สุขภาพและการบำบัด
สดศรี สุริยะฉาย
ชีวิตมีประจุไฟฟ้า

เรารู้แล้วว่าเซลล์สื่อสารกันด้วยแม่เหล็กและไฟฟ้า นั่นหมายถึงว่า สิ่งมีชีวิตย่อมมีประจุไฟฟ้า แล้วพืชล่ะ แล้วสัตว์ล่ะ เคยมีคนคิดไหมว่ามีประจุไฟฟ้าหรือเปล่า เมื่อปี ค.ศ. 1914 มีคนส่งกระแสจิตให้สิงโตตัวผู้โจมตี สิงโตตัวเมียด้วยพลังจิตให้สิงโตตัวผู้คิดว่าสิงโตตัวเมียกำลังจะแย่งอาหารตรงหน้าไป ด้วยกระแสจิตนี้จากนักจิตวิทยาเท่านั้นเองทำให้เกิดความคิดในสัตว์ได้ หรืออย่างที่ผู้เขียนกำลัง in trouble กับภาวะหัวใจ หลานที่อยู่เมืองไทยตรงข้ามอีกด้านหนึ่งของโลกก็โทรศัพท์มาหา หรือคนที่ถูกใจกันเมื่อจะสัมผัสทางกายจะรู้สึกวาบที่ผิว คุณคิดว่าอะไร นักจิตวิทยารัสเซียผู้หนึ่งชื่อลีโอนิโดวิช ดูรอพ อธิบายว่า เป็นพลังแห่งจักรวาล Universal Energy ที่มีอยู่ในสิ่งมีชีวิตเรียกว่า living creatures มี Bioelectric energy ไม่ว่าจะแรงหรือต่ำ ขึ้นอยู่กับภาวะของระบบประสาท มิใช่ความคิดคำนึงอย่างเดียว พลังจักรวาลสูงหรือต่ำอยู่ที่ electromagnetic waves แห่งระบบประสาทหรือระบบกลไกที่จะรับสัญญาณคลื่นนี้ ไม่ว่าจะเป็นคลื่นอะไร เราสามารถสร้าง Bioelectric energy หรือ Universal energy นั้นได้ในตัวเราเอง ขึ้นอยู่กับภาวะจิต อันนี้ ทำให้ผู้เขียนนึกถึงตอนตัวเองเข้าสู่ภาวะจิตว่างในสมาธิกับพระอาจารย์ไพบูลย์ นิสัยสุตานุยุติ ซึ่งอยู่ในสมาธิ กำลังแห่งภาวะจิตของท่านรวมกระแสจิตเป็นสมาธิ สามารถส่งดวงแก้วมาถึงผู้เขียนและผู้เขียนปรากฎภาพขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงพระดำเนินอยู่ อธิบายได้ถึง Bioelectronic energy ที่สิ่งมีชีวิตสามารถ radiate ประจุไฟฟ้าเป็นคลื่นสมอง ขึ้นอยู่กับภาวะร่างกายและภาวะแห่งจิต ระบบสมองทำงานเป็นคลื่น รวมเป็นพลังแห่งชีวิตซึ่งเป็นพลังจากร่างกายและภาวะจิตที่รวมส่งกระแสเป็นคลื่นจากพลังแม่เหล็ก กับรวมเป็นหนึ่งเดียว กับระบบประสาททำงานด้วยพลังไฟฟ้าว่า เรียกว่า พลังจักรวาล หรือ Universal Energy จะแรงหรืออ่อนขึ้นอยู่กับการทำงานแห่ง magnetic force จากสิ่งแวดล้อมและดีกรีแห่งภาวะการทำงานของระบบประสาทที่ทำงานเป็นคลื่น แล้วแต่ภาวะแห่งความต้องการ เช่นคนอยู่ในภาวะไฟไหม้รอบตัว จะมีความแข็งแรงที่จะป้องกันภัยจากไฟนั้น ส่วนหนึ่งมาจาก Universal Energy จะสูงหรือต่ำ ภาวะจิตไม่ควรมีการรบกวนโดยสิ่งแวดล้อม ภาวการณ์ทำงานของสมองอยู่เป็นหนึ่งเดียว พร้อมที่จะกระจายกระแสแห่งความคิดที่ระบบประสาทสั่งการ เป็น พลังที่สำคัญที่สุด เรียกว่า vital energy มาจากพลังแห่งชีวิต Bioelectric energy

