ซุปเปอร์แพท
ปิยะพัชรี ศิลปี



วันนี้ คุณบอกรัก กอด หรือซื้อของให้ คนรักคุณหรือยัง?

สวัสดีค่ะ พบกันอีกแล้วทุกสัปดาห์ วันนี้มีบทความแห่งความรักมาฝาก น่าสนใจดีทีเดียว เพราะบางทีเรามองข้ามสิ่งสำคัญในชีวิตไป มาดามจึงนำมาลงเพื่อเตือนใจให้นำไปปฎิบัติกัน

บางครั้งเราสื่อความรักของเราออกไปอีกฝ่าย เรียกได้ว่าเทให้หมดหน้าตัก ทำไมเขากลับไม่รู้สึกถึงความรักนั้น และมักจะเข้าใจผิดว่าเราไม่ใส่ใจ จนนำไปสู่การทะเลาะกันในที่สุด? สรุปแล้วความรักที่เราให้ มันส่งไปถึงเขาจริงๆ หรือเปล่าบอกรักแทบตาย แต่อีกฝ่ายไม่ได้ยินนับเป็นอีกปัญหาหนึ่งที่เราพบเจอบ่อยๆ ในความสัมพันธ์ ก็คือการที่เราแสดงความรักรูปแบบหนึ่งออกมาอย่างตั้งใจ เพื่อหวังให้อีกคนรับรู้ถึงความรู้สึกที่เรามีให้ หรือรับรู้ว่าเขามีค่า มีความหมายต่อเรามากขนาดไหน เช่น หลังเลิกงานขับรถกลับบ้านผ่านร้านขนมหวานที่แฟนชอบ ก็มักจะซื้อกลับไปฝากทุกครั้งเพื่อให้เขาดีใจ หรือเห็นว่าช่วงนี้พื้นรองเท้าของแฟนเริ่มผุผัง ก็ไปเดินเลือกซื้อคู่ใหม่มาให้ หวังจะเซอร์ไพรส์สักหน่อย

แต่วันหนึ่งแฟนกลับบอกว่าเราไม่ได้รักเขาเลย เมื่อถามว่าทำไมถึงคิดแบบนั้นล่ะ? เขาตอบกลับมาว่า “ก็เพราะเธอไม่เคยบอกรักเราเลยน่ะสิ”

เชื่อว่าร้อยทั้งร้อยคงรู้สึกเซ็ง เฟล โกรธ และเสียใจปะปนกันไปในขณะเดียวกัน แถมท้อใจที่อุตส่าห์ทำอะไรต่างๆ ให้มากมาย สุดท้ายเขาไม่เห็นความหมายของการกระทำนั้นเลย เพียงเพราะเราเป็นคนที่บอกรักไม่เก่ง หรือมองว่าการกระทำสำคัญกว่าคำพูดเท่านั้นเอง แต่จริงๆ แล้ว ปัญหาความไม่เข้าใจที่ว่านี้ไม่ใช่โจทย์ที่ยากอะไรนัก หากเราเรียนรู้ ‘ความต้องการ’ ของอีกฝ่ายให้มากขึ้นไม่ใช่ไม่รัก แต่เราแค่บอกรักกันคนละภาษา

ในปี ค.ศ.1992 นักเขียนและนักให้คำปรึกษาชาวอเมริกา แกรี่ แชปแมน (Gary Chapman) ผู้จบการศึกษาทางด้านสังคมศาสตร์ ได้เขียนหนังสือชื่อ The Five Love Languages: How to Express Heartfelt Commitment to Your Mate ซึ่งเป็นหนังสือขายดีเล่มหนึ่งที่กล่าวถึงคอนเซ็ปต์ของ ‘ภาษารัก’ ที่ได้ช่วยให้คู่รักเรียนรู้การแสดงความรักของตัวเอง และรับรู้ถึงความรักที่อีกฝ่ายส่งกลับมาให้

