ซุปเปอร์แพท
ปิยะพัชรี ศิลปี



เปลี่ยนเป็นคนใหม่ กับ ปีใหม่ 2022

ปีใหม่ 2022 กำลังจะมาถึงแล้วอีกเพีย 2 อาทิตย์เท่านั้น คิดกันไว้รึยังคะว่า ปีใหม่นี้จะทำอะไรใหม่ๆกันบ้าง นอกจากสนุกสนานกับงาน ส่งท้ายปีเก่า ต้อนรับปีใหม่ พวกเรา เกือบ 60 คนจะพากันไปฉลองปีใหม่กับเรือล่องสำราญ Grand Princess Cruise ผู้ที่ไม่ได้ไปกับเราคงมีปาร์ตี้แตกต่างกันไป บ้างก็ไปวัด สวดมนต์ข้ามคืน บ้างก็อยู่ดื่มแชมเปญจน์เค๊านต์ดาวน์กับครอบครัว เพื่อนฝูง จะอย่างไรก็ขอ อวยพรล่วงหน้า Happy New Year ก่อนละกัน

นอกเหนือจากนั้นหลายคนคงตั้งปฎิธาน ทำสิ่งดีๆหลายอย่างแล้วแต่จุดประสงค์ของแต่ละคน ขอให้ประสบผลสำเร็จในสิ่งดีๆด้วย

ฉบับนี้ดิฉันจะเขียนถึงการเปลี่ยนแปลง ปรับปรุงเสริมความงาม เพื่อเป็นคนใหม่ที่สวย – หล่อ กว่าเก่า ดูเยาวัยกว่าเดิม ด้วยการศัลยกรรมผ่าตัดดึงหน้าไม่ว่าจะเป็นผู้หญิง หรือ ผู้ชาย ดิฉันคิดไว้ในใจเหมือนกัน จึงไปศึกษา ค้นคว้าและนำมาแบ่งปันเพื่อเป็นความรู้กัน ขอบคุณบทความนี้จากโรงพยาบาลบางมดมา ณ.ที่นี้ด้วยค่ะ

ศัลยกรรมความงาม กำลังได้รับความนิยมมากอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะการศัลยกรรมลดอายุ หรือการผ่าตัดดึงหน้า (Full Facelift) ซึ่ง ในวงการแพทย์ถือเป็นการผ่าตัดที่สามารถลดอายุได้มากที่สุด และศัลยแพทย์ทั่วโลก ได้มีการพัฒนาเทคนิคการผ่าตัดกันมาเรื่อย ๆ

ล่าสุดนี้ ศัลยแพทย์ สามารถดึงหน้าลดอายุได้มากกว่าเดิม เป็นธรรมชาติมากขึ้น และผลลัพธ์ที่ได้ อยู่คงทนถาวร ยาวนานมากขึ้น ภายใต้ concept “แผลเล็ก เจ็บน้อย หายเร็ว เป็นธรรมชาติ” ทำไมร้อยไหมเป็น 10 รอบ หน้าก็ยังหย่อนคล้อย ?? ผ่าตัดดึงหน้าเลยดีหรือไม่ ??

A : หลายท่าน ต้องการมีใบหน้าที่เด็กลง และส่วนมากเคยลอง วิธีต่าง ๆ เช่น ฉีด Botox, ร้อยไหม, Filler, Thermage, HIFU กันมาบ้างแล้ว สุดท้ายก็จะพบว่า วิธีเหล่านี้ไม่ได้ทำให้ใบหน้าเด็กลงได้มากอย่างที่ใจคิด และผลที่ได้เป็นเพียงแค่ชั่วคราว บางท่านร้อยไหมมาเป็น10 รอบ สุดท้ายใบหน้าก็ยังหย่อนคล้อยอยู่ ซึ่งเป็นเรื่องปกติ

เพราะการรักษาที่กล่าวมาข้างต้น เรียกว่า "non - invasive procedure" พูดง่าย ๆ คือ วิธีที่ไม่ได้ผ่าตัด ข้อดีคือ ทำง่าย สะดวกรวดเร็ว ไม่มีแผลผ่าตัด พักฟื้นไม่นาน และแก้ความหย่อนคล้อยเล็ก ๆ น้อย ๆ ได้ดี แต่ข้อเสียของมันคือ ไม่สามารถแก้ไขความหย่อนคล้อยที่มาก ๆ ได้ และผลลัพธ์ที่ได้ ไม่คงทนถาวร ดังนั้นวิธีเหล่านี้จึงเหมาะสำหรับ คนที่อายุไม่มาก ใบหน้าหย่อนคล้อยไม่มาก และที่สำคัญ เราต้องเข้าใจด้วยว่า ผลที่ได้มันจะไม่ถาวร เช่น ร้อยไหม 1-2 ปี ก็ต้องไปร้อยใหม่เรื่อยๆ, Botox 6-8 เดือนก็ต้องฉีดใหม่ เป็นต้น

