สุขภาพและการบำบัด
สดศรี สุริยะฉาย
ความหวังใหม่ (ของคนอ้วน)

หัวข้อเรื่องนี้ไม่ได้พาดพิงถึงการเมืองที่ซื้อ ส.ส. กัน 2 ล้าน เลยต้องให้คำจำกัดความไว้ว่าจะพูดถึงอีกเรื่องหนึ่งที่คนไม่อยากได้ยิน นอกจากเรื่องความแก่แล้ว ก็เห็นจะมีเรื่องความอ้วนด้วย คนทั่วไปรู้ดีว่าการลดไขมันนั้นยากยิ่งกว่าเข็นครกขึ้นภูเขา เดี๋ยวนี้อเมริกาและยุโรปเลิกรณรงค์ไม่ให้อ้วนแล้ว กลายเป็นว่าถ้าจะอ้วนก็ให้อ้วนไปเถอะ สังขารเป็นของไม่เที่ยง ยอมรับสภาพอ้วนดีกว่า เพราะภายในความอ้วนยังมีมันสมองสติปัญญาที่มีความคิดอันทรงค่าอยู่อีกมหาศาล

แต่จะปล่อยให้อ้วนไปไย ในเมื่ออ้วนแล้วนำปัญหาต่างๆ มาให้ ตั้งแต่เบาหวานประเภทสอง โรคหัวใจ ความดันโลหิต และมะเร็งบางประเภท แล้วเดี๋ยวนี้วิทยาศาสตร์การแพทย์ก็ก้าวหน้าไปชนิดที่ไม่ต้องใช้สารเคมีไปลดความอ้วน หรือกดดันระบบประสาทให้แปรปรวนจนร่างกายรวนเรทำงานไม่ถูก พาลอยากฆ่าตัวตายหลังจากกินยาลดความอ้วนไปเสียเลย หรือไม่ก็เสียกำลังของกล้ามเนื้อ และไม่สบายหนักไปกว่าปล่อยให้อ้วนเสียอีก

ความอ้วนไม่ใช่เป็นสิ่งหลีกเลี่ยงไม่ได้ เราต้องยอมรับรู้ว่าความอ้วนมาจากไขมันส่วนเกินที่ร่างกายไม่ได้ใช้ให้เป็นพลังงาน เดี๋ยวนี้เรากินแล้วนั่ง กินแล้วนอนเป็นส่วนใหญ่ของชีวิตประจำวัน ถ้ามีอะไรที่สามารถใช้อาหารส่วนเกินให้เป็นพลังงานได้ตอนเรานั่ง ตอนเรานอน เราก็ควรให้ความสนใจมิใช่หรือ

ไขมันส่วนเกินของร่างกายมี 2 รูป คือไขมันส่วนกลาง (Central Fat) และไขมันกระจาย (Peripheral Fat) ไขมันส่วนกลางรอบเอวและหน้าท้องเป็นตัวนำโรค เช่นไขมันแข็งตัวตามผนังเส้นเลือด (Atherosclerosis) เบาหวานประเภทสอง คือน้ำตาลสูงเกินไปและซินโดรมเอกซ์ (Syndrome X) อันเป็นลักษณะเกี่ยวกับความดันโลหิตสูง ดื้อต่ออินซูลิน ไขมันโคเลสเตอรอลสูง และไขมันแข็งตัวตามผนังเส้นเลือดก่อนวัย โรคต่างๆ เหล่านี้มาจากการไม่สามารถมองเห็นหัวแม่เท้าของตัวเองได้ เพราะพุงยื่นส่ออันตราย ส่วนไขมันอีกประเภทหนึ่งคือไขมันกระจาย ตามแขน ตามขา ตามสะโพก ส่ออันตรายต่อสุขภาพโดยทั่วไปน้อยกว่า

