“ยิ่งคิดให้ดี โลกนี้ประหลาด บุพเพสันนิวาส ยิ่งประสาทความรักภิรมย์ คู่ใครคู่เขา รักคอยเฝ้าชื่นชม รักนิยมอยู่ในใจ” ...คุณยังจำเพลงนี้ได้ไหม ไม่รู้ใครร้อง มันผุดขึ้นมาเองในความคิดคำนึงถึงธรรมชาติที่สร้างโลกนี้ และมีผู้สืบทายาทต่อไป กว่าจะเกิดและสร้างทารกแข็งแรงสมบูรณ์ ใช้เวลาสร้างชีวิตถึง 9 เดือน พร้อมทั้งมีไวตามินแร่ธาตุเสริมชีวิตให้ครบสมบูรณ์เป็นชีวิตใหม่มี 10 ระบบทำงานประสานกันอย่างมีสุขภาพดี ในแง่ธรรมดาชีวิตก็ว่าไม่ยาก แต่ในแง่ของการพัฒนาชีวิตก็ไม่ง่าย จะต้องมีไวตามินแร่ธาตุนานาชนิด ที่จะสร้างครบ 10 ระบบทำงานอย่างมีสุขภาพดี เราคิดง่ายๆ ว่า ธรรมชาติสร้างชีวิต แต่กว่าจะสร้างชีวิตให้จุติ และเติบโตได้ จะต้องสร้างพืชพันธุ์ธัญญาหารบำรุงชีวิต ที่เรียกว่าครบการทำงานของ 10 ระบบให้แข็งแกร่งทั่วกันในแง่วิทยาศาสตร์ ก็ว่าชีวิตสร้างโดยความร่วมมือของ Universal Energy หรือที่เห็นเป็นสายลม สายน้ำและแสงแดด ที่วิทยาศาสตร์เรียกว่าพลังคอสมิค Cosmic Energy แท้ที่จริง กว่าทารกจะเติบโตครบ 9 เดือน ต้องมีไวตามิน แร่ธาตุ เสริมการทำงานของระบบต่างๆให้ครบถ้วน เช่น ระบบโครงสร้างกระดูก กล้ามเนื้อ ประสาท โลหิต น้ำเหลืองเพื่อช่วยเลี้ยงเซลล์ส่วนบน และระบบที่จะสร้างชีวิตใหม่ต่อไปอีก ระบบต่างๆนี้ต้องอาศัยผู้ช่วยเสริมการทำงานเรียกว่า ไวตามินและเกลือแร่ต่างๆ ตั้งแต่ แป้ง โปรตีน และแร่ธาตุที่จะเป็นอาหารพิเศษสำหรับส่งเสริมระบบ เช่น

ไวตามินเอ เสริมทำงานของระบบสายตา และส่งเสริมสุขภาพของการเติบโตเจริญวัยของเซลล์ และอวัยวะต่างๆ รวมทั้งผิว ผม และทำหน้าที่ป้องกันการเสื่อมสภาพของเซลล์ ไวตามินเอหาได้จากนมที่เสริมไวตามินนี้ และจากไข่ เนย ตับ น้ำมันพืช

ไวตามินบี มีหลายกลุ่ม เช่น บี 1 Thiamine ทำหน้าที่แปรรูปอาหารเป็นพลังงานในร่างกาย ช่วยการทำงานของกล้ามเนื้อ และระบบประสาทเป็นส่วนรวม มีอยู่ในเนื้อหมู ผักเขียว เมล็ดพืช ถั่วต่างๆ และข้าวแปรรูป หรืออาหารที่ให้แป้งเช่นเดียวกับข้าว เช่นมันฝรั่ง มันเทศ ข้าวซีเรียล

ไวตามินบี 2 เรียกว่า riboflavin ช่วยให้เกิดพลังงานจากอาหาร ก่อให้เกิดสารฮอร์โมนซึ่งทำหน้าที่สื่อสารระหว่างเซลล์ และช่วยบำรุงสุขภาพสายตา ผิว และการทำงานของระบบประสาท

