สุขภาพและการบำบัด
สดศรี สุริยฉาย
เรื่องของน้ำ

น้ำใครคิดว่าไม่สำคัญ น้ำเป็นพื้นฐานการจุติของชีวิตทีเดียว ถ้าไม่มีน้ำไม่มีการจุติของชีวิต การเกิดนอกจากจะมีวิญญาณเลือกว่าจะไปเกิดที่ใดแล้ว เชื้อยังต้องว่ายน้ำไปหาไข่เพื่อที่จะบังเกิดเป็นชีวิต เมื่อมีชีวิตในท้องแม่ ก็อยู่ในน้ำ ถึงตอนจะคลอดจากท้องแม่น้ำก็ออกมาก่อน คลอดออกมาแล้ว บางทียังถูกทดลองให้คลอดในน้ำเสียอีก เพื่อดูว่าน้ำจะมีผลต่อการทรงตัวในอวกาศหรือไม่ อย่างไร เมื่อคลอดออกมาแล้ว ร่างกายทารกจะสะสมน้ำไว้มากมาย เพื่อความอยู่รอดของเซลล์ จะเห็นได้จากข่าวที่ทารก สามารถมีชีวิตอยู่ได้สองสามวันเมื่อถูกทอดทิ้ง ต่อจากนั้นทารกจะเริ่มดื่มน้ำนมก่อนอาหารแข็ง น้ำนมของแม่ให้สารที่เป็นประโยชน์ต่อสมองและการเจริญเติบโตของชีวิตดีที่สุด ยกเว้นเป็นอกขนาที่ขยายใหญ่ด้วยศัลยกรรม ก็หมดสิทธิ์

โครงสร้างของเซลล์ของคนเรามีน้ำถึง 80 เปอร์เซ็นต์ นอกนั้นเป็นโปรตีน 15 เปอร์เซ็นต์ ไขมัน 3 เปอร์เซ็นต์ มีแป้ง และแร่ธาตุอยู่เล็กน้อยอย่างละ 1 เปอร์เซ็นต์

น้ำหนักตัวของคนเรามาจากน้ำ 50 – 70 เปอร์เซ็นต์ การดื่มน้ำไม่เพียงพออาจทำให้เกิดหน้ามืดวิงเวียนศีรษะ ถ้าระดับน้ำในร่างกายตกต่ำไปเพียง 2 เปอร์เซ็นต์จะส่งผลให้ความจำเสื่อมในระยะสั้น การคิดคำนวณเลขตกต่ำ มีปัญหาขาดสมาธิในการทำงานกับจอคอมพิวเตอร์และการพิมพ์ คนเรามักไม่รอดชีวิตหากขาดน้ำนานๆ คนที่ถูกหิมะถล่มทับ ยังรอดชีพด้วยการกินหิมะปะทังแทนน้ำ จนกว่าจะได้รับความช่วยเหลือ มิเช่นนั้นร่างกายจะขาดน้ำมากเกินไป เพราะแข็งหมด

ในโลหิต มีพลาสม่าซึ่งเป็นน้ำถึง 90 เปอร์เซ็นต์ น้ำนี้เป็นตัวนำเม็ดเลือดแดง เม็ดเลือดขาว โปรตีน น้ำตาล ออกซิเจน และอาหารไปสู่เซลล์ และนำคาร์บอนไดออกไซต์ออกจากเซลล์ มีปรากฎอยู่เสมอเมื่อโลหิตไม่สามารถไปเลี้ยงเซลล์สมองได้ ชีวิตก็ยุติ

โครงสร้างของผิวก็มีน้ำอยู่ 60-70 เปอร์เซ็นต์ ผิวมีโปรตีนถึง 25 เปอร์เซ็นต์ คนที่ลดความอ้วน ก็เลยหันไปบริโภคหนังหมูกัน แต่อย่ารวมไขมันที่ติดหนังหมูเข้าไปด้วย

ผมมีน้ำเป็นส่วนประกอบอย่างน้อยๆ 10-15 เปอร์เซ็นต์ แล้วแต่ว่าคุณตากแดดหรือเป่าผมแห้งแค่ไหน คนที่ชอบตัดผม จะสูญเสียน้ำไปกับปฏิกิริยาของสารเคมีในการดัด หรือการย้อมผม จำเป็นต้องทดแทนปริมาณโปรตีนให้ผมอุ้มน้ำไว้ให้ได้ ด้วยการใช้โปรตีนหลังสระผมเคลือบเอาไว้ เรียกว่า รีคอนสตรัคเตอร์