เนื่องจากแกรี่ได้ใช้เวลาหลายปี เพื่อสังเกตและจดบันทึกพฤติกรรมของคู่รักที่เข้ามาขอคำปรึกษาจากเขา และก็เห็นว่า คู่รักมักจะเกิดความเข้าใจผิดซึ่งกันและกัน เพราะพวกเขามีความต้องการในการแสดงความรักและรับรู้ถึงความรักที่แตกต่างกัน จนในที่สุด แกรี่ก็สรุปออกมาได้ว่า การสื่อสารความรักหรือภาษารักนั้น มีทั้งหมด 5 รูปแบบด้วยกัน ได้แก่

1 คำพูด (Words of Affirmation) ภาษาแรก คือ การแสดงความรักผ่านคำพูดหรือการสนทนา เช่น คำบอกรัก คำชื่นชม คำยกย่อง หรือคำพูดให้กำลังใจ เพราะบางคนชอบที่จะได้ยินว่าอีกฝ่ายรู้สึกยังไงกับตนเอง ดังนั้น พวกเขาจะรู้สึกดีใจมากที่ได้เห็นข้อความน่ารักๆ บนกระดาษโน้ต หรือถ้อยคำหวานๆ จากแจ้งเตือนในไลน์

2 การใช้เวลาร่วมกัน (Quality Time) ภาษาที่สอง คือ การแสดงความรักผ่านการใช้เวลาร่วมกันอย่างมีคุณภาพ บางคนจะรู้สึกถูกรักเมื่ออีกคนแสดงออกว่าอยากอยู่ด้วยกัน แต่พวกเขาไม่ได้ต้องการปริมาณหรือจำนวนชั่วโมงในการอยู่ด้วยกันมากนัก หากแต่ต้องการช่วงเวลาที่มีคุณภาพมากกว่า เช่น เมื่อได้อยู่ด้วยกันแล้ว ก็ต้องอยู่ให้คุ้ม ปิดมือถือแล้วใช้เวลาด้วยกันอย่างคุ้มค่า ดังนั้น การที่พวกเขาจะรู้สึกว่าตนเองถูกรัก ก็คงจะมาจากการที่อีกคนแสดงออกว่าอยากฟังหรือสนใจในสิ่งที่เขาพูดหรือทำมากกว่า

3 การสัมผัสทางร่างกาย (Physical Touch) ภาษาที่สาม คือ การแสดงความรักผ่านการสัมผัสตัว ในที่นี้ไม่ได้หมายถึงการมีเซ็กซ์เท่านั้น แต่หมายถึงการกอด จับถือ หอมแก้ม โ อบไหล่ หรือลูบหัว หรือที่เรียกว่า สกินชิป (skinship) ทำให้การเดตที่สมบูรณ์แบบของพวกเขา บางครั้งก็อาจมาในรูปแบบของการนอนกอดกันบนโซฟา แล้วเปิดหนังดีๆ สักเรื่องดู เพราะพวกเขาแค่อยากรู้สึกใกล้ชิดกับอีกฝ่ายเท่านั้น

4 การทำอะไรสักอย่างให้ (Acts of Service) ภาษาที่สี่ คือ การแสดงความรักผ่านการทำอะไรดีๆ ให้หรือการบริการอะไรสักอย่าง เช่น วันนี้อีกคนบ่นว่าเมื่อย อีกคนก็อาสาทำความสะอาดบ้านให้แทน หรือเห็นว่าน้ำมันรถของอีกคนใกล้จะหมด ก็เอารถไปเติมน้ำมันให้โดยที่อีกคนไม่ต้องขอ ซึ่งการกระทำเล็กๆ น้อยๆ เหล่านี้แหละที่ทำให้อีกคนรู้สึกได้รับความรัก เพราะพวกเขารู้สึกว่าตัวเองได้รับการเอาใจใส่

