สวัสดีค่ะท่านผู่อ่าน บันทึกจากเบย์แอเรียหายห่างไปนาน อาจจะเป็นเพราะแรงไฟในการเขียนเริ่มถดถอยไปตามอายุและกาลเวลา ขอบคุณ คุณวิรัช โรจนปัญญา และคุณนิด วิภาวี ที่ยังเก็บเนื้อที่ของคอลัมน์นี้ไว้ให้เสมอ และตามที่ได้เคยเกริ่นไว้หลายครั้งแล้วว่า คอลัมน์นี้พยายามจะหลีกเลี่ยงภาพและข่าวกิจกรรมสังคมของชุมชนซานฟรานและเบย์แอเรีย เพราะมีให้ได้อ่านกันหลายคอลัมน์อยู่ในหนังสือพิมพ์ไทยแอลเอ นี้ นอกเสียจากว่าจะมีกิจกรรมสำคัญๆ ที่ดิฉันไปมีส่วนได้รับทราบและร่วมด้วยช่วยกัน มิใช่อะไร แต่เป็นเพราะการได้เข้าไปมีส่วนร่วม จะทำให้ได้ข้อมูลที่ถูกต้องที่จะมาเล่าสู่กันฟัง
และตอนนี้ดิฉันได้เดินทางไปเที่ยวประเทศไทย เพื่อพักผ่อน เพื่อเติมพลัง และเพื่อท่องเที่ยวประเทศไทย ซึ่งการท่องเที่ยวของดิฉันก็จะนำเรื่องราวน่าสนใจที่ได้พบเห็นในช่วงนีมาบันทึกให้อ่านกันพอเป็นสังเขป เรื่องที่ดิฉํนบันทึกในการไปเยี่ยมชมส่วนมาก ก็ไม่พ้นเรื่องเกี่ยวกับศิลปะวัฒนธรรมบ้านเรา ซึ่งเป็นเรื่องที่ดิฉันชอบและถนัด...มีแฟนคลับหลายคนบอกว่าชอบอ่านเรื่องที่ดิฉันเล่าให้ฟังเรื่องการไปดูโขน และดนตรีไทย ก็ขอเกริ่นเลยว่าท่านจะไม่ผิดหวังเพราะว่าดิฉันได้ไปชมหลายแห่งและตั้วใจจะนำมาเล่านะคะ
การเดินทางปีนี้ ดิฉันออกจากซานฟรานในช่วงแท้งสกิฟวิ่ง โดยมีเพื่อนรุ่นน้อง ชื่อคุณต๋อย วันทนา อนันตวัฒน์ ร่วมเดินทางไปด้วยและเราก็จะกลับพร้อมกัน เธอผู้นี้เป็นน้องสาวเพื่อนสนิท คุณสายสุนี สุขกสิกร คนข้างเคียงเจ้าของคอลัมน์ ความจริงหรือความคิดนั่นเอง เธอเป็นพยาบาลที่เกษียณก่อนเวลาเพราะคงจะทำงานพอแล้ว ออกมาเอ็นจอยชีวิตและลูกหลานดีกว่า ซึ่งดิฉันเห็นว่าเป็นเรื่องดี คนเราเมื่อถีงเวลาพอ เราก็ควรที่จะใช้ชวิตให้คุ้มค่า วันเวลาคนเรานั้นสั้นนัก….ในการเล่าเรื่องเดินทางครั่งนี้ก็จะมีคุณน้องคนนี้ไปด้วยกันก็เลยขอถือโอกาสกล่าวขานถึงเพื่อะได้เอ่ยถึงได้บ่อยๆอีก
การเดินทางออกจากซานฟรานและไทเปถึงประเทศไทยเป็นไปได้โดยสะดวก ในครั้งแรกดิฉันได้ขอรถเข็นไว้ แต่เมื่อเห็นว่าเดินเหิรสะดวกก็เลยยกเลิกการใช้บริการจากซานฟราน แต่ขอเขาไว้ว่าที่ไทเปยังขอใช้อยู่ ทั้งนี้จากประสบการณ์การมีคนมาเข็นรถให้เรานั่งนั้นทำให้เราไม่ต้องไปหาเกตซึ่งตอนนั้นยังไม่ได้จัดเกตให้ และทำให้เราอาจจะผ่านการตรวจระบบความปลอดภัยได้ง่ายหน่อย