นั่ง Eva ตัดใจไปบางกอก | แม่คุณบอกต้องไปอย่าหน่ายแหนง |
หากไม่ไปเป็นต้องผิดสำแดง | แม่แก้มแดงพี่ยุ่งยากลำบากใจ |
พระท่านว่าทำ “ดี” ต้องได้ “ดี” | พอได้ “ดี” ต้องรักษา “ดี” เอาไว้ |
ไปคราวนี้ท่านบอกว่ามี “ดี” ให้ | ฉันฉงนสนเท่ห์ใจเอาไงดี |
เจ้าตัว “ดี” หน้าตาดีเป็นไฉน | “ดี” อย่างไรบอกมาให้ถ้วนถี่ |
ท่านบอกว่าไปสถาน ที่ตรงนี้ | มีนางฟ้าใจดีมาประทาน |
เจ้าตัว “ดี” อำเราทำเอาเหนื่อย | ต้องนั่งเมื่อยบน Eva น่าสงสาร |
ขอน้อมเกล้าเอา “ดี” ใส่กบาล | ฟ้าประทาน “ดี” ให้ไปเอา “ดี” |
สวัสดีครับ แฟนานุแฟนที่รักของคอลัมน์บันทึกจากเบย์แอเรีย ฉบับนี้ผมแนะนำตัวเองแปลกใหม่ ก็เป็นเพียง “เหล้าเก่าในขวดใหม่” เท่านั้น ฟันธงได้เลยว่า ดีกรียังร้อนแรงเหมียนเดิม พี่แมว “เพ็ญวิภา” เจ้าของคอลัมน์ที่น่ารัก เขียนบทสัมภาษณ์ผมไปเมื่อฉบับที่แล้ว ฉบับนี้เธอยกเนื้อที่ให้ผมทั้งหมด บอกว่าเขียนตามสบายๆ อย่างนี้ก็สบายผมนะซี
อันสืบเนื่องมาจากเมื่อเดือนมกราคมที่ผ่านมา หลังจากงานปีใหม่แล้ว ท่านพระครูสิริรัตนธรรมวิเทศ ท่านเจ้าอาวาสวัดมงคลรัตนาราม เมืองเบอร์กเล่ย์ แคลิฟอร์เนีย ก็เรียกตัวผมไปพบ และบอกว่าให้ทำประวัติส่วนตัว ทางวัดจะขอรางวัลเสาเสมาธรรมจักรให้ และท่านก็ให้พระเลขาเอาประวัติคนที่เคยขอมาแล้ว ให้ผมเป็นตัวอย่าง โดยทำประวัติย้อนหลัง 5 ปี เคยทำคุณงามความดีอะไร เบื้องต้นเช่น ช่วยเหลืองานสังคม งานราชการ เช่นงานกงสุลสัญจร ช่วยวัดวาอาราม หากฐินผ้าป่า บริจาคปัจจัยให้วัด ส่งเสริมกิจกรรมทางพระศาสนา ให้องค์กร หรือให้สถาบันต่างๆ ทั้งในและนอกประเทศ ให้ขุดคุ้ยรวบรวมมาให้หมด พร้อมหลักฐานอ้างอิง และภาพประกอบ
เป็นอันว่าทำประวัติเรียบร้อย เป็นไปตามระเบียบแบบแผนที่ทางกรมการศาสนากำหนดไว้ งานนี้..ขอกราบขอบพระคุณหลวงพี่มหาวัลลภ (ชื่อเหมือนกันครับโปรดอย่าสับสน)ที่ช่วยเรียบเรียงและพิมพ์ให้ และจัดส่งผ่านสมัชชาสงฆ์ไทยในสหรัฐอเมริกา และกรมการศาสนา กระทรวงวัฒนธรรมตามลำดับ เฮ้อ!! ค่อยยังชั่ว โล่งใจคลายเครียดได้หน่อย เพราะเกรงว่าประวัติจะไม่สมบูรณ์ ทั้งข้อมูลส่วนตัวและภาพถ่ายมันกระจัดกระจาย อันนี้ก็ขอฝากไว้นะครับ เวลาทำบุญกับวัด พระท่านออกใบอนุโมทนาบัตรก็เก็บไว้ให้ดีใส่ซองรวมไว้เลย ทำความดีตั้งแต่ วัน เดือน พ.ศ.ไหน ก็จดบันทึกในไดอารี่ไว้ก็ดีนะครับ จะขอหรือไม่ขอ.. เป็นอีกเรื่องหนึ่ง อย่างน้อยตอนแก่ ๆ เอาไว้อ่านเป็นเครื่องบรรณาการหัวใจให้สะออนก็ยังดี
