อหินได้

บรรยายโดย รศ.นพ.นริศ กิจณรงค์ ชมรมต้อหิน

จัดทำโดย นศพ.ปิยาพัชร จารุนิภากุล

ราชวิทยาลัยจักษุแพทย์แห่งประเทศไทย


สาวเห็นใจหนุ่มไร้บ้าน ช่วยเหลือจนได้สานสัมพันธ์ เผยแต่งงานกันแล้ว แถมลูกสอง

รักไม่มีข้อจำกัด! สาวแบ่งปันเรื่องความรัก ถูกใจคนไร้บ้านจนได้สานสัมพันธ์ เผยตอนนี้แต่งงาน ใช้ชีวิตคู่อย่างมีความสุขและมีลูกด้วยกันแล้ว

เรามักจะได้ยินคำกล่าวที่ว่า “ความรักไม่มีข้อแม้” หรือ “ไม่มีข้อจำกัดอยู่เสมอ” สำหรับสาวคนนี้ก็เช่นกัน ใครจะไปคาดคิดว่าการให้เงินแก่ชายไร้บ้านในวันนั้น จะทำให้เธอมีชีวิตครอบครัวที่สมบูรณ์แบบในวันนี้

เมื่อเร็ว ๆ นี้ “จัสมิน โกรแกน” ได้แบ่งปันเรื่องราวความรักที่ไม่ธรรมดาของเธอกับ “แมคคอลีย์ เมอร์ชี่” ผู้เป็นสามีผ่านติ๊กต็อก ที่รับรองได้ว่าใคร ๆ ก็คาดไม่ถึง

ย้อนกลับไปเมื่อหลายปีก่อน จัสมินได้ไปซื้อของที่ซูเปอร์มาร์เก็ตแห่งหนึ่ง ระหว่างนั้นเธอได้พบกับแมคคอลีย์ ซึ่งขณะนั้นเขายังเป็นคนไร้บ้านนั่งอยู่ด้านนอกของซูเปอร์มาร์เก็ต เธอจึงยื่นเงินให้เขาเพื่อช่วยเหลือ แต่เขาได้ปฏิเสธน้ำใจครั้งนี้

ตลอดเวลาที่จัสมินเข้าไปซื้อของในซูเปอร์มาร์เก็ต เธออดคิดถึงเรื่องดังกล่าวไม่ได้ เมื่อเธอซื้อของเสร็จแมคคอลีย์ได้เอ่ยปากช่วยเธอถือถุงช้อปปิ้ง และนี่ก็ถือเป็นจุดเริ่มต้นเรื่องราวความรักของทั้งคู่

จัสมินได้เอ่ยถามแมคคอลีย์ว่าต้องการความช่วยเหลืออะไรหรือไม่ หลังจากชวนเขาไปทานอาหารเย็นด้วยกัน เธอก็ได้ซื้อโทรศัพท์เครื่องเล็ก ๆ ให้แก่เขาเพื่อใช้ติดต่อกัน

“ฉันถามเขาว่าอยากให้ฉันพาไปหาอะไรกินมั้ย เขาอายเล็กน้อยแต่ก็ตอบตกลง เราได้ทานอาหารเย็นด้วยกัน เราพูดคุยมากมายเกี่ยวกับชีวิตของเขา จากนั้นฉันก็ซื้อโทรศัพท์เครื่องเล็ก ๆ ให้เพื่อเราจะได้ติดต่อกัน และเราก็ได้ติดต่อกันจริง ๆ ฉันหยุดคิดถึงเขาไม่ได้เลย”

แน่นอนว่าจัสมินไม่อยากให้ความสัมพันธ์จบลงเพียงเท่านี้ เมื่อพูดคุยผ่านทางข้อความกันสักพักทั้งคู่ก็ได้ออกเดตกัน หลังจากทานอาหารเย็นอย่างมีความสุข เธอได้ชวนแมคคอลีย์ไปพักที่บ้านของเธอ และนั้นก็ทำให้เขาได้อยู่กับเธอมากกว่าหนึ่งคืน

“ฉันซื้อเสื้อผ้าใหม่ให้เขาและบอกว่าสามารถมาค้างคืนที่บ้านของฉันได้ สุดท้ายเขาก็ได้พักนานกว่าหนึ่งคืน เราตกหลุมรักกันทันที ฉันรู้ว่าเขาเป็นคนที่ใช่ เขาเป็นคนดีมาก เราไปเดตกันหลายครั้ง ในที่สุดเขาก็โกนหนวด เปลี่ยนลุกส์ และได้งานดี ๆ ตั้งแต่นั้นมาเราก็ไม่เคยต้องห่างกันเลย”

