สุขภาพและการบำบัด
สดศรี สุริยะฉาย
พลังแห่งปัญญา

ในทางธรรม ปัญญาจะเกิดจากการมีจิตบริสุทธิ์ รักษากรรมบท 10 ประการ แล้วบำเพ็ญสมาธิ จะน้อมนำจิตให้เกิดความแตกฉานเป็นปัญญา แต่ในทางโลก อธิบายความหมายของคำว่า Intelligence Quotient ว่าเป็นผู้ที่สามารถรอบรู้ตอบคำถามตามมาตรฐานได้มากเพียงใดก็วัดว่ามี I.Q อยู่ระดับใด โดยทั่วไป ปัญญาอยู่ที่การสามารถรับรู้จากสิ่งสูงขึ้นไป เหนือชั้นกว่าปกติ วัดจากการกระทำที่ปราศจากความผิดพลาดต่อตนเองและผู้อื่น วัดจากการปราศรัยที่ได้ผลดีทั้งทางตรงและทางอ้อมต่อตนเองและสาธารณะ ในฐานะที่เราๆ ท่านๆ ได้รู้จักกับพลังแห่งจิต พลังแห่งสมาธิแล้ว เราน่าจะรู้จักพลังแห่งปัญญาเสียด้วย

ปัญญามีพลังอย่างไร เราคงนึกออกว่า อภิญญา 5 ประการหรือผลดีของการทำสมาธิ รวมไปถึงการสามารถบังคับจิตของผู้อื่นได้ การสามารถได้ยินเสียงทิพย์ได้ และการสามารถมองเห็นการณ์อนาคตได้ นี่ไม่รวมการมีความสามารถทางกายเหาะเหินเดินอากาศหรือบนน้ำได้ เพราะเราๆ ท่านๆ ยังไม่ถึงขั้นนั้น เนื่องจากยังต้องทำมาหากินเลี้ยงชีพ แล้วเราจะมีพลังแห่งปัญญาได้ตรงไหน ขั้นต้น คุณสามารถอ่านจิตของผู้อื่นได้ไหม เพียงแค่เห็นอากัปกิริยา การพูดจา การกำหนดสายตาของบุคคลนั้น การเดิน การเคลื่อนไหว ถ้าทำได้ คุณมีพลังแห่งปัญญาขั้นหนึ่งแล้ว หมายถึงว่าคุณมีพลัง ส่วนคุณจะมีปัญญาหรือไม่ อยู่ที่กรอบของกรรมบท 10 ประการ ถ้าคุณไม่ขาดตกบกพร่องเลย คุณย่อมมีทั้งพลัง และปัญญา

เพื่อปูทางไปสู่จุดแห่งปัญญา จะย้อมกลับไปถึงกรรมบทสิบประการในการสร้างจิตบริสุทธิ์ เพื่อให้เหมือนทางอิฐไปสู่ความสะอาดหมดจดของถนนแห่งปัญญา เริ่มต้นที่ไม่ทำร้ายหรือทรมานสิ่งมีชีวิต ไม่คอรัปชั่นลักขโมย ไม่ละเมิดสิทธิผู้อื่น ไม่ติดอบายมุข ไม่เพ้อเจ้อ ไม่ทำร้ายจิตใจผู้อื่น ไม่ทำลายมิตรภาพผู้อื่น ไม่โอ้อวด เชื่อฟังและปฏิบัติตนตามคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า กรรมบททั้ง 10 ประการนี้ ไม่ต้องพยายามทำเลย เผลอๆ ทุกท่านมีอยู่ในตัวแล้วโดยไม่ยาก เพราะมีปัญญาในการคิด ในการพูด ในการปฏิบัติตัวอย่างผู้ดีอยู่แล้ว จึงมีพลังแห่งปัญญาเป็นครรลองในการดำเนินชีวิต

