บันทึกจากเบย์แอเรีย
เพ็ญวิภา โสภาภันฑ์



เรื่องเล่าจากวันวิวาห์ของ คุณเริงศักดิ์ และ ประไพพิมพ์ สุขพลี

บันทึกจากเบย์แอเรียฉบับนี้จะมาขอบันทึกเรื่องจริงแนวหวาน ความรักของคนสองคนที่เป็นที่รู้จักกันในชุมชนไทยเมืองซานฟราน ฟรีมอนท์ และซานโฮเซ่ ที่ลุ้นรอรักกันมาหลายปี และจบลงด้วยแฮปปี้เอ็นดิ้ง ด้วยการเข้าพิธีสมรสต่อหน้าสักขีพยานนับร้อย ณ วัดพุทธานุสรณ์ เมืองฟรีมอนท์ เมื่อวันเสาร์ที่ 6กรกฎาคม 2556 ที่ผ่านมา ท่ามกลางความปีติยินดีของญาติสนิทมิตรสหาย

มารู้จักคู่บ่าวสาวที่เอ่ยถึงกันนะคะ

คู่สมรสคู่นี้คือ คุณป๋อง-เริงศักดิ์ ฤทธิประเสริฐ และ คุณแพรว-ประไพพิมพ์ สุขพลี คุณป๋องเป็นกรรมการวัดพุทธานุสรณ์ เคยเป็นเจ้าของร้าน House of Siam ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1992 ถึง ปี ค.ศ.2012 ตอนนี้เป็นเจ้าของ Thai Street Food ขายของใน Farmers' Market และรับงานจัดสวน ก่อสร้าง ต่อเติม เป็นงานอดิเรกอีกด้วย ด้านการศึกษาคุณป๋องจบปริญญาตรีสองใบ ใบแรก คณะเกษตร มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ และ ปริญญาตรี Computer Science San Jose State University ปริญญาโทสองใบที่ National University MBA Electronic Commerce และ MS Telecommunication ส่วนคุณแพรวจบปริญญาตรีที่ มหาวิทยาลัยศิลปากร วิทยาเขตทับแก้ว ปริญญาโทจากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และปริญญาโท MBA จาก Silicon Valley University

เรื่องราวของคุณป๋องกับคุณแพรวที่กว่าจะมีวันนี้นั้นไม่ธรรมดาค่ะ..ยังไงหรือคะ เหมือนนิยายเลยล่ะค่า ก็พระเอกของเรื่องของเรานี้เป็นพ่อหม้ายเรือพ่วงสี่เชียวน่ะคะ

คุณป๋องพบกับคุณแพรวได้อย่างไรคะ

ซัมเมอร์ 2007 ผมได้พาลูกสองคนเอมี่ และ รอนนี่ ไปเรียนซัมเมอร์ที่วัดพุทธานุสรณ์ ปีนั้นแพรวได้มาเป็นครูพร้อมกับครูอีกสองคนคือ ครูเจี๊ยบ และครูปุ๋ม ด้วยที่ซานโฮเซ่อยู่ค่อนข้างไกลพอสมควร บ้านผมกับวัดต้องใช้เวลาเดินทางประมาณหนึ่งชั่วโมง เท่ากับว่าผมต้องใช้เวลาสี่ชั่วโมงบนท้องถนนต่อวันที่ทำหน้าที่รับส่งลูก ผมจึงไปส่งลูกและอยู่วัดทั้งวัน รอรับลูกกลับมา

วันแรกที่ผมพบกับแพรว ผมเห็นเธอกำลังพิมพ์งานอยู่บนกุฏิ ประโยคแรกที่ผมทักเธอก็คือ หนาวหรือครับ ใส่เสื้อหลายตัวจัง แพรวตอบกลับมาว่าหนาวค่ะ ที่ผมทักเธอเช่นนั้นก็เพราะว่าช่วงนั้นเป็นหน้าร้อนของอเมริกา แต่ด้วยที่ว่าแพรวเพิ่งจะมาจากเมืองไทย คงจะยังไม่ชินกับอากาศทางนี้ หลังจากวันนั้นก็พบเห็นกันเป็นธรรมดาในวัด ไม่มีอะไรพิเศษ

