สุขภาพและการบำบัด
สดศรี สุริยะฉาย
ไม่มีศาสนาใดสอนทุกคนให้น่าเชื่อถือได้

เราอาจจะนับถือคนที่มีความรู้ แสดงความสามารถ มีการตัดสินใจถูก ดูแลการงานดี ความคิดก้าวหน้า หรือไม่ก็ทำงานสำเร็จดี แต่เรามักจะมองข้ามสิ่งใดไปโดยไม่รู้ตัว คือ ดูว่าบุคคลนั้นมีความน่าเชื่อถือแค่ไหน เช่นอะไร

1.ไม่โกหก

2.ไม่ทำลายชีวิต

3.ไม่ขโมย

4.ไม่เอาของผู้อื่นเป็นของตน

5.มีจิตเมตตา

6.เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่แบ่งปัน

7.หมั่นศึกษาเล่าเรียน

8.รักษาสุขภาพ

9.ไม่ผิดประเพณี

10.รักษาความสะอาดส่วนตัวและรอบตัว เช่น อากาศ น้ำดื่ม เครื่องใช้ เครื่องนุ่งห่ม

สิ่งต่างๆนี้ ไม่ใช่เรื่องบทบัญญัติของศาสนา แต่ละบุคคลควรมีประจำใจของตน เพื่อสุขภาพและไมตรีภาพ นั่นหมายถึงว่า เราอาจจะไม่ได้พบในแต่ละบุคคลเสมอไป แต่เราควรระลึกไว้เสมอ ประจำตัวของเราเองแล้วจะมีอนาคตที่มั่นคง

คนเราจะเรียกว่าโกหกได้อย่างไร เมื่อพูดไม่ตรงความจริง หรือปรักปรำผู้อื่นในสิ่งที่ไม่เป็นความจริง หรือพูดให้ร้ายผู้อื่น หรือสร้างเรื่องให้เป็นประโยชน์ฝ่ายตน โดยไม่คำนึงว่าจะเสียหายต่อผู้อื่น เป็นต้น

ทำลายชีวิต หมายถึง การซื้ออาวุธปืนมากราดยิงผู้ที่ไม่เคยเป็นพิษเป็นภัยต่อเรา หรือผู้บริสุทธิ์ต่อคนทั่วไป หรือไม่ยั้งคิดถึงผลเสียที่จะตามมา ทำไปเพราะอารมณ์ชั่ววูบ ชั่วขณะที่คิดผิด ทำลายชีวิตพืชพันธุ์ไม้ หรือทำลายชีวิตโดยทางตรงและทางอ้อม ทำให้พืชและสัตว์เสียชีวิต

การขโมย หมายความรวมไปถึงการปกปิดความจริงเพื่อประโยชน์ของตนเอง ทั้งในที่ลับและที่แสดงออกโดยการกระทำ เป็นการทำลายตนเองทั้งในปัจจุบันและสืบต่อไปถึงอนาคตตลอดชีวิตของตนเอง แม้จะไม่ปรากฎผลในปัจจุบันทันด่วน แต่ผลก็จะย้อนมาทำลายตนเองต่อไป

ถ้าสิ่งนั้นไม่ใช่ทรัพย์สินของตน แม้จะอยู่ในชื่อของตนเพื่อเป้าหมายบางอย่าง ก็ต้องคืนเจ้าของผู้มีกรรมสิทธิ์ที่แท้จริง มิฉะนั้น เรียกว่าการขโมย และเป็นบาปทั้งทางใจที่รู้อยู่ว่าโกงเขามานะเนี่ย

จึงสรุปได้เป็นหลักการแห่งชีวิตว่า ไม่เอาของผู้อื่นเป็นของตน

การมีจิตเมตตาครอบคลุมไปหมด ทั้งการรักษาชีวิตพืชและสัตว์ที่ไม่ใช่ของตน แต่เป็นของผู้อื่น เราก็ต้องจรรโลงชีวิตนั้นๆไว้ เพราะการเมตตาหมายถึงการเอื้อเฟื้อต่อชีวิต

การเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่แบ่งปันเมื่อมีของเกินความจำเป็นต้องใช้ต้องกิน ก็แบ่งให้ผู้อื่น หรือมีการเอื้อเฟื้อให้แก่สัตว์ผู้ยากไร้ทรัพย์สินเงินทองที่อยู่อาศัย เช่น คนไร้ที่อยู่ สัตว์ไร้บ้าน

หมั่นศึกษาหาความรู้ ถึงแม้ไม่ได้ไปสถานศึกษาก็สนใจหาความรู้จากทุกแหล่งเท่าที่ผ่านตาผ่านหู เพื่อที่จะให้ผ่านสมอง เป็นการส่งเสริมความคิดให้แตกฉานไม่อยู่นิ่งคับแคบแค่ที่เป็นอยู่ หรือรู้มาแต่ก่อน

การรักษาสุขภาพ เป็นกิจวัตรประจำทุกลมหายใจ ไม่ว่าจะกินอะไร จะนอนเท่าไหร่ จะออกแรงกำลังกายอย่างไร แค่ไหน ล้วนส่งผลต่อสุขภาพกล้ามเนื้อ และกระดูก ซึ่งจะส่งผลให้ระบบประสาท ตื่นตัวทำงานอยู่เสมอ ไม่ร่วงโรยเร็วเกินไป

ไม่ผิดประเพณี เช่น เขาเคยทำอย่างนี้ ก็ทำอย่างนั้นตามใจตนเอง ย่อมอาจผิดวิสัยได้ อาจไม่สบายใจ ทั้งตนเองและผู้พบเห็น

การรักษาความสะอาดส่วนตัวเป็นกิจวัตร เป็นพื้นฐานสุขภาพร่างกายและจิตพร้อมกัน ทั้งความสะอาดรอบตัว ถ้าทำได้ด้วยตนเองก็ไม่ต้องรอผู้อื่น จะสบายใจและกายของตนเอง เป็นเบื้องต้นไปสู่ความสุข

สิ่งต่างๆเหล่านี้ เป็นกิจวัตรประจำชีวิต ไม่ต้องรอศาสนาใดเอ่ยถึง จริงอยู่ ศาสนาทุกศาสนามีเป้าหมายที่จะสอนทุกคนให้เป็นคนดี แต่ถ้าบุคคลใดไม่ดี ก็ไม่ใช่ความบกพร่องของศาสนา แต่เป็นความละเลยส่วนตัวของแต่ละบุคคล

จากหนังสือ From Our House to Your House ที่ผู้เขียนผลิตไว้นานแล้ว มีอยู่ว่า

4 Pillars for the balance of life ได้แก่

1.Proper Diet อาหาร 4 กลุ่ม

1) โปรตีน

2) แป้งหรือคาร์โบไฮเดรท

3) ผักผลไม้สด และน้ำคั้นผักผลไม้

4) อาหารเสริม เช่น 1.Anabolic Protein Powder, 2.Colostrum, 3.Enzyme, 4.Probiotic

2.Exercise ในที่ออกซิเจนสมบูรณ์ อย่างน้อยวันละ 30 นาที

3.Adequate rest หลับสนิทในที่ร่างกายอบอุ่น เงียบ อากาศถ่ายเท เต็มอิ่มตามความต้องการของร่างกาย อย่างน้อย วันละ 6 ชั่วโมง

4.Mind Power สร้างพลังจิต 3 ประการ คือ

1) พลังแห่งความตั้งใจ

2) พลังที่จะสำเร็จ

3) พลังแห่งจิตสังหรณ์

คนที่มีพลังจิตได้ มักเริ่มจากการมีสัจจะ หรือศีลประจำใจ เช่น Power of Intention ความมุมานะที่จะทำให้สำเร็จ Power of Success พลังที่จะทำให้สำเร็จ Power of Intuition เป็นพลังจิตที่ควรสะสมสร้างไว้ประจำตัว