สุขภาพและการบำบัด
สดศรี สุริยะฉาย
การนวดเพื่อช่วยร่างกายขับถ่ายของเสีย

ร่างกายของเรามีสารใช้แล้ว 3 รูปแบบ คือ แก๊ส ของแข็ง ของเหลว แก๊สมาจากการหายใจเอาออกซิเจนไปให้เซลล์ เมื่อใช้ประโยชน์แล้วก็ต้องหายใจออกเป็นคาร์บอนไดออกไซด์ กว่าจะเสร็จกระบวนการหายใจ ดูราวกับว่าแค่อากาศไปส่งให้ปอด แล้วส่งไปเข้าเส้นเลือด แล้วส่งไปให้เซลล์ แป๊บเดียวก็หายใจออกเป็นคาร์บอนไดออกไซด์แล้ว ความจริง การจะตั้งสมาธิเพื่อนำออกซิเจนไปสู่สมอง เพื่อให้สมองปฏิบัติการสื่อสารระหว่างระบบ กว่าจะส่งไปให้จมูกหายใจออกเป็นคาร์บอนไดออกไซด์ก็ต้องนับ 1 ถึง 8 นั่นคือการนวดเพื่อส่งเสริมการหายใจเอาออกซิเจนเข้าสู่ปอด โดยกดที่กลางมือระหว่างเส้นหัวใจกับเส้นชีวิตนับ 1 ถึง 8 แล้วจึงหายใจออก นั่นหมายถึงว่า เอาออกซิเจนไปปฏิบัติการทางสมอง ถ้าเป็นการทำสมาธิ ก็ต้องทำจิตนิ่ง ไม่คิดอะไร ระหว่างนับ 1-2-3-4-5-6-7-8 แล้วหายใจออก ปฏิบัติการนี้เพื่อให้สมองไปสู่ภาวะจิตนิ่ง แล้วทำจิตว่าง เรียกว่า สมาธิ ซึ่งสามารถจะสร้างพลังให้เราสามารถอ่านจิตของผู้อื่นได้ และสร้างพลัง ณ 5 จุดของแกนนำของร่างกาย เรียกว่า Body Axis ได้แก่ กระหม่อม ฐานคอ หัวใจ ฐานก้นกบ และฝ่าเท้า ในระหว่างที่กำหนดจิต ณ จุดทั้ง 5 นี้ ศาสตร์ของการบำบัดด้วยจักระจะมีการสวดเพื่อกำหนดจิต (Montra to exercise the Chakra) คือ