5 การให้/ได้รับของขวัญ (Giving/Receiving Gifts) ภาษาสุดท้าย คือ การบอกรักผ่านการให้ของขวัญ คนที่ใช้ภาษารักนี้จะมองว่า การให้ของขวัญเป็นสัญลักษณ์แทนการบอกรักอย่างหนึ่ง แต่ไม่ใช่ว่าพวกเขาจะอยากเป็นผู้รับอย่างเดียว เพราะเมื่อถึงโอกาสสำคัญ พวกเขาเองก็เป็นฝ่ายมอบของขวัญให้เช่นกัน และบางครั้งก็ไม่จำเป็นว่าของขวัญชิ้นนั้นจะต้องชิ้นใหญ่หรือมีราคาแพงแต่อย่างใด เพราะภาษารักที่ซ่อนอยู่ภายใต้การให้ของขวัญนั้น มีอะไรมากกว่ารูปลักษณ์ที่ดึงดูด หรือกล่าวคือ เพียงแค่อีกคนใช้เวลาในการเลือกซื้อของขวัญชิ้นใดชิ้นหนึ่งมาให้ นั่นก็แปลว่าเขาได้สื่อสารให้รู้แล้วว่าเขารู้จักอีกคนและแคร์อีกคนมากแค่ไหน นอกจากนี้ คนที่มีภาษารักแบบนี้มักจะจดจำของขวัญเล็กๆ น้อยๆ ที่ได้รับจากคนรักได้ดีอีกด้วย เพราะมันมีความหมายสำหรับพวกเขามากๆ ยังไงล่ะ

คงจะเห็นแล้วว่า แต่ละภาษามีการสื่อสารความรักที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง ซึ่งบางคนอาจจะใช้หลายภาษาในการบอกรัก ทั้งใช้เวลาอยู่ด้วยและก็ชอบบอกรัก หรือชอบที่จะให้สิ่งของและทำอะไรสักอย่างให้ แต่เมื่อนำไปเทียบกับอีกคน ภาษาที่เราใช้ดันไม่มีข้อไหนที่ตรงกันเลย จึงทำให้เกิดปัญหาความไม่เข้าใจดังที่กล่าวไปเมื่อตอนต้น

ถ้าในที่สุดแล้ว เราไม่รู้จะปรับภาษารักนั้นให้เหมือนกันได้ยังไง ก็ต้องกลับมาถามตัวเองดูแล้วว่า เมื่อคนรักใช้ภาษานี้ในการบอกรักเรา ซึ่งเป็นคนละภาษากับที่เราใช้ เราจะมองเห็นความรักและความทุ่มเทของเขาได้หรือเปล่า? ทั้งๆ ที่มันก็เป็นการบอกรักอย่างหนึ่งเหมือนกัน สุดท้าย มันก็เป็นเรื่องของการจูนเข้าหากันให้ได้มากที่สุดนั่นแหละเนอะ

ในความสัมพันธ์ไม่ว่าจะรูปแบบไหน การสื่อสารนับว่าเป็นสิ่งสำคัญที่ช่วยประคับประคองให้มันราบรื่นตลอดรอดฝั่ง ไม่ต่างไปจากความรู้สึกที่มีอยู่ข้างในเลย ยังไงลองพูดคุยกันถึงความต้องการที่เราและเขามี เพื่อที่ว่าสุดท้ายจะได้พบกับทางออกหรือจุดตรงกลาง ที่เราและเขาก็ต่างสบายใจกับจุดนั้นมากที่สุด (ขอบคุณข้อมูลจากอินเตอร์เน็ท)

สุดท้าย บอกรัก ดวยวิธีใด วิธีหนึ่งย่อมได้ ขอให้มีความจริงใจ ซื่อสัตย์ เสมอต้นเสมอปลาย ต่อกัน เท่านั้นเป็นพอ ขอให้โชคดีกันทุกคน

ด้วยรัก และ ปรารถนาดี จาก Madam Super Pat (323)702-0788