เพื่อให้เรื่องราวความรักครั้งนี้สมบูรณ์แบบยิ่งขึ้น แมคคอลีย์ได้ขอเธอแต่งงานและตอนนี้ทั้งคู่ก็มีครอบครัวที่สมบูรณ์แบบ มีพยานรักด้วยกันถึงสองคน

“เรามีความสุขมากที่ได้พบกัน เราเชื่อว่าทุกอย่างที่เกิดขึ้นมีเหตุผลของมัน เขาทำให้ชีวิตของฉันดีขึ้น และฉันจินตนาการไม่ออกว่าตอนนี้ชีวิตจะเป็นอย่างไรหากไม่มีเขา”

ขอบคุณที่มา dailystar, TikTok


“6 สัญญาณอันตรายของโรคไต” มาบอกต่อกัน เพื่อให้ทุกคนได้สำรวจสุขภาพของตัวเองตั้งแต่วันนี้

1. ปัสสาวะขัดหรือปัสสาวะลำบาก เป็นอาการที่ชี้ชัดว่ามีปัญหาของระบบทางเดินปัสสาวะและอาจเป็นโรคไตด้วยก็ได้ แบ่งเป็น 2 กลุ่ม ได้แก่ กลุ่มแรก “อาการปัสสาวะแสบขัดที่เกิดจากการติดเชื้อในทางเดินปัสสาวะ” มักพบในเพศหญิงมากกว่าเพศชาย สำหรับผู้ชายถ้ามีอาการนี้อาจมีโรคนิ่วในไตหรือโรคต่อมลูกหมากโตซ่อนอยู่ก็ได้ ผู้ป่วยที่มาด้วยอาการนี้อาจมีอาการไข้และปวดเอวร่วมด้วย กลุ่มที่สอง “อาการถ่ายปัสสาวะลำบาก ต้องเบ่งแรง ปัสสาวะไม่พุ่ง หรือปัสสาวะสะดุดกลางคัน” บางคนอาจปัสสาวะบ่อย หรือปัสสาวะกลางคืนร่วมด้วย ซึ่งบ่งบอกว่ามีการอุดตันของท่อทางเดินปัสสาวะ ที่พบบ่อย ได้แก่ ต่อมลูกหมากโตในเพศชาย หรือมดลูกหย่อนในเพศหญิง ถ้าทิ้งไว้โดยไม่รักษาปัสสาวะจะคั่งค้างในกระเพาะปัสสาวะ ซึ่งอาจทำให้เกิดการติดเชื้อบ่อย ๆ หรือเกิดการอุดกั้นทางเดินปัสสาวะเรื้อรังจนทำให้ไตวายได้

2 ปัสสาวะกลางคืนหรือปัสสาวะบ่อยกว่าปกติ กระเพาะปัสสาวะของคนเราสามารถเก็บปัสสาวะไว้ได้ประมาณ 250 ซีซี หรือเท่ากับน้ำ 1 แก้ว ในคนปกติระหว่างนอนหลับตอนกลางคืน 6-8 ชั่วโมง ไม่จำเป็นต้องตื่นขึ้นมาปัสสาวะ เพราะตอนกลางคืนไตจะดูดน้ำกลับมากขึ้นทำให้ผลิตปัสสาวะได้ลดลง บวกกับตอนกลางคืนเราไม่ได้ดื่มน้ำเพิ่มเข้าไป แต่ในผู้ป่วยโรคไตเรื้อรังร่างกายจะไม่สามารถดูดน้ำกลับคืนเข้าร่างกายได้ดีเท่ากับคนที่ไตปกติ ดังนั้นตอนกลางคืนจึงยังมีปัสสาวะออกจนต้องลุกขึ้นมาปัสสาวะ โดยในคนปกติหากดื่มน้ำก่อนนอนอาจตื่นขึ้นมาปัสสาวะในตอนกลางคืนได้บ้าง 1-2 ครั้ง แต่ถ้าปัสสาวะตอนกลางคืนมากกว่า 2 ครั้งถือว่าผิดปกติ