ฐานที่ 1 สมอง ภาวนาว่า Eh-Huh-Yeh

ฐานที่ 2 คอ ภาวนาว่า Yah-Hoh-Wah-Eh-Lo-Heem

ฐานที่ 3 หัวใจ ภาวนาว่า Yah-Hoh-Vah-Eh-Loh-Ah-Vuh-Dahth

ฐานที่ 4 ฐานก้นกบ ภาวนาว่า Shah-Dye-El-Keye

ฐานที่ 5 ฝ่าเท้า ภาวนา Ah-Doh-Hye-Hah-Ah Retz

มนตรานี้ เข้าใจว่ามาจากภาษาอียิปต์ ซึ่งพลตรีหลวงสุวิชาณแพทย์ แพทย์ประจำราชนาวี ผู้เป็นสามีของอาจารย์ผู้ถ่ายทอดวิชาการบำบัดด้วยจักระให้แก่ผู้เขียน คือ คุณย่าเยาวเรศ บุนนาค อายุ 80 ปี ผู้เขียนไปเรียนที่เมืองไทยเมื่อวันที่ 21 ตุลาคม 2453 หลังจากเรียนในขั้นอยู่ 3 เดือนแล้ว ก็ไปประชุมรวมกันทั้งหมด ที่หอประชุมใหญ่กองทัพอากาศอีก 2 วัน ที่จำได้เพราะมีใบเสร็จรับเงินจำนวน 300 บาท เป็นค่าเข้าประชุมสมัยนั้น ลงนามโดย พลอากาศตรีหญิง ชื่ออะไรอ่านลายเซ็นต์ไม่ออก ที่พยายามเล่ามาทั้งหมดนี้ เพื่อประวัติการเรียนวิชาเร็คคี้สมัยนั้น ซึ่งไม่รู้ว่ายังมีอยู่หรือเปล่าสมัยนี้ ถ้าไม่มีอีกแล้ว เพราะศาสตร์นี้ดึกดำบรรพ์สอนกันมาตั้งแต่ปี 1800 โดย มร.มิกาโกะ ยูซุย ไปค้นคว้าจากพุทธศาสนาและคริสตศาสนาที่อินเดียและญี่ปุ่น และตั้งชื่อวิชาการบำบัดว่า “เร็คคี้”

การจะมีสมาธิ คือการทำจิตให้บริสุทธิ์ ไร้ของเสีย หรือของที่ร่างกายใช้แล้ว มีอยู่ 3 รูปแบบ ได้แก่ แก๊ส ของเหลว ของแข็ง

แก๊ส คือ อากาศที่เราหายใจเข้าสู่ปอด ปอดส่งเข้ากระแสโลหิตไปเลี้ยงเซลล์ เมื่อเซลล์ใช้แล้ว เป็นแก๊สไร้ประโยชน์ของร่างกาย เราจึงหายใจออกเป็นคาร์บอนไดออกไซด์ นอกจากนี้ไม่ควรลืม แสงแดดที่เป็นประโยชน์ต่อสุขภาพ เช่น ที่เราเรียกว่า 7 สี คือ ม่วง คราม น้ำเงิน เขียว เหลือง แสด แดง เป็นสีที่เรามองเห็นเป็นสีรู้ง ซึ่งมีอยู่ประมาณ 35% ของแสงอาทิตย์ เราจึงควรอออกแดดก่อน 10 โมงเช้าเพื่อไม่ให้ทำอันตรายต่อผิว เช่นที่ นายแพทย์ Dr.Nicolas Perricone, M.D. กล่าวว่า การอักเสบขั้นต่ำมีสาเหตุจากอาการไร้คุณภาพ นอนหลับไม่เพียงพอ การออกแดดจัดเกินไป จะเป็นสาเหตุของโรคคนแก่ เช่น ปวดตามข้อ มะเร็ง ความจำหลงลืม อัลไซเมอร์ โรคหัวใจ ผิวย่น เขาแนะนำให้บริโภคอาหารที่อุดมด้วยสารจำเป็นและให้จำกัดน้ำตาล เพราะจะไปทำลาย DNA ซึ่งทำหน้าที่บริหารเซลล์ หลักการบริโภคของเขามีอยู่ดังนี้ คือ

1.เลี่ยงการอักเสบ เช่น ติดเชื้อ ติดไวรัส และสารพิษ

2.เพิ่มฮอร์โมน เช่น การสเปรย์โกรทฮอร์โมนใต้ลิ้น หรือวิธีอื่น

3.เลี่ยงการสูญเสียน้ำ เรียกว่า anti-oxidants ได้แก่ กลุ่มไวตามิน เอ ซี อี อัลฟ่าลิโปอิคแอซิด กลูต้าไทโอน เอ็น-อะซีทีลซีสเตอีน N-Acetylcysteine เซเลเนียม

4.ปรับการดำรงชีวิต เลี่ยงอารมณ์บูด เพราะทำให้คอร์ติโซลและอินซูลินสูงขึ้น ไขมันในร่างกายเพิ่มขึ้น สูญเสียกล้ามเนื้อและความทรงจำ สาร ดี.เอ็น.เอ. จะถูกทำลายด้วยน้ำตาลและอาหารทอด ดื่มแอลกอฮอล์ ดังนั้น ให้พยายามสร้างความสงบสุขในชีวิตด้วยการฝึกโยคะ ไทซี และสมาธิ สิ่งต่างๆนี้จะช่วยลดคอร์ติโซล