เมื่อต้นเดือนเมษายนนี้เอง มีประกาศจากกรมการศาสนาถึงรายนามผู้บำเพ็ญประโยชน์ต่อพระพุทธศาสนาได้รางวัลเสาเสมาธรรมจักร เป็นพระสงฆ์และฆราวาส จำนวน 125 รูป/คนในจำนวนนี้มีสายต่างประเทศ 14 รูป/คน มีอเมริกา เบลเยี่ยม เม็กซิโก ออสเตรเลีย อังกฤษ สวีเดน มาเลเซีย มีชื่อผมติดโผรั้งท้ายอยู่อันดับที่ 14 แหม.. เกือบตกครับผม !! และผมก็ต้องมีอันเดินทางไปเมืองไทยอีกครั้งหนึ่ง ทั้งที่เพิ่งจะกลับมาได้เพียงเดือนเดียว ความรู้สึกดังที่พรรณนาภาษากลอนไว้ตอนต้น
ผู้ที่บำเพ็ญประโยชน์ทำคุณงามความดีและได้รับรางวัลสายต่างประเทศปีนี้มีคนที่ผมพอรู้จักคือ ท่านพระครูวินัยธรฐิติกร กัลลยาณธัมโม วัดพระธาตุดอยสุเทพ คุณทองหล่อ โพธิ์แดง กรรมการวัดไทยแอลเอ คุณจันทรกานต์ พรหมหาญ วัดพรหมคุณาราม และอีกท่านหนึ่งเคยเป็นพระธรรมทูตวัดไทยแอล พระรัตนสุธี (พระมหารวม สุเมธี) หลายท่านคงรู้จักและจำกันได้ ตอนนี้ท่านเป็นผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดไร่ขิง นครปฐม และอีกหลายท่านไม่เคยรู้จักกันมาก่อน เพียงแต่ได้ทักทายพูดคุยกันบ้างในวันงาน อย่างไรก็แล้วแต่ ผมขอแสดงความยินดีกับท่านผู้ที่ได้รับรางวัล เสาเสมาธรรมจักร ทั้งในประเทศไทยและสายต่างประเทศมา ณ โอกาสนี้ด้วย
จะขอรวบรัดตัดฉากมาที่วันงานเลยนะครับ วันอาทิตย์ที่ 11 พฤษภาคม 2557 วันนั้นผมตื่นแต่เช้าอาบน้ำแต่งตัว ด้วยชุดสากล สุภาพเรียบร้อย เสื้อขาวแขนยาว เน็คไทผ้าไหมสีม่วง สูทสีน้ำเงินอมเทา พี่เขยขับรถไปส่ง เพราะว่าผมพักอยู่ที่บ้านพี่สาว หมู่บ้านอนันดาสปอร์ตไลฟ์ กิ่งแก้ว ใกล้สนามบินสุวรรณภูมิ ต้องไปรายงานตัวที่ พิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติ เวลาเก้าโมงเช้า การเดินทางใน กทม.