น้ำอีกประเภทหนึ่งในร่างกายคือน้ำย่อยที่ร่างกายของเราสร้างขึ้นในปากเพื่อย่อยแป้ง เรียกว่า น้ำลาย (Saliva) จะออกมาเมื่อถึงเวลาที่เราเคยบริโภคอาหารอย่างตรงเวลา น้ำย่อยในกระเพาะอาหารเรียกว่า เพ็บซิน (Pepsin) มีไว้สำหรับย่อยสายใยโปรตีน หรือพืช มีความเป็นกรดสูงเพราะต้องสลายอาหารพวกนี้อย่างหนัก หลังจากฟันย่อยเป็นชิ้นเล็กลง น้ำย่อยในลำไส้เล็กช่วยการดูดซึมเข้าสู่กระแสโลหิต การที่ผ่านไปยังลำไส้ใหญ่ จำเป็นต้องมีน้ำในการขับเคลื่อนพอสมควร มิฉะนั้นเราเรียกว่า ท้องผูก คือไม่ถ่าย หรือถ่ายไม่ออก น้ำย่อยไขมันเรียกว่าน้ำดี ผลิตโดยตับส่งไปตามท่อน้ำดีเข้าสู่กระเพาะอาหาร

น้ำปัสสาวะ เป็นพาหะนำการชำระของที่ร่างกายไม่ต้องการ โดยการทำงานของไต บางคนแนะนำให้ดื่มน้ำปัสสาวะของตนเอง เพื่อหวังผลในการรักษาโรค แต่ที่แน่ๆ คือ ปัสสาวะของม้า ใช้ในการผลิตฮอร์โมนเอสโตรเจนสำหรับสตรีขาดฮอร์โมนเพศหญิง

ต่อไทรอยด์ที่ตรงคอ ทำหน้าที่ส่วนหนึ่งคือรักษาระดับน้ำในร่างกาย ถ้าต่อมนี้ทำงานไม่สมดุลย์ อาจอ้วนฉุบวมน้ำ มีอาการทางร่างกายอย่างอื่นเสริมด้วย เช่น ขาดความตั้งใจ ไม่เติบโตเท่าที่ควร ประสาทไม่สมดุลย์ เพราะต่อมนี้ไม่ผลิตฮอร์โมนที่ควรจะผลิตอย่างเต็มที่ จะสังเกตได้ว่าร่างกายหรือต่อมนี้ทำงานปกติหรือไม่ ดูตรงที่อาการประสาททั่วไป ไม่มีสมาธิยืนยาว พอออกจากห้องน้ำสูญเสียน้ำไป จึงควรดื่มน้ำเพื่อทดแทน เพราะการสั่งงานของฮอร์โมนไทรออกซินที่ผลิตจากต่อมนี้ไปกับน้ำ

เมื่อรู้ว่าน้ำจำเป็นต่อร่างกายแค่ไหน เราก็ควรพิจารณาว่าจะใส่น้ำอะไรเข้าไปในร่างกายได้บ้าง เรียกว่าเลือกบริโภคน้ำให้ได้ประโยชน์สูงสุด

เราวัดความเป็นกรดและความเป็นด่างของน้ำด้วยตัววัดที่เรียกว่า pH Scale แปลเป็นไทยว่า ระดับของไฮโดรเจนในน้ำหรือของเหลวต่างๆ มีตัวเลข ระหว่าง 0 – 14 ค่าวัดจากศูนย์ ถึงเจ็ด เรียกว่า มีความเป็นกรด ค่าวัดจาก เจ็ดถึง สิบสี่ เรียกว่ามีความเป็นด่าง โลหิตของเรามีภาวะเป็นด่าง อยู่ที่ค่าประมาณ 8.5 น้ำกรดที่เติมแบตเตอรี่มีความเป็นกรด มีค่าประมาณ 3 พอๆ กับความเป็นกรดของน้ำย่อยในกระเพาะอาหาร ความเป็นกลางอยู่ระหว่าง 6.5-7.5

การวัดค่าความเป็นกรดหรือด่าง ใช้กระดาษลิทมัส แตะที่ของเหลวหรือจุ่มน้ำนั้นจะอ่านได้ตามสีที่เปลี่ยนไป สีแดงคือกรด สีดำหรือคล้ำคือด่าง