เรื่องเล่าจากอินเดียมีว่า ชายคนหนึ่งถามพระอาจารย์ว่า เขาจะสามารถอยู่กับพระเจ้าได้อย่างไร พระอาจารย์ไม่ได้ตอบคำถามเขา แต่พาเขาไปที่กลางแม่น้ำและหย่อนร่างชายคนนั้นลงไปในน้ำ สักครูหนึ่ง ก็ดึงชายคนนั้นขึ้นมา แล้วถามเขาว่า เมื่อเจ้าอยู่ในน้ำรู้สึกอย่างไร เขาตอบว่า เมื่ออยู่ในน้ำ เขาต้องการอากาศหายใจ พระอาจารย์พูดว่า เห็นไหม เมื่อเจ้ามีความปรารถนาในพระเจ้า ดังเช่นที่เจ้าต้องการอากาศหายใจที่ใต้น้ำ นั่นแหละคือจังหวะที่เจ้าได้พลังจากพระเจ้า แต่ก่อนเมื่อคนเราเมื่อต้องการพลังพิเศษ เรียกว่าพลังแห่งพระเจ้า สมัยนี้เรียกว่า พลังไฟฟ้าแห่งชีวิต Bioelectric Energy ไม่ว่าจะเป็นสิ่งมีชีวิตใดๆ มีคลื่นที่พร้อมจะเปลี่ยนเส้นทาง อยู่ที่ว่าเราจะทำอย่างไรที่จะเปลี่ยนให้สอดคล้องกันได้กับ Universal energy หรือพลังที่มีในจักรวาล ที่เรารู้จักในนามของพระเจ้า เป็นพลังแห่งชีวิต ฉะนั้น เราควรสร้างให้มีพลังไฟฟ้าแห่งชีวิตที่แข็งแรง ยกตัวอย่างเช่น เมื่อเราหัวเสียมีความโกรธ เราอาจทำลายอารมณ์โกรธในใจนั้นด้วยการผิวปาก ร้องเพลง ฟังดนตรี หรือหัวเราะ พลังด้านดีจะลบความโกรธหายไป แต่ถ้าเราหน้านิ่วคิ้วขมวด กำปั้นมือ กัดฟัน พลังแห่งความโกรธจะแผ่ซ่านไปทั่ว เราจึงควรมีการควบคุมตัวเอง จึงจะสร้างพลัง เราควรฝึกแนวการคิด ด้วยการหลับตา และสร้างความว่างในความคิด อาจทำยาก เพราะกระแสความคิดไม่หยุดนิ่ง ดังคำพังเพยที่ว่าความคิดหยุดนิ่ง แต่ความคำนึงวิ่งดุจม้าไม่หยุด เราจึงควรฝึกจิตให้ว่าง นั่งหลับตาไม่คิดอะไร บุคคลผู้ยิ่งใหญ่ประสบความสำเร็จมีการควบคุมตนเองสูง เราจึงควรกระทำสิ่งซึ่งคนธรรมดาทั่วไปทำไม่ได้ ดังเช่นพระภิกษุสงฆ์ เราควรฝึกตนเองให้ดึงเอาพลังแม่เหล็กไฟฟ้าจากพลังจักรวาลเข้ามาในตัว จนสิ่งแวดล้อมไม่สามารถมีผลต่อเราได้ ความคิดเกี่ยวกับวัสดุสิ่งของจะไม่มีพลังหรือผลลบต่อเรา ดังเช่นที่ นักสมาธิผู้สูงด้วยพลังชื่อ Kanada สอนลูกศิษย์มิให้รับความเจ็บปวด วิธีการนี้ พิสูจน์ว่านักบำบัดรักษาอาการเจ็บป่วยได้ด้วยพลังจิต

เราคงเคยได้ยินคำว่า Mesmerism ปลายศตวรรษที่ 18 โดยนักฟิสิกส์ชาวเยอรมันชื่อ Friedrich Anton Mesmer ค้นพบพลังแม่เหล็กจักรวาล นำมาใช้ระบบตั้งชื่อตามเขาว่า Mesmerism หมายความคิดถึงความเป็นแม่เหล็กของสัตว์ทั้งมวล นักวิทยาศาสตร์ชาวฝรั่งเศสอธิบายว่า พลังของมนุษย์ คือ ความสามารถที่บุคคลหนึ่งมีและส่งผลต่ออีกบุคคลอื่นได้ เรียกว่า การถ่ายทอดพลัง หรือ Energy Transfer เป็นการอธิยายถึง Universal energy คือความสามารถส่วนบุคคลที่จะอ่านความคิดของผู้อื่น หรือสามารถเห็นหรือได้ยินผ่านอวกาศ อีกนัยหนึ่ง คนหนึ่งอาจไม่จำเป็นต้องศึกษาวิชาการแพทย์ หรือรู้สมมุติฐานของโรค แต่อาจจะอธิบายสาเหตุของการเจ็บป่วยหรือให้ยาที่จำเป็นต่อการบำบัดได้ เรียกว่า การส่งพลัง “Energy Transfer” ในอเมริกาได้ทำการศึกษา mesmerism เพื่อที่จะสามารถส่งพลังจิตไปบำบัดการเจ็บป่วยได้ ระหว่างปี 1877 ชาวเคนตักกี้ชื่อ Edgar Cayce ยากจนและไม่ได้รับการเล่าเรียน ทำฟาร์ม มีพลัง Universal energy สำหรับการบำบัดรักษา โดยที่เพ่งมองภายถ่าย เขาสามารรู้จุดของการเจ็บป่วยในร่างกาย เขาวินิจฉัย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกรอบของความดันโลหิตจะใกล้เคียงจุดบกพร่องที่สุด เขามิได้บ่งว่าการเจ็บป่วยมีสาเหตุจากเชื้อโรค แต่บอกว่ามาจากเม็ดเลือดขาว เม็ดโลหิตแดง และน้ำเหลือง ซึ่งแพทย์ค้นพบตามนั้น วิทยาศาสตร์ปัจจุบันไม่สามารถอธิบายความสำเร็จในการวินิจฉัยโรคของเขาหรือทำการบำบัดโรคได้ แต่เขาสามารถบำบัดได้