ช่วงนั้นต้องรู้และเจนจัดเส้นทางดี ไม่งั้นจะติดม๊อบลุงกำนันสุเทพ เพราะแกเพิ่งย้ายจากสวนลุมพินี มาตั้งเวทีแถวถนนราชดำเนิน ตั้งแต่สะพานมัฆวานถึงสี่แยกคอกวัว หลีกเลี่ยงลัดเลาะไปจนได้ เผอิญว่าเป็นวันอาทิตย์ถนนว่างจึงไปถึงตามกำหนดเวลา ผมไปรายงานตัวที่ห้องดำรงราชานุภาพ มีเจ้าหน้าที่ของกรมการศาสนาคอยอำนวยความสะดวก ตรวจรายชื่อว่าถูกต้อง ได้รับเอกสารพร้อมหนังสือ ต้องเรียกว่าหนังสืออนุสรณ์ครับ เพราะรวมรายชื่อและประวัติโดยย่อของแต่ละท่านไว้พอได้รู้จักหน้าค่าตากัน เก็บไว้ให้ดีครับ อีกหน่อยจะเป็นของหายากเหมือนพระสมเด็จฯ เพราะคงไม่มีการพิมพ์ครั้งที่ 2 ที่ 3 อีก
รายงานตัวแล้วออกมาด้านหน้าอาคาร ยังไม่ทันไปไหนเลย ร้านถ่ายรูปก็มาจองตัวเป็นนายแบบ ถามว่าจะรับภาพในพิธีไหมคะ เห็นมีภาพดาราและคนดังที่รับเมื่อปีที่แล้วมาตั้งโชว์ ผมก็จองไว้ชุดหนึ่ง ฝันหวานในใจว่า..เผื่อจะได้เป็นนายแบบโชว์ปีหน้ากับเขาบ้าง พร้อมกับชำระเงิน และให้ที่อยู่ไว้เรียบร้อย ทางร้านจะจัดส่งให้ถึงบ้าน จากนั้นก็ออกมาเตร่แถวสนามหน้าอาคาร พระสงฆ์องค์เจ้าผู้คนเริ่มทยอยกันเข้ามาหนาตา โดยเฉพาะหลวงพ่อที่มาจากต่างจังหวัด มีขบวนรถตู้แม่ยกพ่อยกตามมาร่วมแสดงมุทิตาจิตตามประเพณี มากันตรึม ผมถึงกับรำพึงรำพันกับตัวเองว่า “หันมาดูตัวเราแล้วเศร้าจิต จะหามิตรชิดใกล้ก็หายหน้า มาคนเดียวหน้าเหี่ยวเปลี่ยวเอกา ช่างเหว่ว้ามองหาหน้าไม่เจอ”
อากาศก็เริ่มร้อนอบอ้าว ถอดเสื้อนอกออกขยับเน็คไทให้หลวมหน่อย หาร่มไม้ชายคาพักพิงพอคลายร้อน หยิบหนังสืออนุสรณ์ที่แจกมาอ่าน หารายชื่อต่างประเทศมีใครบ้างเผื่อจะรู้จัก มีรู้จักเพียงไม่กี่คน สักครู่หนึ่งก็มีเจ้าหน้าที่มาเชิญไปร่วมถวายภัตตาหารเพลพระคุณเจ้าที่มารับรางวัล และอยู่ร่วมรับประทานอาหารกลางวัน โต๊ะผมมีคนดังระดับคุณหมอ นักวิชาการ นักปฏิบัติธรรม ผมได้รับรู้สิ่งอะไรดีๆ ท่านหนึ่งคือนายแพทย์อุดม ภู่วโรดม ท่านถามผมว่า คุณวัลลภ เป็นญาติกับนายแพทย์อุดม คชินทร หรือครับ? ผมเขิลล์..นะเนี่ย !! นามสกุลไปพร้องกับคนดัง คุณหมออุดมเป็นแพทย์ประจำในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และคณะบดีคณะแพทย์ศาสตร์ศิริราชพยาบาล