ไวตามินบี 3 niacin ช่วยแปรอาหารเป็นพลังงาน และช่วยสร้างโลหิตแดง

ไวตามินบี 6 pyridoxine มีความจำเป็นเพื่อใช้สร้างเม็ดโลหิตแดง และช่วยร่างกายสร้างโปรตีนกับช่วยร่างกายต่อสู้ป้องกันการติดเชื้อและการอักเสบ อาจช่วยลดความเสี่ยงของ Atherosclerosis ซึ่งเป็นอาการของความเสื่อมในการทำงานของหัวใจ จากผลของไขมันพอกตามเส้นเลือด ส่งผลให้หัวใจทำงานไม่ปกติ กล้ามเนื้อและเนื้อเยื่อเสื่อมสภาพ เพราะอวัยวะทุกส่วนต้องการโลหิตบริสุทธิ์ไปเลี้ยง เมื่อเส้นโลหิตมีคราบเกาะภายใน อาจมีผลเสียไปสู่ร่างกายส่วนรวมโดยทั่วไป เช่น ความดันโลหิตสูง เบาหวาน โคเลสเตอรอลในโลหิตสูง ไตรกลีเซอไรด์ บางทีก่อให้เกิดสารเรียกว่า homocysteine เมื่อใช้ยา โคเคน และ แอนโดรเจน ซึ่งส่งผลให้โลหิตตันง่ายขึ้น สูงขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การอักเสบของเนื้อเยื่อภายในที่บุหัวใจ อาการเริ่มแรกบ่งบอกเมื่อมีเส้นใยไขมันเป็นทางในด้านในของเส้นโลหิต อาจเกิดเมื่ออายุยังน้อยก็ได้ ไม่ว่าจะเกิดจากสาเหตุอันใด ก็ส่งผลให้เกร็ดเลือดเกิดขึ้นและไม่ช้าก็รวมตัวกับไขมัน และแคลเซี่ยมพอกตามเส้นโลหิตกับเซลล์ทั่วไป ไม่ช้านานเซลล์จากผนังเส้นโลหิตก็ห่อหุ้มเกร็ดนี้ ก่อให้เกิดอักเสบที่ผนังเส้นโลหิต ถึงแม้ว่าระบบภูมิคุ้มกัน และเม็ดเลือดขาวจะพยายามต่อต้านก็ไม่เป็นผลสำเร็จ การพอกพูนของเนื้อเยื่อเพิ่มมากขึ้นทีละน้อย ชะลอการเดินทางของโลหิต และขัดขวางการหนุนเวียนโลหิตเพิ่มขึ้น ก่อให้เกิดการเจ็บหน้าอก เรียกว่า angina เยื่อหุ้มอาจแตกและส่งผลสู่อาการที่เรียกว่า heart attack

ยิ่งถ้ามีสารพอกพูนมากขึ้น สารเคลือบที่เรียกว่า atherosclerotic plaque ยังก่อตัวเพิ่มขึ้นขัดขวางการเดินทางของโลหิตมากขึ้น ถ้าขัดขวางการทำงานของกล้ามเนื้อที่ขาในระหว่างออกกำลังงกาย ทำให้ขาดออกซิเจนในระหว่างออกกำลังกาย เรียกว่าโรค peripheral arterial disease มีอาการปวดที่น่องหรือกล้ามเนื้อขา เกิดความเย็นที่ขา อาการเริ่มทีละน้อย ที่ขาแรกและลามไปอีกขาหนึ่ง หรือที่เหนือข้อศอกบางทีอาการก็คลายลงหลังจากผ่านไปหลายนาที อาการจะมีมากขึ้นเมื่อเวลาผ่านไปเป็นปี เริ่มทีละน้อยจากขาทีละข้าง แล้วลามไปสู่ส่วนอื่นๆ บางทีสองขาก็ใช้งานไม่สะดวก เมื่อโลหิตถูกตัดตอนการส่งอาหารไปสู่นิ้วเท้าจะมีอาการปวดแม้ในเวลาไม่ใช้งาน หรือจะมีการปวดจนปลุกตื่นจากการนอนหลับ วิธีบรรเทาหรือแก้ก็โดยการยกเท้าขึ้นสูงเหนือขอบเตียง การบำบัดโดยแพทย์จะวิเคราะห์อาการและตรวจอาการดูจากความดันโลหิต โดยเฉพาะส่วนขาและแขน การตรวจหัวใจเพื่อวิเคราะห์อาการเรียกว่า heart murmurs ซึ่งบางทีก็มิได้เกิดจากอาการข้างต้น หัวใจเด็กๆอยู่ใกล้ผนังหน้าอก อาจได้ยินเสียงนี้ง่ายกว่า การตรวจก็โดยการตรวจร่างกายทั่วไป