5.การปรับสภาวะร่างกายด้วยทฤษฎีแห่งการบริโภคอาหารออแกนิค ดื่มน้ำกลั่น หรือน้ำกรอง ลดสารตะกั่วจากปลาบางชนิด เช่น sword fish ปลาฉลาม ปลาแมคเคอเรล ลดการใช้วัสดุทำความสะอาดในครัวเรือนและการซักแห้ง ยาฆ่าแมลง โลหะหนัก และการถูกแดดจัด คนกินเจ อาจได้สารอาหารที่มีคุณประโยชน์ เช่นจากน้ำมันแฟลคซีด น้ำมันมะกอก ซึ่งจะช่วยลดความชราภาพ อาหารที่มีสีส้มจะมีไฟเบอร์และธาตุเหล็กสูง เหมาะสำหรับสตรีหลังหมดประจำเดือน เพื่อรักษากระดูก

ด็อกเตอร์ ลีโอนาร์ด รัตนสิงเห นายแพทย์เกี่ยวกับการบริโภคและภูมิต้านทาน กล่าวไว้ในหนังสือที่เขาเขียนไว้เมื่อปี 1997 หน้า 42 ว่า มีตัวป้องกันการสูญเสียความชื้นอยู่ 2 อย่าง คือ Enzymatic และ Non-Enzymatic เรียกว่า

1.Enzymatic Antioxidants เรียกอีกชื่อหนึ่งว่า Superoxide Dismutase หรือ SOD เป็นเอ็นไซน์อยู่ในเซลล์เพื่อป้องกันแร่ธาตุ เช่น แมงกานีส ทองแดง และสังกะสี ให้เซลล์ ถ้าไม่มีหรือมีสารพวกนี้ไม่พอ เซลล์ก็ทำหน้าที่ป้องกันสูญเสียความชื้นไม่เต็มที่ อีกสารหนึ่งคือ catalases ที่จะเปลี่ยนสารอันตรายชื่อ Hydrogen Superoxide ให้เป็นน้ำกับออกซิเจนที่ไร้อันตราย เมื่อมันทำงานร่วมกับธาตุเหล็กจึงจะเป็นอันตรายต่อเซลล์

2.Non Enzymatic Antioxidants เป็นไวตามินที่ละลายใต้ไขมัน เช่น ไวตามินอี เบต้าคาโรทีน ควิโนนน์ หรือ Co-enzyme Q-10 สารพวกนี้จะทำลายคอลลาเจนที่สร้างความเต่งตึงในผิว และทำลายไวตามินที่ละลายในน้ำได้เช่น ไวตามินซี กรดยูริค และโปรตีนที่ทำงานร่วมกับโลหะในเซลล์ เช่น transferrin, plasmin, albumin, haptoglobin, hemopexin ที่จะช่วยปล่อยแร่เหล็กและทองแดงในเซลล์ให้ทำหน้าที่ลดอันตรายจากปฏิกิริยาของสารพิษ

คำว่า สารอนุมูลอิสระ หรือ Free radicals มีอยู่ในร่างกายมนุษย์ตลอดเวลา เราจึงต้องสร้างสารป้องกัน (T cell) อย่างพอเพียง ด้วยระบบการทำงานของเซลล์และการมีไวตามินเพียงพอ จึงจะเลี่ยงเซลล์เป็นมะเร็ง หรือ มีปัญหาโรคภัยต่างๆ