หลังจากรับประทานกลางวันแล้ว เจ้าหน้าที่ได้แจ้งให้ทุกคนทราบว่า ท่านอธิบดีกรมการศาสนาเชิญร่วมประชุมสัมมนาที่ห้องดำรงราชานุภาพ เนื้อหาสาระในการประชุมท่านอธิบดีแจ้งว่าปีนี้เป็นปีแรกที่มีการประชุม เพราะต้องการให้ผู้ที่รับรางวัลปีนี้ร่วมด้วยช่วยกันสร้างเครือข่าย ในการเผยแผ่ทำนุบำรุง และบำเพ็ญประโยชน์ต่อพระพุทธศาสนา ท่านให้เสนอผู้ที่จะมาเป็นประธานกลุ่มแต่ละภาค เหนือ กลาง ใต้ อีสาน ทุกท่านก็ขานรับนโยบายดังกล่าว ผมเห็นว่าสายต่างประเทศยังไม่มีใครเสนอ จึงยกมือเรียนถามว่า จะมีการสร้างเครือข่ายในสายต่างประเทศไหมครับท่าน ท่านอธิบกรมการศาสนา ดีครับ ต้องการครับ และขอให้ผมเสนอ ผมนึกในใจหาเหาใส่หัวแล้วซิเรา !! มองไม่เห็นใคร พึ่งพระดีกว่า จึงได้เสนอหลวงพ่อพระครูวินัยธรฐิติกร กัลลญาณธัมโม วัดพระธาตุดอยสุเทพ ให้เป็นประธาน และท่านก็เมตตารับไว้ จากนั้นท่านอธิบดีจึงสรุปผลการประชุม และจะให้เลขาติดต่อประสานงานกับประธานแต่ละฝ่ายเพื่อประชุมและวางแผนการดำเนินงานกันอีกที ก็หวังว่าการสร้างเครือข่ายคงไม่หายไปกับสายลมนะครับท่าน
บ่าย 2 โมงปิดการประชุม ผู้ที่เข้ารับรางวัลทุกท่านก็ไปรวมตัวกันที่ ปะรำมณฑลพิธี ณ ท้องสนามหลวงเพื่อเตรียมรับเสด็จสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี พระองค์เสด็จมาเป็นประธานในงานสัปดาห์ส่งเสริมเสริมพระพุทธศาสนาและวิสาขบูชา และพระราชทานรางวัลในครั้งนี้ ในขณะที่รอเวลาพระองค์ท่านเสด็จนั้น พนักงานก็เอาพัดมาแจกจ่าย ร้อนก็ร้อนครับ แต่ใจจดจ่อเพื่อรอรับเสด็จ ก็พระองค์ท่านทรงเป็นขวัญใจและที่รักยิ่งของปวงพสกนิกรชาวไทย โดยเฉพาะผมเองยังไม่เคยเข้าเฝ้าต่อหน้าพระพักตร์เลย ภายนอกอากาศร้อนก็จริง แต่ในใจร่มเย็นเป็นสุขอิ่มเอิบใจอย่างบอกไม่ถูก
สิ่งหนึ่งที่รู้สึกเสียดายมากคือ ทุกปีๆ ผู้เข้าเฝ้าได้รับพระราชทานเสาเสมาธรรมจักรจากพระหัตถ์ของพระองค์ แต่ปีนี้ทรงมีพระอาการเจ็บพระกร จึงมอบเกียรติบัตรแทน และไปรับเสาเสมาธรรมจักรจากท่านอธิบดีกรมการศาสนาหลังเสร็จพิธี และที่น่าเสียดายอีกอย่างหนึ่งที่ไม่ได้บันทึกภาพบรรยากาศในงาน เพราะคิดว่าเอากล้องและโทรศัพท์เข้าไปในงานไม่ได้ ปรากฏว่าคนถ่ายภาพกันพรึบไปหมด
การได้รับรางวัลพระราชทาน “เสาเสมาธรรมจักร” ในครั้งนี้นับว่าเป็นพระกรุณาธิคุณอย่างล้นพ้น และเป็นรางวัลอันเป็นมงคลสูงส่งสำหรับชีวิต ก็ขอจบเรื่องราวอันดีงาม ประทับไว้ในดวงจิตด้วยบทกวีนิพนธ์
เป็นรางวัลความดีแห่งชีวิต
ฟ้าลิขิตให้สง่าเสริมราศรี
น้อมกราบบาท “สยามราชกุมารี”
ขอชีพ “พลี” เป็นข้าบาททุกชาติไปฯ