คนเราชักจะอ้วนกันมากขึ้น ระยะ 35 ปีมานี้คนอ้วนเพิ่มจาก 1 ใน 3 ตอนปี 1980 เป็น 1 ใน 4 ตอนปี 1996 และเดี๋ยวนี้กลายเป็นส่วนใหญ่อ้วนแล้ว ในขณะที่เราตัดการกินอาหารประเภทเนยและไขมัน หันไปกินข้าว ก๋วยเตี๋ยว ขนมหวานกัน ก่อให้โรคหัววายลดลง แต่เป็นเบาหวานกันเพิ่มขึ้น และมองไม่เห็นหัวแม่เท้ากันมากขึ้น แม้แต่เด็กก็อ้วนแล้ว ทั้งนี้ ลักษณะชีวิตประจำวันก็ส่งผลด้วย เช่นปากกินไม่หยุดในเวลาที่มือก็หมุนหาช่องเคเบิล ทำให้เป็นการยากต่อการลดความอ้วน เพราะโรคอ้วนโดยมากมาจากการขาดโกรทฮอร์โมนและขาดการออกกำลังกายเป็นส่วนใหญ่ ดังที่เคยกล่าวมาแล้วว่า การออกกำลังกายถึงจุดหนึ่งจะกระตุ้นการผลิตโกรทฮอร์โมนได้ ดังเช่นที่อาร์โนลด์ ชวาเซนเนกเกอร์กระทำ

แพทย์กล่าวว่าชายอ้วนจะผลิตโกรทฮอร์โมนน้อยลง 25 เปอร์เซ็นต์ และกระตุ้นการส่งโกรทฮอร์โมนเข้าระบบกระแสโลหิตน้อยกว่าชายรูปร่างปกติ 3 เท่า ดอกเตอร์รุดแมนและนักวิทยาศาสตร์อื่นๆ ได้รายงานถึงผลตรงกันข้ามระหว่างโกรทฮอร์โมนกับไขมัน ยิ่งไขมันมากเท่าใด ยิ่งมีโกรทฮอร์โมนหมุนเวียนน้อยลงเท่านั้น และถ้าคุณมีไขมันน้อยเท่าใดก็จะมีโกรทฮอร์โมนมากเท่านั้น แพทย์บางคนบอกว่ารูปร่างเหมือนแอปเปิลไม่ค่อยดี รูปร่างแบบลูกแพร์ยังมีความเสี่ยงต่อโรคหัวใจและเบาหวานน้อยกว่า เพราะอ้วนกลางหมายถึงการลดปริมาณโกรทฮอร์โมนในร่างกาย

ความอ้วนไม่ใช่กรรมที่ต้องยอมรับในชีวิตประจำวัน แต่ยิ่งต้องการลดความอ้วนก็ยิ่งลดความอ้วนก็ยิ่งเหมือนกับพยายามเดินทวนขึ้นบันไดเลื่อนขาลง ใช้ความพยายามมากได้ผลน้อย บางทีอดอาหารลดไปได้หลายปอนด์ แต่แล้วก็ได้กลับคืนมาใหม่เกือบร้อยเปอร์เซ็นต์ ทุกวันนี้เชื่อถือได้ว่าโกรทฮอร์โมนคือตัวคุมไขมันในตัวตน ในการทดลองกับผู้ชายสูงอายุที่สุขภาพดี ด้วยการฉีดโกรทฮอร์โมนน้อยๆ เป็นเวลา 9 เดือน ลดปริมาณไขมันส่วนกลาง 9.2 เปอร์เซ็นต์ และลดไขมันที่หน้าท้อง 6.1 เปอร์เซ็นต์ และลดไขมันส่วนกลางที่อยู่ใต้ผิวส่วนลึก 18.1 เปอร์เซ็นต์ ผลลัพธ์นี้ไม่มีการอดอาหารหรือออกกำลังกายระหว่างการทดลอง การทดลองนี้กระทำที่โรงพยาบาลซาลเกรนสกา โดยกุมมันเดอร์ โจฮันสัน แห่งเมืองเบงท์สัน