ไวตามินซี จำเป็นสำหรับเสริมความแข็งแกร่งของเซลล์เพื่อช่วยป้องกันเชื้อโรคต่างๆ มิให้ทำร้ายเซลล์ เช่น ในขณะนี้ต้องเสริมไวตามินซีเป็นพิเศษเพื่อการ์ดร่างกายต่อสู้กับไวรัสที่กำลังคะนองแพร่หลายอยู่ เช่น โคโรน่าไวรัส ที่เมื่อเข้าสู่ร่างกายจะแย่งน้ำไปจากเซลล์ ทำให้การติดต่อระหว่างเซลล์เป็นไปไม่ได้ ก็ต้องพึ่งการบริโภคส้ม น้ำส้มคั้น จะได้ช่วยไม่ให้ไวรัสโคโรน่าสามารถชนะเซลล์ได้ บางทีวัคซีนป้องกันไวรัสก็อาจทำให้เกิดการ clot ในเซลล์ได้ ไวตามินซีอยู่ในส้ม ผัก ผลไม้สด เช่น มะม่วง ที่จะช่วยป้องกัน ดี.เอ็น.เอ. ซึ่งทำหน้าที่เสมือนหัวใจของเซลล์ ให้ทำงานประสานกับเซลล์อื่นๆได้

ไวตามินดี ทำหน้าที่ส่งเสริมการดูดซึมของแคลเซี่ยมที่จะส่งเสริมระบบกระดูก ฟัน และระบบประสาท กับระบบกล้ามเนื้อ ไวตามินดีอยู่ในการเสริมเข้าสู่อาหารประเภทนมเนย และการสังเคราะห์ของแสงแดด ที่แพทย์บอกว่า ดีที่สุด ระหว่างเวลา 7 โมงเช้าถึง 10 โมงเช้า การรับประทานอาหารที่จะส่งเสริมไวตามินดี โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่ไม่บริโภคเนื้อสัตว์ หรืออายุเกิน 50 ปี ควรกินอาหารที่จะช่วยให้สมองทำงานอย่างมีความสุข ลดความกระวนการะวายใจ เพิ่มการหมุนเวียนโลหิต ลดการอักเสบให้น้อยลง และได้รับไวตามินดีมากขึ้นจากบ่อเกิดคือแสงแดด การเคลื่อนไหวร่างกายในที่แดดไม่จัดเกินไปเพื่อจะได้ช่วยไม่ให้ผิวสร้างความเข้มไว้กรองแสงแดดด้วยตัวเอง การกินแคลเซี่ยมชนิดเม็ดอาจไม่ดีเสมอไป นี่เป็นความเห็นของแพทย์ และตัวผู้เขียนเองก็เกิดมีอาการปวดท้องอยู่ครึ่งวัน อัตราแคลเซี่ยมจากการตรวจวัดโลหิตควรอยู่ในอัตราระหว่าง 8.6-10.4

ไวตามินอี ทำงานเสมือนหนึ่งตัวป้องกันศัตรูอิสระ คือปกป้องเซลล์จากการอักเสบ มีส่วนช่วยสร้างเม็ดโลหิต ได้จากน้ำมันพืช ถั่ว wheat germ ผักเขียวต่างๆ

ไวตามินเค จำเป็นในการสร้างโปรตีนซึ่งป้องกันโลหิตอุดตัน ได้จากผักสปินาช นม ไข่ ข้าวซีเรียล

ไวตามินดังกล่าวมาแล้วละลายในไขมัน ต่อจากนี้เป็นไวตามินและแร่ธาตุที่ละลายในน้ำ

ไวตามินบี 1 Thiamine บี 2 Riboflavin บี 3 ไนอะซิน Niacin ช่วยสร้างพลังงานจากอาหารจำเป็นสำหรับกล้ามเนื้อและระบบประสาท มีอยู่ในถั่ว นม หมู ไก่ โยเกิร์ต ผักเขียว ขนมปัง whole grain

ไวตามินบี 6 Pyridoxine และไวตามินบี 12 อยู่ในไก่ เนื้อ ปลา ไข่ นม ช่วยสร้างเม็ดโลหิตแดง และโปรตีน ส่งเสริมการทำงานของระบบประสาท ลดอันตรายจาก artherosclerosis