คุยกันวันเสาร์
ส.ท่าเกษม



THE BEACH BOYS
If everybody had an ocean
Across the U.S.A.
Then everybody'd be surfing
Like California

You'd see 'em wearin' their baggies
Huarache sandals, too
A bushy, bushy blond hairdo
Surfin' U.S.A.

You'd catch 'em surfin' at Del Mar
Ventura County Line
Santa Cruz and Tressels
Australia's Narabine

All over Manhattan
And down Doheny way
Everybody's gone surfin'
Surfin' U.S.A.

We'll all be planning out a route
We're gonna take real soon
We're waxing down our surfboards
We can't wait for June

We'll all be gone for the summer
We're on safari to stay
Tell the teacher we're surfin'
Surfin' U.S.A.

At Haggerty's and Swami's
Pacific Palisades
San Onofre and Sunset
Redondo Beach L.A,

All over La Jolla
And Waiamea Bay
Everybody's gone surfin'
Surfin' U.S.A.

Everybody's gone surfin'
Surfin' U.S.A.
Everybody's gone surfin'
Surfin' U.S.A.

เพลง "Surfin’ U.S.A.".....The Beach Boys

นี่คือวงรุ่นใหญ่ที่เคยรุ่งสุดๆ ในยุค ๖๐ ถึงขนาดที่เป็นคู่แข่งของ The Beatles มาแล้ว พวกเขาออกอัลบั้มมาเรื่อยๆ มีห่างหายไปบ้าง มีล้มหายตายจากไปบ้าง มีแยกวง แล้วก็มีรียูเนียน เรียกว่าครบทุกรสชาติของความสัมพันธ์เท่าที่สมาชิกวงดนตรีวงหนึ่งจะพึงมีต่อกัน

อัลบั้มชุดนี้ THAT’S WHY GOD MADE THE RADIO เป็นอัลบั้มใหม่เอี่ยมที่นับเป็นชุดที่ ๒๙ ของวง ทิ้งช่วงจากการทำเพลงใหม่มาร่วมทศวรรษทีเดียว แถมอัลบั้มชุดหลังๆ ของพวกเขาก็ดูอ่อนล้าเหลือเกิน แต่เมื่อได้ฟังอัลบั้มชุดนี้ที่ ไบรอัล วิลสัน มาเป็นกัปตันทีมเต็มตัวอีกทีแล้ว รู้สึกมหัศจรรย์ในแง่ที่มันยังคงเรื่องราวเกี่ยวกับสายลม แสงแดด ชายทะเล รอยยิ้ม เหมือนกับเพลงเซิร์ฟมิวสิกสมัยที่พวกเขาเพิ่งโด่งดัง ทุกเพลงมีเมโลดี้ป๊อปจัด อบอวลด้วยการร้องประสานนวลเนียน อย่าง “Isn’t It Time” ก็มีการระลึกถึงอดีตอันแสนสุข ช่วยทำให้อัลบั้มนี้ดูสมวัย ส่วน “From There To Back Again” และ “Pacific Coast Highway” ก็มีลีลาดนตรีหลากหลาย ช่วยทำให้อัลบั้มนี้ดูมีชั้นเชิง ชื่นใจที่สุดก็คือภายใต้เมโลดี้เพราะๆ กับเสียงประสานนวลๆ นั้น เดอะ บีช บอยส์ ยังซ่อนการเรียบเรียงดนตรีระดับพระกาฬเอาไว้อย่างแนบเนียน นับเป็นอัลบั้มที่สมศักดิ์ศรีการฉลองครบรอบ ๕๐ ปีของวงจริงๆ เพลงปิดท้ายอัลบั้ม “Summer’s Gone” เป็นเพลงช้าๆ เศร้าๆ ที่อาจทำให้คนร่วมรุ่นของพวกเขาฟังแล้วน้ำตาซึม