ทำไมจึงเรียกว่าพลังแห่งปัญญา เพราะว่าในตัวของเรา มีพลังจากอาหาร จากการสันดาปอากาศ แปรรูปเป็นพลังฮาร่า วิ่งจากสมองซึ่งรับพลังจากแรงดึดดูดของโลก หรือของบรรยากาศ ที่เราเรียกว่า พลังคอสมิค ผ่านกระหม่อมเข้าสู่สมอง ส่วนหน้าที่ทำหน้าที่คิดไตร่ตรองชนิดละเอียดล้ำเลิศ ออกมาเป็นปัญญา สั่งประสาทที่สมองส่วนล่างให้เจรจาเสนาะหู ไม่ทำลายมิตรภาพ พลังนั้นเคลื่อนต่อตามประสาทกระดูกสันหลังไปตามจุดจักระ หรือศูนย์กลางแห่งอวัยวะทั้ง 7 แห่ง ตั้งแต่กระหม่อม หว่างคิ้ว ฐานคอ หัวใจ ศูนย์รวมพลังภายใน ฐานแห่งอารมณ์ที่ท้อง และจุดก่อกำเนิดชีวิต แล้วพลังฮาร่านี้จะวิ่งเรื่อยลงสู่ฝ่าเท้าเพื่อรับพลังจากฐานดินหรือแกนโลก หากเป็นขณะนั่ง เขาเรียกว่าพลังคุนดาลินี จะวิ่งหมุนเวียนคล้ายเกลียวของ ดี.เอ็น.เอ. จากฐานที่นั่งคือจุดก่อกำเนิดชีวิตกลับขึ้นสู่เบื้องบน เพื่อรับพลังเบื้องบน หรือพลังคอสมิค หรือเราเรียกว่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์เบื้องบน ที่คุ้มครองเราอยู่

เหตุนี้ ตัวเรา สิ่งมีชีวิตทั้งหลายจึงมีพลัง มนุษย์มีพลังมาจากดิน มาจากน้ำ เพื่อไหลเวียนโลหิตหรืออาหารไปเลี้ยงเซลล์ และเราต้องได้รับแสงแดดซึ่งเป็นพลังไฟ เพื่อสันดาปอาหารและอากาศ พืชเป็นสิ่งมีชีวิตเช่นเดียวกัน พืชมีพลังแห่งปัญญาหรือไม่ ? แน่นอน พืชรู้จักหันไปหาแสงแดด เพราะแสงแดดก่อให้เกิดการสันดาปคาร์บอนไดออกไซด์ แล้วปล่อยออกซิเจนออกมา สัตว์ก็รู้จักหาแสงแดด เมื่อสัตว์ทานอาหารเสร็จ ก็จะตากแดด ทำความสะอาดเช็ดปากเลียขน เพื่อรับแสงแดดได้ดีขึ้น

ทำไม่สิ่งมีชีวิตจึงปรากฎว่ามีพลังแห่งปัญญา หรือปรับตัวเข้ากับสิ่งแวดล้อมเป็น จะเห็นได้ว่า เพราะสิ่งมีชีวิตมีพลังฮาร่า ประกอบด้วยการหมุนเวียนพลังงานเช่นเดียวกัน คุณลองคุยกับสัตว์ หรือพืชดูสิ แล้วสังเกตได้ว่าเขาตอบสนองตามวิถีของเขา คนเราก็มีพลังแห่งปัญญา เรามีพลังฮาร่า เรามีพลังคุนดาลินี เราไม่สนใจเอง เพราะแค่ทำงานให้ได้เงินมากๆ จะได้สุขสบายก็ดูจะมีพลังพอแล้ว ไม่ต้องมีความรู้เรื่องเหล่านี้ก็ได้ จริงหรือไม่ เพราะเหตุนี้ จึงมีความขัดแย้งกัน จากกลุ่มเล็กๆ เป็นกลุ่มใหญ่ เป็นระดับชาติเป็นปัญหาของโลกไป

พลังแห่งปัญญาเอามาใช้ในชีวิตประจำวัน เพียงเริ่มแรก สามารถอ่านจิตใจผู้อื่นได้ ขั้นต่อไป โน้มน้าวจิตใจผู้อื่นให้คล้อยตามได้ คุณเคยลองเป็นผลสำเร็จหรือยัง ไม่ใช่ประพฤติตนเป็นคนน่ารำคาญ พูดขวางหูคนเสียร่ำไป หรือคอยหาเหตุให้คนเดือดร้อน เพราะไม่รู้ตัวว่า มีอะไรจะคิดดีไปกว่านั้น

