ว่าด้วยเรื่อง “ทำสมาธิ”
ห่างเหินงานเขียนไปหลายเดือน ไม่มีเวลาเขียนก็ประการหนึ่ง อีกประการก็คือชีวิตส่วนตัวมีเรื่องราวให้กังวลใจหลายประการ ยิ่งอายุมากก็คิดมาก คงจะถึงเวลาเข้าศึกษาธรรมะให้เห็นสัจจะธรรมเสียที มาวัดก็เกินสี่สิบปี แต่มัวแต่ไปทำกิจกรรมนาฏศิลป์บ้าง ดนตรีบ้าง คิดได้ดังนั้นดิฉันก็เริ่มเข้าไปปรึกษาธรรมะ ก็วัดที่ดิฉันไปเป็นประจำนั่นแหละค่ะ วัดพุทธานุสรณ์ เมืองฟรีมอนต์ แคลิฟอร์เนีย พระสงฆ์รูปที่ดิฉันได้สนทนาธรรมด้วย คือพระอาจารย์ หลิน หรือ พระเถระวังสะ (Phra Theravamsa)
นอกเหนือจากพระอาจารย์หลินแล้ว ดิฉันบังเอิญได้อ่านบทเขียนของเด็กหนุ่มคนหนึ่งเกี่ยวกับการนั่งสมาธิ ว่าได้เปลี่ยนชีวิตเขาอย่างไร ซึ่งก็เลยยิ่งทำให้ดิฉันสนใจอยากเข้าไปสัมผัสในสิ่งที่เขาได้ประสบพบพานบ้าง ดิฉันขอนำเสนอบทเขียนของ “ของเหนือ” หรือ คุณพยธรรม ปาล (Pobtam Pal) เป็นการเกริ่นทางก่อนที่ฉบับหน้าดิฉันจะได้มาบันทึกเรื่องราวของกำเนิดแห่ง “ความสนใจ” ในเรื่องปฎิบัติสมาธิของดิฉันต่อไปนะคะ
การนั่งสมาธิเปลี่ยนชีวิตของผมไปอย่างมาก แม้ว่าจะฝึกปฎิบัติมาได้ยังไม่นานนัก และไม่ได้ทำทุกวัน แต่ผมก็รู้สึกถึงผลที่ลึกซึ้งและทรงพลังที่มันมีต่อชีวิตของผมเอง การนั่งสมาธิช่วยให้ผมมีความสมดุลทางอารมณ์มากขึ้น มีความสงบมากขึ้น ความคิดชัดเจนขึ้น สุขภาพจิตดีขึ้น เข้าใจตัวเองมากขึ้น และที่สำคัญที่สุดคือทำให้ผมมีสติรู้ตัวมากขึ้น
ก่อนที่จะเริ่มเส้นทางการนั่งสมาธิ ผมมักจะรู้สึกสับสน วิตกกังวล เครียด และอารมณ์แปรปรวน ตอนอยู่มัธยมผมเคยหลงติดกับหลายสิ่งที่ไม่ดี เช่น ความสัมพันธ์กับผู้คน โซเชียลมีเดียต่างๆ และการเลียนแบบคนที่ไม่ใช่ตัวอย่างที่ดี ผมอยากเป็นเหมือนคนอื่น อยากมีแฟน อยากเป็นคนที่ทุกคนชื่นชอบ อยากเข้ากับคนอื่นได้ แต่ผมเองก็ยังไม่มีวุฒิภาวะพอที่จะจัดการกับความต้องการพวกนั้น ผมจึงเติมเต็มมันด้วยพฤติกรรมที่ไร้สติเพื่อให้ได้ความสุขเพียงชั่วคราว หลังจากจบมัธยม ผมก็ยังทำแบบเดิมโดยไม่เคยตั้งคำถามกับมันเลย ผมติดอยู่ในวงจรของการแสวงหาความสุขแบบรวดเร็ว โดยพยายามเลียนแบบความสุขที่ผมคิดว่าคนอื่นมี ทั้งที่จริงๆ แล้ว ก็แค่หลีกเลี่ยงปัญหาภายในใจของตัวเอง พอเวลาผ่านไป ความวุ่นวายทางอารมณ์มันมากจนไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเอง เสียใจเรื่องอะไร