เริ่มต้นที่น้ำดื่ม มีอุปกรณ์ทำน้ำด่างขายชุดละแพงๆ เขาว่าประโยชน์ต่อสุขภาพ เราจะพิจารณาว่า เป็นประโยชน์จริงหรือไม่ ก็ลองดูที่ค่าวัดความเป็นกรดหรือด่างของน้ำนั้น สบู่มีความเป็นด่างสูงถึง 10 ในขณะที่แอมโมเนียมีค่าความเป็นด่าง 12 และความเป็นด่างสูงสุดอยู่ที่ 14 ได้แก่ น้ำยาซักฟอก คุณอยากดื่มน้ำสบู่ ที่มีความเป็นด่างที่จุด 10 หรือน้ำสำหรับซักผ้าที่ความเป็นด่างสูงสุดที่จุด 14 หรือไม่ ในเมื่อโลหิตของเราก็เป็นด่างอยู่แล้วที่จุด 8.5 ภาวะความเป็นกรด หรือด่างของปัสสาวะคงขึ้นอยู่กับอาหารและภาวะร่างกาย น้ำย่อยในกระเพาะอาหารมีความเป็นกรดที่จุด 3.5 พอๆ กับน้ำส้มสายชู ที่จุด 3 น้ำมะนาวที่จุด 2 สารส้มมีความเป็นกรดที่จุด 3.5 ภูมิปัญญาของไทยแนะนำให้ดื่มน้ำมะพร้าวแกว่งด้วยสารส้มเป็นเวลา 21 วัน เพื่อสลายหินในถุงน้ำดี หรือกระเพาะปัสสาวะ วิธีที่จะรู้ว่าตนเองมีหินในกระเพาะปัสสาวะ หรือไม่ ก็โดยการตรวจน้ำปัสสาวะ หากมีเลือดปน อาจอ่านได้ว่า อาจมีหินในกระเพาะปัสสาวะ ทั้งนี้ผลตรวจเลือด ต้องเป็นค่าลบ คือไม่ติดเชื้ออย่างอื่น ผู้เขียนกำลังทดลองด้วยตนเองอยู่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ในการดื่มน้ำมะพร้าวแกว่างสารส้ม 12 วัน ดูซิว่าจะดื่มได้กี่วัน แพทย์ว่าแม้แต่น้ำมะนาวยังเปลี่ยนเป็นด่างในร่างกายเลย ก็หวังว่าร่างกายจะสลายหินได้ด้วยกรดที่ดื่มเข้าไปแล้วเปลี่ยนเป็นด่างให้

น้ำประปาจากก็อก เราไม่แน่ใจว่าผ่านอะไรมาตามทาง ที่แน่ๆ คือเขาทำให้มันปลอดภัย โดยมีสารฆ่าเชื้อโรค มันอาจฆ่าเซลล์ก็ได้ ใครจะรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นในเซลล์ เราก็ใช้สำหรับการบริโภคขั้นต้นคือ ไม่นำเข้าร่างกายโดยตรง ยกเว้นต้มให้เดือดเสียก่อน หรือใช้สำหรับล้างผักขั้นที่หนึ่ง ตามด้วยล้างผักขั้นที่สองด้วยน้ำประปา ผ่านการกรอง มีทั้งระบบติดตั้งเครื่องกรองไว้กับก็อก ระบบบิตต้าใช้ไส้กรอง ระบบกรองด้วยตู้กรองที่ตลาดน้ำกรองยังมีตะกอน นั่นคือยังไม่บริสุทธิ์หมดจด การล้างผักขั้นที่สอง อาจแช่ด่างทับทิมแล้วล้างด้วยน้ำกรองเป็นขั้นที่สาม ทำไมต้องทำให้ชีวิตยุ่งยากขนาดนี้ ก็เพื่อป้องกันสารที่ก่อให้เกิดมะเร็ง เช่นยาฆ่าแมลง เราไม่ต้องการเป็นแมลง ก็เลี่ยวด้วยประการนี้

จะว่าไปแล้ว น้ำก็อกก็มาจากการทำน้ำเสียในบริสุทธิ์ เรียกว่า หมุนเวียนการทำประโยชน์ของน้ำให้ถึงที่สุด และกำจัดของเสียในน้ำให้มากที่สุด เรียกว่า purified เสียก่อน ถ้าเราไม่แน่ใจว่าบริสุทธิ์แท้จริง ก็เลือกน้ำที่บริสุทธิ์แท้จริงสำหรับดื่ม