และแล้วเรื่องพิเศษก็บังเกิดขึ้น

ทุกปีทางวัดจะจัดทริปพาครูอาสาไปเที่ยวลาสเวกัส และแกรนแคนยอน ปีนั้นคุณสุรีย์ มาเลย์ เป็นครูใหญ่ คุณสุรีย์ต้องขับรถวัดแวนคันใหญ่ไปคนเดียว อีกทั้งคุณสุรีย์ก็ไม่เคยขับรถแวนคันใหญ่ๆ อีกด้วย ผมรู้ดีว่าการขับรถทางไกลคนเดียวมันเหนื่อยขนาดไหน จึงบอกคุณสุรีย์ว่า ผมจะช่วยเป็นคนขับอีกคนก็แล้วกัน

ผมจำได้ว่า ครูปีที่ไปด้วยก็มี ครูหนู ครูบาส ครูหยง ครูยุ้ง ส่วนครูซัมเมอร์ก็มี ครูเจี๊ยบ ครูปุ๋ม และครูแพรว ผมกับคุณสุรีย์เปลี่ยนกับขับรถในทริปนี้ตลอดทริป ตอนสำคัญอยู่ที่ว่า ช่วงที่ขับไปลาสเวกัส เป็นตอนกลางคืน ทุกคนในรถหลับหมด เหลือผมเป็นผู้ขับรถอยู่คนเดียว พอดีแพรวนั่งอยู่หลังคนขับ หัวแพรวมาพิงกับเบาะคนขับ ขณะที่แพรวกำลังหลับนั้น มือได้ควานหาบางสิ่งบางอย่างด้านหลังของผม เหมือนกับว่าทำอะไรหล่นหายไป ผมก็เลยถามว่าทำอะไรตกหรือไร แล้วเอามือมาด้านหลังเพื่อช่วยเธอหา โดยไม่รู้ว่าเธอกำลังหลับอยู่ ช่างเป็นช่วงบังเอิญที่มือของผมได้ไปกุมมือของเธอ แล้วเธอก็หยุดการไขว่คว้าหาของ ส่วนผมเองก็รู้สึกแปลกๆ และระลึกรู้ได้ทันทีในใจขณะนั้นว่า ผู้หญิงคนนี้เป็นของเรา

เมื่อไปถึงลาสเวกัส ผมก็สอบถามเธอเรื่องทางบ้าน เรื่องแฟน พี่น้อง เธอบอกว่าเธอเป็นลูกคนเดียว มีแฟนอยู่เมืองไทยที่คบหากันมาเจ็ดปี แต่ก็ไม่ได้ผูกพันกันเท่าไร ผมแอบถามหาข้อมูลของเธอ โดยเธอไม่รู้ตัวเลย แล้วท้ายสุดบอกว่า ผมชอบเธอนะ ทั้งๆ ที่เพิ่งจะรู้จักกันได้ไม่นาน แต่สำหรับผมแล้ว เวลาไม่เป็นปัญหาในการคบหากัน ถ้าผมชอบใคร ผมจะบอกในทันที ดีกว่าจะเก็บเอาไว้ แล้วมาเสียใจในภายหลัง

กลับจากทริปใหญ่ครั้งนั้น ผมก็ยังไปรับไปส่งลูกไปเรียนซัมเมอร์เป็นปกติ แต่ที่ไม่ปกติก็คือ ผมมักจะเอาดอกจำปีของวัดใส่แก้วน้ำของวัด มาให้เธอเป็นประจำเกือบทุกวันก็ว่าได้

ทริปต่อไปก็คือพาครูซัมเมอร์ไปเที่ยวรีโน่ ทริปนี้พี่อ้อย-อภิญญา เป็นผู้เอื้อเฟื้อ ผมก็ได้ทำหน้าที่ผู้ช่วยคนขับอีกแรงหนึ่ง ทำให้เราได้ใกล้ชิดกันมากขึ้น

อีกทริปที่น่าประทับใจก็คือการได้พาครูไปเที่ยวดีสนีย์แลนด์ และ ยูนิเวอแซลสตูดิโอ ทริปนี้ได้รับการเอื้อเฟื้อจากพี่สุภาภรณ์ เชลตัน ทริปนี้ผมนำลูกสองคนไปด้วย เพื่อเปิดตัวแพรว และเพื่อให้ลูกได้รู้ตัวว่าผมกำลังจะเริ่มมีความรักครั้งใหม่