เปรียบเทียบกับ การผ่าตัดดึงหน้า (Facelift) ซึ่งถือเป็น "invasive procedure" คือ ต้องมีการผ่าตัด มีแผลผ่าตัด การบวมช้ำมากกว่า มีการพักฟื้นที่ยาวนานกว่า มีความเสี่ยงในการผ่าตัด จึงต้องทำโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเท่านั้น แต่ข้อดีของมันก็มีมากมายเช่นกัน คือ การผ่าตัด สามารถแก้ไขปัญหาความหย่อนคล้อยมาก ๆ ได้ สามารถเปลี่ยนแปลงใบหน้าได้มาก โดยเฉลี่ยอายุลดลงได้ถึง 10-20 ปี และที่สำคัญ คือ ผลลัพธ์ที่ได้คงทนถาวร มากกว่าวิธีอื่นๆ จึงเหมาะกับผู้ที่มีอายุมาก มีปัญหาความหย่อนคล้อยมาก ๆ ผู้ที่ต้องการผลลัพธ์ที่เปลี่ยนแปลงชัดเจน และคงทนถาวร ดังนั้นไม่ว่าจะเลือกรักษาด้วยวิธีใด เราควรรู้ข้อดี ข้อเสีย ของมันก่อน จะได้เลือกได้อย่างเหมาะสม และเข้าใจว่าผลลัพธ์ที่จะได้ ควรจะเป็นเช่นไร เทคนิคใหม่

1. ฉีดยาชาเฉพาะที่ แทนการดมยาสลบ จะทำให้ปลอดภัยมากขึ้น โดยเฉพาะในผู้สูงอายุ จะไม่เสี่ยงต่อผลแทรกซ้อนจากการดมยาสลบ

2. ใช้เวลาผ่าตัดเร็วขึ้นเพียง 2-3ชม. ทำให้เนื้อเยื่อบวมช้ำน้อยลง และเวลาพักฟื้น เข้าที่เร็วขึ้น

3. ดึงหน้าในชั้นลึก (SMAS) ร่วมด้วย ทำให้ได้ผลลัพธ์ที่เป็นธรรมชาติมากขึ้น และอยู่คงทนถาวรมากขึ้น

4. สามารถเลือกทำเป็นส่วน ๆ ที่มีปัญหาได้ โดยแบ่งใบหน้าเป็น 4 ส่วน ดังนี้

ดึงหางตา (Temporal lift) เพื่อแก้ไขหางตาที่ตก ให้ยกขึ้น และแก้รอยตีนกา (Crow’ s feet) บริเวณหางตา ทำให้ใบหน้าส่วนบนตึงขึ้น โหนกแก้มยกสูงขึ้น

ดึงหน้าส่วนกลาง (Midface lift) เพื่อยกโหนกแก้มขึ้น ทำให้ใบหน้าส่วนกลางตึงขึ้น

ดึงหน้าส่วนล่าง (SMASectomy + plication) เพื่อแก้ไขปัญหาร่องแก้ม (Nasolabial fold) ที่ลึกให้จางลง, แก้ไขร่องน้ำหมาก (Marionette line) ให้จางลง ทำให้ใบหน้าส่วนล่างตึงขึ้น ใบหน้าส่วนล่างที่หย่อน (Jowl) ถูกยกขึ้น ทำให้ดูเรียวขึ้นเป็น V-shape

ดึงคอ (Necklift) ทำให้ลำคอตึงขึ้น ลดความหย่อนคล้อย และเหนียงบริเวณคอ เพื่อให้เข้ากับส่วนของใบหน้าที่อ่อนวัยลง

ลักษณะใบหน้าแบบไหน ที่ทำศัลยกรรมดึงหน้า (Full Facelift) แล้วได้ผลดีมาก ? หลายคนคงสงสัยว่า ลักษณะใบหน้าของเราเหมาะที่จะทำศัลยกรรมดึงหน้าหรือไม่ ? ทำไมบางคนดึงหน้ามาแล้วดูไม่ค่อยแตกต่าง แต่บางคนทำแล้วกลับหน้าเด็กลงหลายสิบปี ???