Brian Douglas Wilson เป็นคนเขียนเพลง Pop ที่มีงานที่สร้างสรรค์และน่าสนใจมาก มีวิธีการทำงานที่คิดขึ้นเอง โดยใช้เสียงที่ปกติคนไม่ใช้ทำเป็นดนตรีมาสร้างงาน ในอัลบัม “Pet Sounds” เป็นนักดนตรีชาวอเมริกัน ที่รู้จักกันดีในฐานะหัวหน้าวงและนักแต่งเพลงหลักของวง The Beach Boys เขาทำหน้าที่เล่นเบสและคีย์บอร์ดในวง ซึ่งบางครั้ง รับหน้าที่ร้องนำและที่บ่อยกว่านั้นคือ ร้อง backing vocals

นอกเหนือจากการเป็นนักแต่งเพลงหลักในวงแล้ว เขายังเป็นโปรดิวเซอร์ และนักเรียบเรียงเพลงหลักของวง โดยรับผิดชอบหน้าที่ในการเขียนเพลงและ โปรดิวซ์ เพลงของ The Beach Boys ส่วนใหญ่ในยุคต้น ซึ่งประสบความสำเร็จมาก ได้รับรางวัลและติดท๊อปฮิตชาร์จมากมาย เพลงส่วนหนึ่งเขียนร่วมกับ Mike Love ญาติของเขา

ในช่วงกลางยุค ๖๐ Wilson เริ่มต้นที่จะเพิ่มความมุ่งมั่นอย่างสร้างสรรค์ที่จะสร้างดนตรีอย่างอัลบัม Pet Sounds ซึ่งได้รับการยกย่องว่า เป็น อัลบัมที่ดีที่สุดตลอดกาล กับซิงเกิ้ลสุดฮิตอย่างเพลง Good Vibrations ในจุดนี้เอง เพลงของเขาถูกยกให้เป็นคู่แข่งของ Lennon / McCartney แห่ง The Beatles

เขามีปัญหาทางสุขภาพจิต และชีวิตเขาอยู่ในช่วงย่ำแย่เนื่องจากปัญหาการใช้ยาเสพติด และความเจ็บป่วยทางจิตใจ ผลบุญเก่าของเขาที่มีต่อ The Beach Boys เริ่มจากจางหายลงไปทุกปีๆ และด้วยบุคลิกอุปนิสัยที่เอาแน่เอานอนไม่ได้ของเขา ส่งผลให้เกิดความตึงเครียดกับวง หลังจากหลายปีของการรักษาและฟื้นตัว เขาเริ่มงานเดี่ยวของตัวเอง ด้วยอัลบัม Brian Wilson ในปีเดียวกันนั้นเอง ทั้งอัลบัมเดี่ยวและวง The Beach Boys ถูกรวมอยู่ใน Rock and Roll Hall of Fame ด้วยกันทั้งคู่ ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา เขาออกทัวร์เป็นครั้งแรกในรอบ ๑๐ ปี กับวงใหม่ และ ออกอัลบัมที่รวมผลงานเก่าๆ มาทำใหม่ อย่าง อัลบัม Smile , That Lucky Old Sun, และ Brian Wilson Reimagines Gershwin

ในช่วงยี่สิบปีที่ผ่านมา Wilson ได้รับการยอมรับเป็นที่รู้จักอย่างสมภาคภูมิสำหรับดนตรีที่เขาสร้างให้วง The Beach Boys โดยเฉพาะอย่างยิ่ง อัลบัม Pet Sounds และอีกหลายเพลงของเขา ซึ่งบ่อยครั้งได้รับการยกย่องว่าเป็น เพลงที่ดีที่สุดที่เคยมีคนเขียนมา ในปี ๒๐๐๘ เขาได้รับการจัดอันดับที่ ๕๒ เป็น ๑๐๐ นักร้องที่ดีที่สุดตลอดกาล จากนิตยสาร Rolling Stone เขายังชนะ Grammy Award ในปี ๒๐๐๕ สำหรับเพลง Mrs. O’Leary’s Cow (Fire)ในสาขา ดนตรีร๊อคบรรเลงยอดเยี่ยม เขารับงานเป็นนักแสดงและนักพากษ์ในบางครั้ง ปรากฎตัวในรายการ TV shows, ภาพยนตร์และ MV ของศิลปินอื่นๆ โดยที่ไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของการทัวร์คอนเสิร์ตของวง The Beach Boys แล้ว แต่ Wilson ยังคงเป็น สมาชิกของ บริษัทของ The Beach Boys คือ Brother Records

