บันทึกจากเบย์แอเรีย
เพ็ญวิภา โสภาภันฑ์



บันทึกวันแห่งความปลื้มปีติ 5 ธันวาคม 2555

คงจะไม่มีวันใดที่คนไทยทั่วประเทศจะมีความรู้สึกร่วมถึงความจงรักภักดีที่มีต่อ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ องค์ปัจจุบันได้เท่ากับวันที่ 5 ธันวาคม ของทุกปีนับแต่วันที่พระองค์เสด็จขึ้นครองราชย์ และในปีนี้ก็มิได้แตกต่างไปจากปีอื่นๆ ที่เมื่อวันเฉลิมพระชนมพรรษาของพระองค์เวียนมาบรรจบอีกโดยปีนี้เป็นปีที่แปดสิบห้า ทั่วแผ่นดินไทยจะประดับประดาไปด้วยธงชาติ และธงสีเหลือง ที่มีพระปรมาภิไธย “ภปร.” รวมทั้งดอกไม้พานพุ่มที่เป็นซุ้มสวยงามทั่วทุกจังหวัด ยามค่ำคืนแสงไฟก็จะพรึบพรับระยิบระยับ แสดงให้เห็นถึงการเฉลิมฉลองให้กับองค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ที่ไม่มีชาติใดในโลกนี้เสมอเหมือน

ดิฉันโชคดีที่ปีนี้ได้อยู่ในประเทศไทยช่วงนี้จึงได้มีโอกาสที่จะออกไปร่วมแสดงความจงรักภักดีร่วมกับประชาชนคนไทยนับแสนนับล้านในกรุงเทพมหานคร เป็นวันที่ปลื้มปีติเนื่องจากได้มีโอกาสได้เห็นพระพักตร์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ และพระบรมโอรสาธิราชฯ ที่ประทับบนรถพระที่นั่งผ่านมายังที่ที่ดิฉันไปนั่งรอชมพระบารมีอยู่ตรงหน้าโรงพยาบาลศิริราช ในวันที่พระองค์จะเสด็จออกสีหบัญชร ในเช้าของวันที่ 5 ธันวาคม 2555 โดยภาพแห่งความประทับใจที่เสด็จออกให้ประชาชนได้เฝ้าถวายพระพรนั้น เป็นชั่วโมงแห่งประวัติศาสตร์ ภาพของประชาชนนับแสนที่ไปร่วมวันนั้น ได้แพร่ออกไปเป็นที่ประทับใจทั่วโลกนั้น ท่านผู้อ่านก็คงได้ชมกันทุกท่านแล้ว

ดิฉันจะขอบันทึกในส่วนที่ได้ประสบพบด้วยตัวเองในวันนั้นมาให้ได้อ่านกันในอีกมุมมองนะคะ นั่นคือมุมมองที่โรงพยาบาลศิริราช โดยในครั้งแรกดิฉันวางแผนจะไปชมพระบารมีและถวายพระพรที่แถวๆ ถนนราชดำเนิน แต่พอช่วงค่ำของคืนวันที่ 4 ธันวาฯ เห็นรายงานข่าวที่ออกกันสดๆ เป็นระยะๆ ว่าประชาชนได้เดินทางไปเริ่มจับจองพื้นที่แถวลานพระบรมรูปทรงม้ากันนับพันแล้ว ดังนั้นเชื่อได้เลยว่าเราไม่มีทางจะฝ่าเข้าไปถึงลานพระรูปได้เลย คิดไปคิดมาก็ปิ๊งไอเดียว่า แล้วเราทำไมจะต้องไปถึงตรงนั้น บ้านเราอยู่แถวสะพานตากสินฝั่งธนฯ เราไปรอรับเสด็จออกจากศิริราชดีกว่า ดังนั้นวันรุ่งขึ้นดิฉันก็เลยตื่นแต่เช้าเช็คข่าวสารว่าในหลวงฯ ท่านจะเสด็จออกจากโรงพยาบาลศิริราชกี่โมง ก็เห็นว่าเป็นประมาณเก้าโมงครึ่ง เราไปทันแน่นอนว่าแล้วก็คว้าเสื้อสีเหลืองสวมใส่ให้ตรงเป็นสีสัญญลักษณ์แห่งความจงรักภักดีในวันนี้