ลักษณะใบหน้าที่เหมาะกับการทำศัลยกรรมดึงหน้า ทำแล้วได้ผลลัพธ์ที่ดี แตกต่างจากเดิมชัดเจน มีดังนี้

1. คนที่มีใบหน้าแคบ

เพราะระยะทางจากแผลผ่าตัด (ซึ่งอยู่บริเวณไรผมด้านข้าง) มาถึง ริ้วรอยต่าง ๆ บริเวณกลางใบหน้า มีระยะทางที่สั้น การผ่าตัดจึงทำได้ง่าย ดึงเพียงเล็กน้อย ความตึงก็ถึงบริเวณกลางใบหน้า ทำให้ลดริ้วรอยต่าง ๆ ได้ดี

2. คนที่มีผิวบางและอ่อนนุ่ม

ในการผ่าตัดจะสามารถดึงชั้นผิวหนังให้ตึงได้ง่าย และมากกว่าคนที่มีผิวหนา และแข็ง ตัวอย่างเช่น คนที่เคยฉีดสารต่าง ๆ ที่หน้า / เคยร้อยไหมหลายครั้ง / เคยผ่าตัดดึงหน้ามาก่อน จะมีพังผืดเกิดขึ้นในชั้นใต้ผิวหนัง ผิวจะแข็ง ทำให้การผ่าตัดดึงหน้าได้ผลไม่ชัดเจนเท่าคนที่ผิวบางและอ่อนนุ่ม

3. คนที่มีใบหน้าหย่อนคล้อยมาก

มีริ้วรอยต่าง ๆ ชัดเจน (รอยตีนกา ร่องแก้ม ร่องน้ำหมาก เหนียงที่คอ เป็นต้น) ยิ่งมีริ้วรอยมาก การผ่าตัดก็จะทำให้เห็นความแตกต่างจากเดิมได้ชัดเจน

ก่อน และหลังทำศัลยกรรม “ผ่าตัดดึงหน้า” ควรเตรียมตัวอย่างไร ?

A : การปฏิบัติตัวสำหรับเตรียมความพร้อมก่อนทำศัลยกรรม และการดูแลตัวเองหลังการทำศัลยกรรม ถือว่าเป็นสิ่งที่สำคัญมาก ๆ เลย เพราะจะยิ่งช่วยทำให้การทำศัลยกรรม มั่นใจยิ่งกว่า และได้ผลดียิ่งขึ้น จะมีเรื่องที่น่ารู้อย่างไรบ้างนั้น มาดูกัน การปฏิบัติตัวสำหรับเตรียมความพร้อมก่อนทำศัลยกรรม

1. โรคประจำตัว

โรคที่ถือเป็นข้อห้าม คือโรคที่เกี่ยวกับการแข็งตัวของเลือด เช่น เลือดออกง่ายหยุดยาก ส่วนโรคทั่วไปอื่น ๆ เช่น ความดัน เบาหวาน ไทรอยด์ สามารถทำผ่าตัดได้ แต่ต้องควบคุมโรคให้อยู่ในภาวะปกติให้ได้เสียก่อน ไม่ควรผ่าตัดในช่วงที่มีภาวะเจ็บป่วย หรือมีการติดเชื้อของผิวหนังบริเวณที่จะทำผ่าตัด

2. ยา

หากทานยากลุ่มแอสไพริน ยาแก้ปวด เช่น Ibuprofen Diclofenac ฮอร์โมน วิตามิน คอลลาเจน สมุนไพรต่างๆ ควรงด 1 สัปดาห์ ก่อนการผ่าตัด ยารักษาความดัน และเบาหวาน รับประทานได้ตามปกติ ไม่ต้องหยุดยา หากทานยาที่ยับยั้งการแข็งตัวของเลือด เช่น warfarin ควรปรึกษาแพทย์ที่ให้ยาก่อนทุกครั้ง

3. การรับประทานอาหาร

ถ้าต้องทำผ่าตัดที่ใช้การฉีดยาชาเฉพาะที่ ไม่จำเป็นต้องงดอาหารและน้ำ ทานได้ตามปกติ ในปริมาณที่พอเหมาะ ถ้าต้องผ่าตัดโดยการดมยาสลบ หรือฉีดยานำสลบ ควรงดอาหารและน้ำอย่างน้อย 6-8 ชั่วโมงก่อนผ่าตัด 4. การดูแลตัวเองและอื่นๆ งดสูบบุหรี่ อย่างน้อย 2 สัปดาห์ก่อน และหลังการทำศัลยกรรมความงามใบหน้า ถ้าเป็นไปด้วยควรสระผมคืนก่อนทำศัลยกรรมความงามหรือช่วงเช้า ไม่ต้องแต่งหน้าในวันที่เข้ารับการปรึกษาแพทย์ หรือวันนัดทำศัลยกรรมความงาม การดูแลตัวเองหลังการทำศัลยกรรม