จนกระทั่งแพรวกลับเมืองไทยในวันที่ 9 กันยายน 2007 ผมก็บอกกับแพรวก่อนกลับว่า ถ้ารักพี่จริงไปเมืองไทยต้องไปเลิกกับแฟน ซึ่งที่ผมบอกไป ผมยังไม่รู้เลยว่า เธอจะทำตามที่ผมบอกหรือเปล่า

เมื่อเครื่องร่อนลงที่เมืองไทย ผมเป็นคนแรกที่โทรไปหาเธอเมื่อเธออยู่ในสนามบิน แล้วตั้งแต่แพรวกลับไปเมืองไทย ผมขาดการโทรไปหาเธอสองวัน เพราะเธอไปเที่ยวเขาใหญ่ ไม่มีสัญญาณโทรศัพท์ที่นั้น นอกนั้น ผมโทรหาเธออย่างน้อยสองครั้งต่อวัน ตลอดสองปี

จนกระทั่งสองปีผ่านไปที่แพรวไปอยู่เมืองไทย แพรวขอแม่มาเรียนต่อที่อเมริกาตอนแรกแม่ก็ไม่อยากให้มา แต่ในที่สุดแม่แพรวก็ตกลงให้มาเรียนต่อปริญญาโทอีกใบที่เบย์แอเรีย ทำให้ผมกับแพรวได้มีโอกาสได้ดูใจกันมากขึ้น

บินกลับไปประเทศไทยเพื่อสู่ขอแพรว

ผมได้กลับเมืองไทยไปเมื่อปลายปี 2012 ได้ไปทำการบวชเป็นเวลาหนึ่งเดือนแล้วทำการสู่ขอแพรวกับพ่อแม่ของแพรว แต่ผลออกมาไม่ค่อยดีสักเท่าไรนัก เพราะแม่ของแพรวยังไม่อยากยกลูกสาวให้ จนกระทั่งผมบินกลับมาอเมริกาอีกครั้ง แม่ของแพรวคงใจอ่อน เลยบอกแพรวว่า อยากจะทำอะไรก็ทำ เพราะว่าโตแล้ว คงคิดอะไรได้ด้วยตัวเอง เมื่อผมได้รับใบเขียวเช่นนั้น จึงได้ไปขอฤกษ์กับท่านเจ้าคุณประเสริฐ หลวงพ่อให้จดทะเบียนได้วันที่ 30 เมษายน 2013 แล้วจัดการแต่งงานได้ในวันที่ 6 กรกฎาคม 2013

เรื่องราวปลีกย่อยระหว่างผมกับแพรวยังมีอีกมากมาย กว่าจะฟันฝ่าอุปสรรคก็ทำเอาเหนื่อยไปเหมือนกัน ไหนจะให้ลูกๆ ผมยอมรับแพรว พ่อแม่ของผมไม่เคยมีปัญหาในเรื่องการเลือกคู่ครองของผม ส่วนพ่อแม่ของแพรวนั้น กว่าจะให้ท่านยอมรับได้ ผมใช้เวลาตั้งแต่ปี 2007 จน 2013 ผมก็ทำได้สำเร็จ แต่ทุกอย่างก็ผ่านไปด้วยดีเพราะความมั่นคงของผม ผมเชื่ออย่างหนึ่งว่า ทำดีต้องได้ดี แล้วเนื้อคู่ของเรา ถ้าเป็นเนื้อคู่ กระดูกคู่กันจริงๆ ถึงวัน เขาจะต้องเข้ามาหาเรา แต่เมื่อไรเท่านั้นเองครับ

นี่แหละค่ะเรื่องจริงที่ผู้เขียนสัมภาษณ์มาโดยมิได้ตัดต่อ และเห็นว่าเรื่องราวดีๆ ของผู้ที่มีความตั้งใจจะสู้เพื่อให้ได้มาซึ่งสิ่งที่ตนมุ่งหวังในอนาคต เป็นเรื่องที่น่านำมาเล่าสู่กันฟัง เป็นหนึ่งในจุดประสงค์ของคอลัมน์บันทึกจากเบย์แอเรียนี้

ก็ขออำนวยอวยพรให้ทั้งคุณป๋องและคุณแพรว มีความสุขสมปรารถนาในชีวิตคู่ชั่วกาลนานนะคะ ชมภาพประกอบจากงานวันสมรสที่วัดพุทธานุสรณ์ค่ะ


สวัสดีค่ะ......