โกรทฮอร์โมนทำงานอย่างไรในการควบคุมไขมันในร่างกาย โกรทฮอร์โมนส่งเสริมการเผาผลาญไขมันให้เป็นเชื้อเพลิงแห่งพลังงาน เหมือนกับหยิบไม้ป้อนเข้าไฟในเตาผิง โดยการเพิ่มกรดไขมันอิสระให้มากขึ้น โกรทฮอร์โมนช่วยขุมแห่งไขมันพร้อมต่อการใช้เป็นพลังงาน ดังที่ได้ทดลองฉีดโกรทฮอร์โมนให้กับเด็กที่ต่อมพิจุอิทารีพิการ ปรากฏว่าสามารถลดได้ทั้งปริมาณและขนาดของเซลล์ไขมัน เพราะเซลล์ไขมันมีจุดรับโกรทฮอร์โมน เมื่อโกรทฮอร์โมนเข้าไปทำงานกับจุดรับ จะก่อให้เกิดปฏิกิริยาทางเอนไซม์ในเซลล์ที่จะสามารถสลายไขมันลงได้ เรียกว่าลิโปไลซิส หรือการสลายไขมัน (Lipolysis) โกรทฮอร์โมนสามารถที่จะกำจัดไขมันโดยแปรเป็นการเพิ่มพลังงานทั่วไปเพื่อที่ร่างกายจะสามารถสังเคราะห์แคลอรี่ต่างๆ เร็วขึ้น ก็เลยไม่มีไขมันต้องสะสม เรียกว่าปฏิกิริยาสังเคราะห์ต่อเนื่องธรรมดาที่ได้ผล

อีกทฤษฎีหนึ่งที่ดอกเตอร์รุดแมนและคณะอธิบายถึงกลไกการสูญเสียเซลล์ไขมัน โดยการที่โกรทฮอร์โมนเข้าไปทำงานกับฮอร์โมนอีกตัวหนึ่งชื่อว่าอินซูลิน ในขณะที่อินซูลินส่งเสริมการสร้างไขมัน เรียกว่าลิโปเจเนซิส (Lipogenesis) โกรทฮอร์โมนส่งเสริมการสลายไขมัน (Lipolysis) โดยการปฏิบัติงานดังนี้ อินซูลินเหมือนกับกลไกเปิดประตูโรงเก็บรถอัตโนมัติ ปล่อยให้กลูโคส อะมิโนแอซิตและไขมันเดินทางเข้าสู่เซลล์ โกรทฮอร์โมนทำให้จุดรับเสื่อมโดยปิดทางแห่งตาไฟฟ้าที่จะกระตุ้นการเปิดประตูอัตโนมัติ กั้นกระแสแห่งไขมันและน้ำตาลมิให้เข้าไปในเซลล์ เด็กวัยเยาว์มีโกรธฮอร์โมนสูงจึงมีเซลล์ที่ผอม ถ้าไม่มีโกรทฮอร์โมนไปสกัดกั้นการเปิดประตูของอินซูลิน เซลล์ไขมันก็มีอิสรภาพที่จะขยายตัว

ในรายของโรคอ้วน (Obesity) ที่โกรทฮอร์โมนถูกสกัดกั้นโดยเซลล์ไขมันสามารถแก้ไขได้ ที่สเปน กลุ่มนักค้นคว้านำโดยเฟอร์นานโด คอร์ดิโด ใช้วิธีบำบัดด้วยฮอร์โมนกระตุ้นการปล่อยโกรทฮอร์โมน (Hormone-releasing hormone) และยากระตุ้นการผลิตโกรทฮอร์โมนเรียกว่า GHRP6 กับรายที่เป็นโรคอ้วนซึ่งมีน้ำหนักตัวสูงกว่าอัตรากำหนดเกินกว่า 130 เปอร์เซ็นต์ สารประกอบ 2 ชนิดข้างต้นทำงานประสานกันในการปล่อยโกรทฮอร์โมนปริมาณสูงในคนไข้ทดลอง หลังจากการทดลองรายงานว่า “การใช้สารประกอบร่วมกันระหว่าง GHRP6 และ GHRH แสดงการผลิตและระบายโกรทฮอร์โมนเข้าระบบโลหิตเป็นจำนวนมากอย่างมีประสิทธิภาพและกลับกันกับที่เคยเป็นมาก่อน”