1. การดูแลแผลผ่าตัด

แผลผ่าตัดจะมีไหมเย็บขนาดเล็ก ซึ่งสามารถตัดไหมได้ ประมาณ 5-7 วันตามนัด ในกรณีที่เป็นไหมละลายนั้น ไหมจะละลายเอง ใช้เวลาประมาณ 1-2 เดือน คนไข้สามารถทำความสะอาดหน้าได้ตามปกติ แต่ควรระวังไม่ให้แผลถูกน้ำ เพราะเสี่ยงต่อการติดเชื้อบริเวณแผลผ่าตัด แต่หากโดนน้ำก็ซับให้แห้งการดูแลแผล ให้ใช้ไม้พันสำลีชุบน้ำเกลือ เช็ดที่แผลและบริเวณรอบ ๆ เพื่อกำจัดคราบที่เกรอะกรัง แล้วทาครีมขี้ผึ้งฆ่าเชื้อเพื่อให้แผลมีความชุ่มชื้น วันละ 2 ครั้ง เช้า - เย็นหลังอาบน้ำ

2. การบวมและฟกช้ำ ในช่วง 48 ชั่วโมงแรกหลังผ่าตัด ควรมีเวลาพัก แล้วประคบเย็นโดยใช้น้ำแข็ง หรือ cold pack ประคบบริเวณรอบ ๆ แผลผ่าตัดบ่อย ๆ ตามต้องการเพื่อช่วยลดบวม และลดเลือดออก อาจใช้ผ้าบาง ๆ เช่นผ้าเช็ดหน้าวางรองที่แผลก่อน ตอนนอนหลับไม่ต้องประคบ

หลังจาก 48 ชั่วโมงไปแล้ว ให้ประคบอุ่นสลับเย็น ประคบได้จนถึง 2 สัปดาห์หลังผ่าตัด หรือขึ้นกับอาการบวม การบวมและฟกช้ำมักจะเกิดขึ้นในช่วง 2-3 วันแรกซึ่งเป็นเรื่องปกติหลังผ่าตัด อาการบวมจะค่อย ๆ ยุบลง ประมาณ 70-80% เมื่อ 1 สัปดาห์ และสามารถยุบได้จนหายสนิท เมื่อเวลาผ่านไปประมาณ 1-2 เดือน

3. การทำกิจกรรม สามารถทำกิจวัตรประจำวันได้ตามปกติ ควรหลีกเลี่ยงการกระทบกระแทกบริเวณที่ทำผ่าตัด งดการยกของหนักช่วง 2-3 วันแรก ส่วนการออกกำลังกายเบา ๆ เช่น วิ่งจ๊อกกิ้ง โยคะ เริ่มได้ 1 สัปดาห์หลังผ่าตัด การออกกำลังกายที่ใช้แรงมากควรเว้นประมาณ 2 สัปดาห์ การรับประทานอาหารสามารถรับประทานได้ตามปกติ แนะนำให้ทานอาหารอ่อน ๆ ในช่วงแรกเพื่อป้องกันการกระทบกระเทือน หลีกเลี่ยงของหมักดอง แอลกอฮอล์ การสูบบุรี่ เพราะมีผลต่อการหายของแผล

4. แผลเป็น ในช่วงแรกแผลจะมีลักษณะเป็นเส้นเล็ก ๆ อาจมีรอยแดงบ้าง ต่อมาจะจางลงจนเป็นปกติได้ ช่วงแรกอาจมีความรู้สึกตึง ๆ แข็ง ๆ เนื่องจากเริ่มมีการปรับตัวของเนื้อเยื่อบริเวณแผล ซึ่งจะค่อย ๆ อ่อนนุ่มลงเรื่อย ๆ เมื่อเวลาผ่านไป ควรหลีกเลี่ยงการโดนแสงแดดจัด การระคายเคืองบริเวณแผลซึ่งจะรบกวนการหายของแผลผ่าตัด

หากผู้ใดมีความคิดที่จะทำศัลยกรรมดึงหน้า ดึงคอ บทความนี้คงมีประโยชน์บ้างไม่มากก็น้อยนะคะ

ด้วยรักและปรารถนาดี Happy New Year from Super Pat (323)702-0788