พลังแห่งปัญญาอาจพัฒนาไปอีกขั้นตอนหนึ่ง คือสามารถมองเห็นรัศมีรอบตัวได้ เรื่องนี้เป็นเรื่องปกติธรรมดา เพราะร่างกายของสิ่งมีชีวิต ประกอบด้วยเซลล์ แต่ละเซลล์ประกอบด้วยประจุไฟฟ้าลมวิ่งรอบประจุไฟฟ้าบวกและฉนวนเป็นกลาง มือของเราที่ฝ่ามือสามารถส่งกระแสไฟฟ้าออกมาได้สำหรับใช้ในการบำบัดรักษาสิ่งมีชีวิตอื่นๆ ทั้งสัตว์และพืช ทีนี้ ทำอย่างไรจะสามารถมองเห็นประจำไฟฟ้าเป็นรัศมีรอบตัวได้ ก็ต้องมาจากความสมบูรณ์ หรือภาวะแข็งแรงของเซลล์ ที่ไม่ขาดตกบกพร่องในประจุขั้วใดขั้วหนึ่ง จึงจะส่งประกายรอบตัวเป็นสีต่างๆ ได้ เช่นพลังรอบตัวสีแดง มีกิเลสรุนแรง สีส้มมีมนุษยสัมพันธ์ดี สีเหลืองเป็นสีของพลังแห่งปัญญา สีเขียว มีเมตตากรุณา สีเขียวแก่เป็นคนขี้เหนียว สีฟ้าเป็นเครื่องหมายของความจริงใจ สีม่วงเป็นผู้ที่จัดการสิ่งต่างๆ อย่างรอบรู้ สีชมพูเป็นสีแห่งความรัก สีทองเป็นความเคลื่อนไหวของพลังจิตและอำนาจ สีขาวเป็นสีแห่งความบริสุทธิ์ แสดงว่าได้รับการฟอกพลังแล้ว สีเทาเป็นสีที่แสดงว่ายังไม่แสดงความสามารถจากภายใน สีน้ำตาลหมายถึงการขาดพลัง สีดำเป็นสีแห่งการป้องกันพลังชั่วร้ายจากภายนอก เกร็ดเงินระยิบระยับ หมายถึงการสร้างสรรขนาดใหญ่ในชีวิต

การฝึกสมองรัศมีร่างกาย อาจเริ่มต้นจากการมองรอบฝ่ามือในที่มืด หรือมองไปที่ขอบต้นไม้ที่ตัดกับฟ้าสีคราม จนกระทั่งฝึกมองในกระจก และฝึกมองรัศมีผู้อื่นในที่สลัวตามงานเทศกาลต่างๆ มักจะมีบริการถ่ายภาพรัศมีร่างกาย ลองถ่ายดูถ้ามีโอกาส จะได้นำมาวิเคราะห์ตัวเอง ว่ามีพลังอะไรในตัวเองบ้าง หรือหาหนังสือเกี่ยวกับเรื่องการอ่านรัศมีร่างกายเขียนโดย Ted Andrew

พลังแห่งปัญญา นำมาใช้ให้เป็นประโยชน์ได้อีกอย่างหนึ่ง คือการอ่านความรู้สึกและจิตใจของสัตว์ ไม่ว่าจะเป็นสัตว์ที่เลี้ยงใกล้ชิด หรือสัตว์ป่าที่อยู่ห่างไกล หรือที่เห็นในภาพยนตร์ ว่าอากัปกิริยาอย่างนั้น จะแสดงความเคลื่อนไหวอะไรออกมาต่อไป ซึ่งเป็นสิ่งสนุก ทำให้ชีวิตมีรสชาติขึ้น ถ้าคนไม่สนใจ อาจมองเป็นว่า คนนี้ใกล้บ้าๆ บอๆ

พลังแห่งปัญญา นำมาใช้ในการอ่านลักษณะความคิดจากข้อเขียน หรือคำพูดของคนบางคน ว่าเขามีอารมณ์อะไรอยู่ในขณะที่แสดงออกเช่นนั้น ตรงนี้เป็นประโยชน์ โดยเฉพาะนักการเมือง เพราะสามารถวางหมากดักไว้ก่อนที่จะเกิดเหตุการณ์อะไรต่อไป

พลังแห่งปัญญา แตกต่างจากปัญญา เพราะพลังคือความลึกซึ้งกว่าปัญญาผิวเผิน จะวินิจฉัยได้ว่า ไม่ว่าพลังฮาร่า พลังคุนดาลินี พลังจิต พลังอะไรก็ตาม เกิดจากการสะสมสมาธิ โดยมีพลังจิตที่ว่าง บริสุทธิ์เป็นที่ตั้ง เราๆ ท่านเพียงแต่ให้ความสนใจฉุกคิดเพียงจุดเริ่มต้น แล้วประสานต่อไปจนถึงเป้าหมายปลายทาง