ครั้งแรกจะลงเรือไปแต่ดูเวลาแล้วน่ากลัวจะไม่ทันจับจองที่นั่ง น้องสาวโทรมาบอกว่าเห็นข่าวที่โรงพยาบาลศิริราชก็มีคนไปจองที่ตั้งแต่เมื่อคืนเช่นกัน ดิฉันจึงตัดสินใจเรียกแท็กซี่กะว่าให้ไปให้ใกล้สุดแล้วจะลงเดิน คุยกับคนขับแท็กซี่เขาบอกฝั่งนี้รถยังแล่นได้ฉลุยไม่เหมือนฝั่งพระนคร เขาบอกจะขับไปจอดให้ในวัดระฆัง แล้วให้เราเดินต่อ เมื่อไปใกล้ๆ เข้าจริงๆ รถยังแล่นได้ไปจนถึงสี่แยกพรานนก และดิฉันก็ลงตรงนั้น ฝูงชนที่สวมเสื้อสีเหลืองในมือถือธงชาติและธงมหาราชสีเหลืองเต็มท้องที่ แต่เชื่อไหมคะ ตำรวจยังไม่ปิดกั้นจราจร โดยประชาชนยังทยอยกันมาถึงโดยไม่ขาดสาย

ดิฉันโชคดีอีกที่ได้มุมที่เกือบจะชิดกับสี่แยกฝั่งตรงข้ามกับโรงพยาบาลศิริราช โดยมีครอบครัวทหารที่เกษียณแล้วครอบครัวหนึ่งเชื้อเชิญให้นั่งด้วยกัน ก็เลยได้คุยกันยังกับว่ารู้จักกันมานานดิฉันยังถือโอกาสให้ท่านนายพันเอกผู้นั้นบันทึกภาพดิฉันกับกลุ่มที่นั่งอยู่ด้วยกันมาเป็นที่ระลึก ช่วงนี้ก็เป็นเวลาแห่งการรอคอยโดยพวกที่มาทีหลังเริ่มไม่มีที่จะยืนผู้คนเต็มพื้นที่ คราวนี้ละครชีวิตฉากสนุกของการที่ตำรวจโดนประชาชนดันไปดันมา

ยังไงเหรอคะ ก็พอประชาชนกลุ่มที่ไม่มีที่ยืนลงมายืนบนพื้นที่ถนน ตำรวจก็มาเป่านกหวีดปรี๊ดๆ ให้ออกไป ประชาชนก็เถียงลั่นว่าจะให้ไปไหนไม่มีที่แล้ว ว่าแล้วก็ออกันลงมาจากฟุตบาทอีก คราวนี้ก็นายพลตำรวจ (ยังหนุ่มเฟี้ยว) แต่หน้าดุมากมาส่งเสียงดุ เอ๊า..หามีใครเชื่อไม่อีก ร้อนถึงชายใส่เสื้อเหลืองถือโทรโข่งมาตะโกนแบบเพราะๆ พี่น้องครับ ขอร้องครับ ขึ้นไปเถอะครับ ตรงนี้ขบวนรถจะต้องแล่น หากเป็นไปได้ให้ทำแถวโค้งก่อนขบวนขึ้นสะพานก็แล้วกันครับ เอ้อ... อันนี้ได้ผล แสดงว่านายคนนี้คงจะเป็นนักการเมืองในท้องที่ พูดจาได้ดีหน่อยคนเลยยอมฟัง เฮ้อ...เหนื่อยแทนจราจร

แต่อุทาหรณ์จากการเห็นตรงนี้ทำให้มองภาพออกว่าหากมีการจราจลจริงๆ ขึ้นมา ตำรวจมือเปล่าๆ คงห้ามฝูงชนไม่ได้แน่นอน และแล้วเวลาที่เรารอคอยกันก็มาถึงเมื่อขบวนรถเริ่มเคลื่อนออกจากประตูโรงพยาบาลศิริราชที่อยู่เกือบติดกับท่าเรือ เสียงตะโกน “ทรงพระเจริญ” เริ่มดังกึกก้อง เสียงพรึบๆ ที่มาจากการสะบัดธงในมือของประชาชนเป็นสิ่งที่ไม่คาดคิดว่าจะทำให้ผู้ที่ได้ยินมีอาการปลื้มปีติ

รถพระที่นั่งทีมีพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ และสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ ผ่านมา ตรงหน้าดิฉัน เสียงเปล่งถวายพระพรออกจากปากฉันและคนที่อยู่ใกล้เคียง ทรงพระเจริญ พร้อมๆ กับพระพักตร์ขององค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ที่หันมามองพสกนิกร บรรยายไม่ถูก มีแต่ความรู้สึกปลื้มปีติ พระบารมี เป็นเช่นนี้เอง