วิธีการนวดมือเพื่อสร้างสมาธิสำหรับป้องกันโรค หรือ แบคทีเรียและไวรัสง่ายเกินไป นอกจาก การทำสมาธิจิตตามจักระที่เป็นบ่อเกิดแห่งปัญญาแล้ว ก่อนนอนหลับ หลังจากใช้นิ้วหัวแม่มือนวดจากข้อมือถึงปลายนิ้วทุกนิ้วแล้ว ตอนนี้ จะเน้นการทำสมาธิจิตที่จุดกลางฝ่ามือ ระหว่างเส้นชีวิตกับเส้นหัวใจ ประกอบกับการหายใจให้สอดคล้องกัน กล่าวคือ

ใช้นิ้วหัวแม่มือกดที่จุดกลางฝ่ามืออีกข้างหนึ่ง เริ่มหายใจเข้าลึกถึงช่วงท้อง เก็บอากาศไว้ที่ช่วงท้อง เมื่อหายใจออกช้าๆ พร้อมกับนับ 1-2-3-4-5-6-7-8 แล้วย้ายนิ้วหัวแม่มือมาเริ่มกดที่กลางมือตรงจุดเดียวกันอีก เก็บอากาศไว้ที่ช่วงท้อง เมื่อนับถึง 8 ก็ระบายหายใจออก แล้วย้ายหัวแม่มือมาเริ่มกดที่กลางมืออีกเป็นครั้งที่ 3 และระบายลมหายใจออกช้าๆ พร้อมนับถึง 8

ทำเช่นนี้ 3 ครั้งในมือหนึ่ง แล้วเปลี่ยนไปทำอีกมือหนึ่ง เช่นเดียวกัน

เมื่อครบ 3 ครั้งแล้ว ให้ใช้หัวแม่มือ และนิ้วชี้กดนวดสองข้างนิ้วทุกนิ้ว เริ่มจากนิ้วหัวแม่มือ นิ้วชี้ไปสุดที่นิ้วก้อย เท่ากับว่า การนวดสองข้างของร่างกาย ไปครบตามจุดที่ตั้งของอวัยวะแห่งการทำงานของปอดที่จะเอาอากาศไปทำความสะอาดเซลล์ แล้วหายใจเอาอากาศเสีย คือคาร์บอนไดออกไซด์ ออกไปจากปอด

ต่อไป คือการนวดเพื่อขับของเสียในรูปของเหลวและของแข็งออกจากร่างกาย ให้ทำตอนเช้า ที่จะนั่งส้วม หรือตอนบ่ายเมื่อรู้สึกจะถ่าย วิธีนวดทำดังนี้

ขณะที่นั่งบนโถส้วม ใช้มือขวา 4 นิ้วกดเรื่อยจากโคนขาขวา เลื่อนขึ้นถึงเอว แล้วกดระดับเอว จากขวาเลื่อน 4 นิ้วไปหาขาซ้าย เมื่อตรงกับขาซ้ายก็กด 4 นิ้วเคลื่อนไปหาโคนขาซ้าย จะเป็นระยะทางของอวัยวะภายในที่ตรงกับตับ ไต ม้าม กระเพาะอาหาร จนเคลื่อนออกสู่ทวารหนัก จะรู้ได้ทันทีว่า ผลของการนวดกดหน้าท้อง จะช่วยให้กากอาหารของแข็งเคลื่อนออกจากระบบร่างกายทันที ปัสสาวะอาจมาก่อน แล้วจึงถึงของแข็งตามมาตามธรรมชาติแห่งร่างกาย ถ้าทำการนวดหน้าท้องนี้ ไม่นานก็จะเกิดประสานงานของการนวดภายนอก กับนิสัยการขับถ่ายออกจากระบบภายในร่างกาย จนติดเป็นเวลาเดิม ตรงเวลาทุกวัน อาจเป็นเช้าหลังตื่นนอน กับตอนบ่าย ซึ่งระบายของเสียมื้อเย็น เป็นอีกวิธีหนึ่งที่จะเลี่ยงการกินยา Remedisivir หรือยาชนิดใหม่ชื่อยาวว่า Hydroxychloroquine แทนการฉีดวัคซีนสำหรับผู้สูงวัยเกิน 65