มีคนที่ใช้โกรทฮอร์โมนหลายคนได้ผลในการลดไขมัน เช่น โฮวาร์ด เทอร์นี่ ซึ่งลดเอวได้ 9 นิ้ว ดร.เชน สามารถลดพุงกะทิหม้อใหญ่ได้ ผู้หญิงอย่างเช่น แซนดี้ เบิร์นสไตน์ สามารถลดเซลลูไลท์หรือไขมันตะปุ่มตะป่ำใต้ผิวหนัง ตามรายงานของดอกเตอร์แอดมัน เชน เขากล่าวคนที่อ้วนมากๆ สามารถลด 10-12 ปอนด์ในเวลา 6 เดือน และคนที่น้ำหนักตัวเกินพิกัดมากๆ เช่น สูง 5 ฟุต 4 นิ้ว น้ำหนัก 200 ปอนด์ สามารถลด 24 ปอนด์ในเวลา 6 เดือนจากการใช้โกรทฮอร์โมน และจะเป็นเช่นนั้นไปเรื่อยๆ จนปริมาณไขมันเข้าอยู่ในสภาวะปกติ ดร.เชน กล่าวว่า “โกรทฮอร์โมนไม่เหมือนกับการลดความอ้วนอย่างอื่น เพราะโกรทฮอร์โมนทำงานร่วมกับระบบของร่างกายแทนการกดดันควบคุมระบบการทำงานของร่างกาย เมื่อคุณอดอาหารเพื่อลดน้ำหนักมักจะได้น้ำหนักตัวกลับคืนมา เพราะคุณไม่ได้เปลี่ยนคำสั่งการไปยังเซลล์ในการเก็บไขมันเหมือนโกรทฮอร์โมนกระทำ โกรทฮอร์โมนสั่งเซลล์ให้ทำลายไขมัน การลดความอ้วนโดยใช้การบำบัดด้วยโกรทฮอร์โมนน่าจะเป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพที่สุด โดยไม่ต้องบอกให้คนอดทานอาหารโปรดเพื่อคุมไขมัน”

ผู้หญิงส่วนใหญ่พอมีอายุเข้าวัยทอง เริ่มตั้งแต่ 35 พาลจะอ้วนโดยไม่รู้ตัว ถึงแม้เราจะมีความสุข คิดเสียว่าเป็นรูปธรรมนามธรรม มีขนาดส่วนสัดช่วงอกและสะโพกเท่ากับนางงามจักวาล คือ 36-36 ก็อย่าชะล่าใจ ปล่อยให้เอวเท่ากันกับส่วนบนและส่วนล่างก็แล้วกัน เดี๋ยวจะกลายเป็นนางงามแอปเปิลคือเท่ากันหมด 36-36-36 นอกจากจะใช้โกรทฮอร์โมนในการควบคุมเซลล์มิให้สะสมไขมัน และสลายเซลล์ไขมันแล้ว แพทย์ยังผลิตสูตรอาหารเสริมเรียกว่า Anabolic Protein Powder เพื่อช่วยแปรไขมันออกมาเป็นพลังงานระหว่างที่เรานั่งๆ นอนๆ แพทย์อนุญาตให้นักกีฬาโอลิมปิคใช้เพราะไม่จัดอยู่ในกลุ่มอันตรายต่อการใช้อาหารเสริม ครบคุณค่าที่จะช่วยให้การใช้กำลังของกล้ามเนื้อเป็นไปสมบูรณ์เต็มที่อย่างปราศจากไขมัน