ดังนั้นเมื่อถึงสนามบินที่ไทเปเราก็นั่งรอคนมารับอยู่บนเครื่องให้คนอื่นๆลงไปก่อน รออยู่นานมาก เมื่อพนักงานบนเครื่องมาพาเราไป เราต้องไปยืนรอรถเข็นหน้าประตูเครื่องอีก พอเจ้าหน้าที่เข็นรถมารับเขาเข็นเราไปรวมๆกับคนที่นั่งรถเข็นอีกสิบกว่าคันก่อนหน้าเรา เอาละสิ คนเข็นเดินผ่านเราไป...ผ่านเราไป ใจก็คิดว่าเขาจะไปไหนของเขา (วะ) ก็ที่นั่งๆอยู่เนี่ยทำไมไม่เริ่มเข็น ที่ไหนได้ เขาไปรับคนจากสายการบินอื่น ที่มีคนนี่งรถเข็นยาวเหยียด ใจอยากจะลุกเดินไปเองแล้ว แต่เจ้าหน้าที่หายตัวไปหมด จะเดินไปทางไหนดี กลัวตกเครื่อง เพราะมีเวลาที่จะต่อเครื่องเพียงชั่วโมงครึ่ง ครั้นมีเจ้าหน้าที่มาเข็นคนข้างหน้าเรา เราก็เลยบอกเขาว่าฉันจะเดินเองนะกลัวตกเครื่อง เขาก็เอามือมาแตะไหล่เราและบอกว่า อย่าวิตกไปหากคุณอยู่บนรถเข็นนี้ คุณจะไม่มีวันตกเครื่อง เราจะเทคแคร์คุณเอง…..เป็นอันว่าต้องนั่งรอไปจนเกือบครึ่งชั่วโมงกว่าจะถึงคิวเรา และแม้ว่าเราจะไปทันเวลาแต่ก็ตั้งใจไว้ว่า ต่อไปนี้ หากว่าขา และเข่าของดิฉันยังปกติดีละก็ จะไม่มีวันขอรถเข็นเป็นอันขาด ว่าไปแล้วคราวนี้ดิฉันไม่ได้ขอรถเข็น แต่น้องที่ขายตั๋วให้เขาบอกว่าพี่คะเดี่ยวนี้ถ้าอายุหกสิบขึ้นไปเขาก็ให้รถเข็นแล้ว พี่น่ะเจ็ดสิบไปแล้ว ใช้บริการนี้เถอะค่ะ
ดังนั้นเมื้อเครื่องลงถึงท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ดิฉันก็แจ้งพนักงานบนเครื่องเลยว่าดิฉันเดินได้ขอยกเลิกรถเข็น แม้ว่าทราบดีว่าที่สนามบินของไทยนั้นเรามักจะต้องเดินกันไกลมากจากเครื่องกว่าจะไปถึงด่านตรวจคนเข้าเมือง ...แต่ว่าวันนั้นโชคช่วยเป็นครั้งแรกที่สายการบินอีว่าจอดประตูที่ใกล้กับทางเข้าตรวจคนเข้าเมือง เดินนิดเดียว ดีใจมากที่ไม่ได้ขอรถเข็น …
เป็นอันว่าดิฉันถึงประเทศไทยโดยสวัสดิภาพ ณ เย็นวันลอยกระทงพอดี นั่นคือ วันพฤหัส ที่ 22 พฤศจิกายน ค.ศ. 2018 ซึ่งวันลอยกระทงปีนี้ตรงกับวัน Thanksgiving Holiday ที่อเมริกาพอดี ขอบคุณพระเจ้าที่ทำให้ดิฉันถึงประเทศไทยโดยสวัสดิภาพ
โปรดอ่านเรื่องราวที่ดิฉันได้ไปสัมผัสที่ประเทศไทยในปลายปีนี้ให้ฟัง ในโอกาสหน้านะคะ
ชมภาพตัวอย่างของสถานที่ท่องเที่ยวที่จะเขียนถึงในฉบับต่อไป ขอนุญาตอุบเอาไว้ก่อนว่าเป็นที่ใด
สำหรับฉบับนี้ สวัสดีค่ะ
เพ็ญวิภา โสภาภัณฑ์
บันทึก