ผมใช้เวลาเกือบ 3 ปีอยู่ในภาวะสับสนแบบนั้น จนวันอังคารหนึ่งคุณแม่ชวนไปที่วัดพุทธานุสรณ์ (Wat Buddhanusorn) เมืองฟรีมอนต์ ที่คุณแม่ไปถวายอาหารเป็นประจำ คุณแม่บอกว่าการนั่งสมาธิช่วยให้แม่สงบมากขึ้น และอยากให้ผมลองดู วันนั้นผมได้นั่งสมาธิเป็นครั้งแรก แค่ 1 นาที กับพระที่ชื่อหลวงพี่หลิน เพียงแค่นาทีนั้น มันยังไม่ถึงกับเปลี่ยนชีวิตทันที แต่รู้สึกได้เลยว่ามันต่างจากความวุ่นวายที่ผมเคยชิน มันสงบ เย็น และรู้สึกมีความหมาย
หลังจากวันนั้น ผมเริ่มไปนั่งสมาธิร่วมกับกลุ่ม ซึ่งคิดว่าเป็นกลุ่มคนที่แสวงหาความสงบเหมือนกัน ในช่วงแรก ผมเจอกับปัญหามากมาย โดยเฉพาะเรื่องความง่วง เวลานั่งนานเกิน 10 นาที และมักจะฟุ้งซ่าน หรือหลับไปเลย เพื่อที่จะช่วยให้ผมทำมีสมาธิได้ดีขึ้น คุณแม่ได้ให้เครื่องนับเลขแบบกดเครื่องเล็กๆ ใส่นิ้วมือไว้ เริ่มนับลมหายใจเข้ากดหนึ่งครั้ง หายใจออกกดหนึ่งครั้ง ไปเรื่อยๆ อุปกรณ์ชิ้นเล็กๆ นี้ช่วยให้จิตใจมีสิ่งยึด ทำให้ผมอยู่กับปัจจุบันมากขึ้น และไม่หลับง่ายๆ
พอฝึกมากขึ้น ก็ไม่ต้องใช้เครื่องนับแล้ว สามารถนั่งนิ่งๆ ได้ด้วยตัวเอง เมื่อความคิดแว๊บเข้ามา ก็รับรู้มันมา แล้วค่อยๆ พาจิตกลับมาที่ลมหายใจอย่างอ่อนโยน
หลังจากแต่ละครั้งที่นั่งสมาธิผมเริ่มรู้สึกถึงความเปลี่ยนแปลงเล็กๆ เช่น ความวิตกกังวลน้อยลง ความสับสนน้อยลง รู้สึกมีสติมากขึ้น ใจสงบมากขึ้น และหลังจากฝึกต่อเนื่องไปเพียงไม่กี่สัปดาห์ ก็เริ่มรู้สึกถึงการเปลี่ยนแปลงภายในจริงๆ เป็นครั้งแรกในรอบหลายปีที่สามารถรู้ตัวเวลาที่อารมณ์เกิดขึ้น ไม่ใช่ปล่อยให้อารมณ์พาไป เริ่มสังเกตความคิดของตัวเอง และเข้าใจว่ามันมาจากไหน ความชัดเจนนั้นทำให้รู้สึกเหมือนเป็นอิสระ ไม่ถูกความคิดตัวเองครอบงำอีกต่อไป
พอมองย้อนกลับไปผมเห็นว่าครั้งหนึ่งเคยขาดความมั่นใจในตัวเองมากแค่ไหน เคยกลัวว่าคนอื่นจะมองผมยังไง และยอมให้ความไม่มั่นใจพวกนั้นมาควบคุมการกระทำของตัวเองในช่วงวัยรุ่นซึ่งกำลังจะโตเป็นผู้ใหญ่ การทำนั่งสมาธิไม่ได้ทำให้ปัญหาทุกอย่างหายไป แต่มันคือเครื่องมือที่จะทำให้ผมสามารถเผชิญกับปัญหาด้วยความเข้าใจ สงบ และมีสติ และสิ่งนี้แหละที่เปลี่ยนชีวิตผมจริงๆ
ค่ะ ..บทเขียนนี้นับเป็นกำลังใจให้ดิฉันสนใจจะเดินเข้าสู่การปฏิบัติธรรมในขั้นต้นต่อไป ขอฝากภาพกิจกรรมการนั่งสมาธิของ Megga8 Meditation Group มาให้ชมกันนะคะ ขอบคุณ คุณอัจฉริยา “ก๊อง” ทวีวิรัช ผู้ประสานงานให้ดิฉันเริ่มก้าวเดินสู่หนทางสงบของจิตใจในครั้งนี้ด้วยค่ะ