ประสบการณ์การของ Mesmer และ Cayce แสดงว่า บุคคลที่มีพลังแม่เหล็กไฟฟ้าธรรมชาติจะไม่รู้วิธีดึงพลังเหล่านั้น แต่ก็ใช้พลังเหล่านั้นให้เป็นประโยชน์ต่อชีวิตได้ และเชื่อกันว่าพลังเหล่านี้อาจเสื่อมลง เช่นเดียวกับพลังแม่เหล็กก็มีวันลดพลังไฟฟ้าลง เราจึงสรุปว่า เมื่อเราเรียนรู้วิธีที่จะดึงเอาพลังแม่เหล็กไฟฟ้า Electromagnetic Force เข้าสู่ร่างกายได้ เราก็จะมีพลังแม่เหล็กและไฟฟ้าสำหรับการทำงานในร่างกายสูง เพราะต้องใช้ในระบบประสาท โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เรายอมรับว่า Heaven and Earth and Nature are the same form ถึงแม้วิทยาศาสตร์จะพิสูจน์ไม่ได้ว่ามี Bioelectric Energy แฝงอยู่ในร่างกาย และอาจควบคุมบุคคลอื่นดังได้กล่าวแล้ว ดังนั้นเราจึงควรยอมรับพลังแห่งโชคดีนั้นไว้เพื่อแก้อาการเจ็บป่วย โดยสรุป พลังนี้ได้รับการเรียนรู้เพิ่มเติมหากเราโชคดีพอที่จะค้นพบมันได้เพื่อบำบัดอาการเจ็บป่วย ปี 2021 ควรเป็นที่เราสามารถรับผลประโยชน์จากการบำบัดด้วย electromagnetic force การบำบัดด้วยจักระก็เป็นแนวทางหนึ่ง

ถ้ามีประจุไฟฟ้าลบมากกว่าบวก เลือดจะสะอาด ประจุไฟฟ้าลบได้มาจากการกินผลไม้ การกินเนื้อสัตว์มากเกินไป จะดึงประจุไฟฟ้าลบให้เสียไป ประจุไฟฟ้าลบได้จากอัณมณี แหวนเงิน แหวนทอง โลหะบำบัด ผ้าไหมไทย ผ้าฝ้าย เพิ่มประจุไฟฟ้าลบ ผ้าใยสังเคราะห์ทำลายประจุไฟฟ้าลบ ความอบอุ่นในครอบครัว สัมผัสบำบัด การฟังดนตรี ก็ใช้ดนตรีบำบัด บางทีกลิ่นบำบัดก็ได้

บทความนี้ แหล่งที่มา เริ่มตั้งแต่สมัยพระอาจารย์ดาสิรา ณราดา ผู้ประสาทวิชาการบำบัดด้วยจักระ ระหว่าง ปี ค.ศ.1846-1924 ผู้เขียนเรียนวิชาการบำบัดด้วยพลังจักระที่เมืองไทยปี 2010 จากสถาบันพลังกายทิพย์ของอาจารย์คุณย่า เยาวเรศ บุนนาค หลังจากนั้นสอนวิชานี้ในวิทยาลัยในแคลิฟอร์เนียและเขียนตำราประกอบการสอนชื่อ Healing with Reiki and Chakra มีรายนามผู้ประสาทวิชานี้หลังจาก Dasira Narada ได้แก่ Diane Stein 1994, Linda Bertat 1995, Esther Sui 2008, Yaowares Boonark 2010, Suwat Dararouksa 2012, หนังสือของผู้เขียนชื่อ Healing with Reiki and Chakra พิมพ์ปี ค.ศ.2013