3. ปัสสาวะเป็นเลือด เป็นสีน้ำล้างเนื้อ หรือขุ่นผิดปกติ ปกติปัสสาวะจะมีสีเหลืองใส อาจมีสีเข้มขึ้นเมื่อดื่มน้ำน้อยและจะจางลงเมื่อดื่มน้ำมาก ๆ ถ้ามีปัสสาวะสีแดงคล้ายเลือดหรือสีน้ำล้างเนื้อบ่งบอกว่าอาจมีเลือดปนมากับปัสสาวะ ซึ่งเกิดจากการติดเชื้อในทางเดินปัสสาวะ มีนิ่ว ไตอักเสบหรือมีเนื้องอกในทางเดินปัสสาวะ

อาการปัสสาวะเป็นเลือดแบ่งออกได้เป็น 2 กลุ่ม คือ กลุ่มปัสสาวะเป็นเลือดที่มีอาการปวดบริเวณหัวหน่าว ท้องน้อย หรือมีอาการแสบขัดเวลาปัสสาวะ มักเกิดจากมีนิ่วหรือการติดเชื้อในทางเดินปัสสาวะ และกลุ่มปัสสาวะเป็นเลือดที่ไม่มีอาการปวด มักเกิดจากไตอักเสบ เนื้องอกในทางเดินปัสสาวะ หรือโรคเลือดที่ทำให้มีเลือดออกง่าย ซึ่งมักจะพบว่ามีเลือดออกตามส่วนอื่น ๆ ของร่างกายด้วย

4.รอบตาบวม หน้าบวม เท้าบวม อาการบวมจากโรคไตส่วนใหญ่เกิดจาก 2 สาเหตุ ได้แก่ โรคไตเรื้อรังชนิดไม่มีไข่ขาวรั่วออกมาในปัสสาวะ โรคกลุ่มนี้ไตไม่สามารถขับเกลือและน้ำได้ทำให้มีการคั่งของน้ำในร่างกายจนเกิดอาการบวมกดบุ๋ม หากบวมมาก ๆ ผู้ป่วยจะมีอาการหอบจากหัวใจวายด้วย โรคไตเรื้อรังที่มีการรั่วของไข่ขาวออกมาในปัสสาวะ มักจะมีอาการบวมรอบตาในตอนเช้าและบวมบริเวณรอบ ๆ เท้าในตอนสาย

5 ปวดหลัง ปวดเอว มีสาเหตุมาจากมีนิ่วอยู่ในไต หรือในท่อไต อาการปวดเป็นผลมาจากการอุดตันในท่อไตหรือไตเป็นถุงน้ำ เมื่อพองออกจะทำให้มีอาการปวด ลักษณะการปวดมักจะปวดที่บั้นเอวหรือชายโครงด้านหลังและมักปวดร้าวไปที่ท้องน้อย ขาอ่อน หรืออวัยวะเพศ โดยอาการปวดมักเป็นข้างใดข้างหนึ่ง สิ่งผิดปกติที่มักพบร่วมด้วยคือ ปัสสาวะที่ออกมาจะเป็นเหมือนสีน้ำล้างเนื้อ หรือขุ่นขาว อาจมีปัสสาวะกะปริดกะปรอย หรือมีอาการปวดหัวหน่าวร่วมด้วย ทั้งนี้หากมีอาการปวดโดยเฉพาะที่หลังหรือเอวโดยไม่ร้าวไปที่ใด อาจจะเกิดจากไตอักเสบก็เป็นได้ ถ้ามีอาการดังกล่าวแพทย์จะตรวจด้วยการเคาะหลังเบา ๆ ถ้าปวดมากจนสะดุ้งแสดงว่าอาจมีอาการไตอักเสบ

6.ความดันโลหิตสูง หมายถึงมีค่าความดันโลหิตสูงกว่า 140/90 มิลลิเมตรปรอท เมื่อวัดในขณะพักพบว่าค่าความดันโลหิตสูงทุกครั้ง หากปล่อยให้ความดันโลหิตสูงต่อเนื่องกันนาน ๆ ก็สามารถทำให้ไตผิดปกติและเกิดโรคไตเรื้อรังได้

สัญญาณอันตรายที่กล่าวมานี้ แม้เกิดขึ้นเพียงอย่างใดอย่างหนึ่งก็ควรไปพบแพทย์เพื่อประเมินอาการให้รู้แน่ชัดว่ามาจากสาเหตุหรือโรคใด เพื่อจะได้รับคำแนะนำในการดูแลตนเองอย่างทันท่วงที