เมื่อขบวนผ่านพ้นไปจากบริเวณด้านหน้าของโรงพยาบาล ฝูงชนก็เริ่มออกจากพื้นที่ด้วยจุดมุ่งหมายต่างๆ กัน ดิฉันมุ่งหน้าไปหาอาหารกลางวันรับประทานโดยหาร้านที่มีโทรทัศน์ถ่ายทอดสดให้ลูกค้าได้ชม เพราะตรงที่ที่เราไปชุมนุมกันนั้นไม่มีโทรทัศน์ให้ชมเหมือนทางด้านถนนราชดำเนินและแถวพระบรมรูปทรงม้า โชคดีที่หาร้านดังกล่าวได้จึงได้ปักหลักนั่งที่นี่ได้ชมภาพพระเจ้าอยู่หัวฯ เสด็จออกมหาสมาคม รับการถวายพระพรชัยมงคล ณ สีหบัญชร ซึ่งตรงนี้เชื่อว่าท่านผู้อ่านทุกท่านก็คงจะได้รับชมข่าวและภาพแห่งความปีติยินดีของพสกนิการชาวไทยที่พร้อมใจกันใส่เสื้อสีเหลืองไปเฝ้าชมพระบารมีกันเต็มพื้่นที่ ตั้งแต่หน้าพระที่นั่งอนันตสมาคมยาวเหยียดสุดลูกหูลูกตาของถนนราชดำเนินกลาง

พอเสร็จพิธีดิฉันก็รีบออกมาจับจองพื้นที่เพื่อเฝ้ารอรับเสด็จกลับโรงพยาบาลศิริราช และก็พบว่าประชาชนคนอื่นก็คงจะทำเช่นเดียวกันคือไปหาอาหารรับประทานแล้วรีบกลับมาจองที่ต่อ เวลาเพียงเที่ยงวันขบวนเสด็จฯ ก็กลับมาถึงศิริราช ครั้งนี้ดิฉันได้เห็นพระพักตร์ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ชัดเจนกว่าครั้งแรก และทรงโบกพระหัตถ์ให้ประชาชนด้วย ครั้งนี้ความปลื้มปีติแผ่ซ่านไปถึงหัวใจ และดิฉันก็เชื่อว่านั่นก็เป็นความสุขใจของพสกนิกรทุกคนในวันนั้นเช่นกัน

หลังจากขบวนเสด็จฯ กลับเข้าประตูโรงพยาบาลไปแล้ว ดิฉันลุกขึ้นจากฟุตบาทที่ลงไปนั่งพับเพียบอยู่นับชั่วโมง แต่พอได้ยินเจ้าหน้าที่ตำรวจพูดว่า จะรีบกลับไปไหน รอส่งเสด็จพระบรมฯ ก่อนซิ เท่านั้นแหละดิฉันก็ลงนั่งพับเพียบลงไปกับฟุตปาตนั่งรอส่งเสด็จพระบรมฯ ร่วมกับประชาชนที่ยังไม่ยอมลุกกันอยู่ตรงนั้นไม่นานเกินรอรถพระที่นั่งของสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ พร้อมด้วยพระองค์เจ้าศรีรัศมิ์ พระวรชายาในสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ และพระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าทีปังกรรัศมีโชติ ก็เสด็จผ่าน ได้เห็นสมเด็จพระบรมฯ ทรงโบกพระหัตถ์มาทางที่กลุ่มดิฉันนั่งอยู่ เสียง ทรงพระเจริญฯ ดังกึกก้องขึ้นมาอีก

นับว่าวันนี้เป็นวันดีของดิฉันและของประชาชนชาวไทยทั้งปวงอีกวันหนึ่ง ที่ได้เห็นพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ทรงมีพระพักตร์แจ่มใส และมีพระพลานามัยแข็งแรงอย่างเห็นได้ชัด ภาพที่ประทับใจเป็นที่สุดคงจะเป็นที่ได้เห็นจากข่าวในช่วงที่พระองค์ท่านทรงประทับอยู่บนพระราชอาสน์ได้ทรงทอดพระเนตรไปยังพสกนิกรโดยเฉพาะช่วงที่ทุกคนพร้อมใจกันร้องเพลงสรรเสริญพระบารมี เป็นวินาทีแห่งประวัติศาสตร์แห่งความจงรักภักดีที่มิอาจจะกลั้นน้ำตาแห่งความปลื้มปิติไว้ได้เลย ขอพระองค์ทรงพระเจริญยิ่งยืนนาน


ด้วยเกล้าด้วยกระหม่อมขอเดชะฯ
ข้าพระพุทธเจ้า นางเพ็ญวิภา โสภาภัณฑ์
บันทึก จากประเทศไทย 5 ธันวาคม 2555