นายแพทย์โดนัลด์ แคลทซ์ ผู้ค้นพบการทำโกรทฮอร์โมนเป็นน้ำอยู่ในขวด แนะนำว่าดื่มน้ำกลั่น (distilled water) ดีที่สุด เพราะเซลล์ใช้งานได้ตรงทันที เซลล์ไม่เสียน้ำภายในเซลล์ไปทำละลายเสียก่อน เซลล์จึงสามารถใช้น้ำในการสลายอาหารและขับถ่าย การดื่มกาแฟมีประโยชน์ที่ปลุกประสาทให้สูงกว่าปกติ แต่เซลล์ต้องเสียน้ำไปละลายกาแฟ เมื่อประสาทคืนสภาพลงต่ำกว่าปกติ เราก็อยากดื่มกาแฟอีกแล้ว คนดื่มกาแฟผิวมักแห้ง

น้ำโกรทฮอร์โมนที่กล่าวนี้ เขาทำมาจากดีเอ็นเอของโกรทฮอร์โมน ใช้เวลาค้นคว้าเป็นร้อยปี กว่าจะถึงมือพวกเราได้ ความมุ่งหมายเพื่อเสริมสร้างการผลิตฮอร์โมนของร่างกายที่เริ่มลดลงตั้งแต่อายุประมาณ 20 ปี วิธีใช้คือสเปรย์ใต้ลิ้นวันละ 3 ครั้ง เช้าหลังตื่นนอน บ่ายสอง และก่อนนอน เป็นเวลา 5 วันต่อสัปดาห์ เมื่อใช้ไปสัก 6 เดือน ร่างกายจะเปลี่ยนแปลงเยาว์วัยขึ้นเพราะมีฮอร์โมนแห่งการเติบโต หลังจากยุติไปหรือลดน้อยลง โกรทฮอร์โมนมีความสำคัญต่อชีวิต เพราะไปสั่งให้ต่อมไร้ท่ออีก 6 ชนิดผลิตฮอร์โมนเข้าเส้นเลือด นำไปยังกลุ่มเซลล์ต่างๆ ได้สมบูรณ์ครบถ้วน ทั่วร่างกายอย่างน้อยความเสื่อมาสภาพของเซลล์ก็ชะลอลง คือแก่ช้าลง ความจำไม่สูญ ถ้าเรายังเป็นเหมือนอายุน้อยตอนแก่ ก็ดีแล้ว ปัญหาความเจ็บไข้จากโรคก็ห่างออกไป แค่มีปัญหาคือ ตอนอายุ 70 ปี จะยังสามารถซื้อโกรทฮอร์โมนขนาด 1 เอานซ์ ราคา 200 เหรียญได้หรือไม่ แต่ถ้ายังสามารถกระตุ้นการผลิตโกรทฮอร์โมนโดยตัวเองได้การดื่มน้ำปัสสาวะ หรือดื่มน้ำด่าง ก็ไม่ต้องพูดกันอีก

น้ำดื่มที่นายแพทย์แคลทซ์แนะนำ คือน้ำที่เป็นกลาง เรียกว่าน้ำกลั่น มีจุดวัดที่ 7.0 หาซื้อได้ที่ ตลาดสมาร์ทแอนด์ไฟนัล

น้ำที่จะดื่มอันดับต่อไป คือน้ำที่ประกอบด้วยสารอาหารจากพืช เรียกว่า phytochemicals หรือเรายกให้เป็น น้ำสมุนไพร ที่มีสรรพคุณในการบำบัดป้องกันโรค

ตอนขึ้นต้นได้กล่าวว่า การเกิด มาจากวิญญาณ อธิบายตามวิทยาศาสตร์ ได้ว่า กลุ่มของเซลล์กลุ่มหนึ่งมีการติดต่อสื่อสารกันด้วยฮอร์โมน เพื่อถ่ายทอดพลัง ซ่อมแซม สร้างสรรค์ ออกคำสั่ง และประสานงาน กลุ่มเซลล์นี้ ภาษาอังกฤษใช้คำว่า Quark แปลได้ตรงความหมายว่าวิญญาณ เพราะมีการรับรู้ด้วยระบบสื่อสาร แต่ต่างจากคำว่า Spirit ที่เรามักนึกไปในแง่ผีที่ยังวนเวียนหลอกหลอนคน สำนวน ภาษาไทยบางทีเกี่ยวข้องคำว่า วิญญาณ กับสำนึก (Conscious) ซึ่งมีการติดต่อสัมผัสกับสิ่งมีชีวิตได้

เมื่อกลุ่มเซลล์แต่ละกลุ่ม เกิดมวลรวมเป็นหลายกลุ่ม เกิดเป็นระบบร่างกาย มีควมเป็นอยู่แข็งแรง ทำงานสมดุลย์ ไม่บกพร่อง เราก็ต้องเติมสารอาหารที่เป็นประโยชน์ต่อเซลล์แต่ละหน่วย แต่ละกลุ่ม ให้ทำงานดี เราก็ได้จากพืช และสัตว์ ซึ่งมีองค์ประกอบแห่งการเติบโตจากธาตุสี่ คือดิน น้ำ ลม แสงแดด เหมือนคน

ภูมิปัญญาโบราณ ทดลองบริโภคจนรู้ว่า พืชชนิดใดเป็นประโยชน์อย่างไร บริโภคสัตว์อะไรจะเป็นคุณหรือเป็นโทษอย่างไร ก็นำมาประพฤติกันต่อๆ มา จนสรุป เป็นที่ยอมรับ ปฏิบัติกันในปัจจุบัน

สมุนไพรที่ขึ้นชื่อในสรรพคุณ จนใช้เป็นยาได้ มีหลายชนิด เช่น รางจืด มีสรรพคุณในการถอนพิษ เช่นจากแอลกอฮอล์ สารหนู (Strychnine) ยาฆ่าแมลง (Arsenic) ควันพิษ แถมลดระดับน้ำตาลในเลือดสูง ได้อีก วิธีคั้นน้ำคือตำในครกเพื่อให้ตัวยาออกมา แล้วเติมน้ำกลั่นที่มีสภาพเป็นกลาง ดื่มทันที หรือแช่เย็นไว้ได้สองสามวัน คอยเติม น้ำเพิ่มไว้ ดื่มหลังจากออกกำลังกายเหงื่อออก หรือดื่มตอนเช้าท้องว่าง สลับกับน้ำดื่มอย่างอื่น เช่น น้ำชาต้มจากกระเจี๊ยบแดง พุทราจีนแห้ง และเติมมะตูมแห้ง เพื่อความหอม สามารถลดระดับโคเลสเตอรอลตัวร้ายได้ดี

น้ำสมุนไพรอีกอย่างหนึ่งที่เป็นยอดนิยมที่สุด เห็นจะได้แก่น้ำย่านาง นัยว่าสามารถรักษาเซลล์มะเร็ง อาจป้องกันเซลล์มิให้เป็นมะเร็ง เพราะสามารถกำจัดสารอนุมูลอิสระที่เกิดขึ้นเองจากร่างกาย แค่นี้ก็พอเพียงแก่การส่งเสริมให้เซลล์แข็งแรง และทำงานเป็นกลุ่มที่แข็งแรง

น้ำสมุนไพรอีกอย่างหนึ่งที่อาจดื่มสลับกันไป ทำจากหญ้าปักกิ่ง ใช้คั้นน้ำหรือต้ม ศาสตร์จีนใช้รักษาโรคทางเดินหายใจ ต้านสารอนุมูลอิสระ ช่วยเพิ่มภูมิคุ้มกัน

นอกจากไพรลือนามดังกล่าว ก็มีใบเตย ใบหม่อน แต่ควรศึกษา ผลข้างเคียงและฤทธิ์ร้อนเย็นว่าเหมาะกับตนไหม ผักไทยๆ หลายชนิด มีคุณสมบัติที่ดีต่อสุขภาพ เช่น ใบโหระพา กินแล้วไม่ป่วย ใบบัวบก มีสรรพคุณในการบำรุงเซลล์สมอง

เห็ดสามอย่าง ที่ขึ้นชื่อว่ารักษาโรคได้ ก็ให้คำนึงถึงว่า ใต้ดอกเห็ดมีเชื้อสปอร์ที่อาจก่อให้เกิดมะเร็ง เราไม่รู้ว่าเห็ดชนิดใดเป็นอันตราย ก็ปรุงให้สุกแน่ใจเสียก่อน