ตัวอย่างเพลง God Only Knows (ถูกใช้เป็นเพลงประกอบภาพยนตร์ Love Actually) จากอัลบัม Pet Sounds

อัลบัม Pet Sound โดย Capitol Records ได้รับการจดจำว่าเป็นอัลบัมที่ทรงอิทธิพลมากที่สุดในประวัติศาสตร์ดนตรี pop และเป็นอัลบัมยอดเยี่ยมอัลบัมหนึ่งในยุคนั้น

โดยมีเพลงอย่าง wouldn’t It Be Nice และ God Only Knows โดยอัลบัมนี้ถูกสร้างขึ้นเป็นเวลาหลายเดือนหลังจาก Brian Wilson ได้ยุติการทัวร์คอนเสิร์ตกับวง เพื่อที่จะตั้งความสนใจไปที่การเขียนเพลงและการบันทึกเสียง เขาบรรจงสร้าง เสียงร้องประสานหลายชั้นที่มีความซับซ้อนละเมียดละไม ควบคู่ไปกับ เสียง sound effect และ เครื่องดนตรีที่ไม่เป็นไปตามแบบแผน อาทิเช่น กระดิ่งรถจักรยาน , ออร์แกนที่เสียงหวี่ๆเหมือนแมลง , harpsichords, flutes, Theremin ไฟฟ้า , นกหวีดสุนัข , รถไฟ , เครื่องสายที่ให้ซาวด์แบบ Hawaiian , กระป๋องโค้ก และ เสียงสุนัขเห่า ทั้งหมดนี้ใช้คู่กันไปกับ keyboards และ guitars

ที่จริงแล้วบทเพลงหรือเรื่องราวของบทเพลงต่างๆ ที่นำมาคุยกับคุณผู้อ่านทั้งเพลงไทยและเพลงสากลนั้น คือเสี้ยวหนึ่งของชีวิต ส.ท่าเกษม ทุกเพลงจะเป็นความหลังเก่าๆ ที่ยังคงอยู่ในความทรงจำ เพลงของ THE BEACH BOYS ที่เป็นเพลงโปรด (ที่สุด) คงจะเป็น SURFIN’ U.S.A. ที่ได้นำยูทูบมาลงในเวบ คุณผู้อ่านที่เป็นนักเพลงรุ่นเก่าๆ ฟังแล้วจะได้สดชื่นรื่นเริงเหมือนเมื่อครั้งยังเป็นวัยรุ่น เพลงนี้อยู่ในอัลบั้มชุดที่ ๒ ของ AMERICAN BAND, THE BEACH BOYS ในปี พ.ศ. ๒๕๐๖ ตอนนั้นพวกเราพี่ๆ น้องๆ มีเพื่อนบ้านเป็นชาวต่างประเทศ THE GOTTWALD FAMILY พ่อเป็นสถาปนิคชาวเยอรมัน แม่เป็นชาวอเมริกันสอนภาษาอังกฤษอยู่ที่ AUA ถนนราชดำริ มีลูกสาวชื่อ GAIL ลูกชาย ๒ คน LEE และ KIM ทั้ง ๓ คนเป็นแฟน THE BEACH BOYS พวกเราเลยพลอยชอบเพลงของคณะนี้ไปด้วย โดยเฉพาะเพลง SURFIN’ U.S.A. ซึ่งกลายเป็นเพลงโปรด เมื่อ ส.ท่าเกษม มาเรียนหนังสือต่อที่แอล.เอ. เป็นปีเดียวกับที่บิดาถึงแก่อสัญกรรมในปี พ.ศ. ๒๕๑๐ ได้รับโทรเลขแสดงความเสียใจจากครอบครัว GOTTWALD ทั้งๆ ที่ขาดการติดต่อตั้งแต่ย้ายเข้าบ้านพระราชทาน “พระขรรค์ชัยศรี” ถนนเจริญนครในปีต่อมา

ไม่นึกไม่ฝันว่าที่แท้สมาชิกของ THE BEACH BOYS ก็เป็นเด็กหนุ่มแถวๆ นี้เอง เมือง HAWTHORNE ไม่ไกลไปจากเมืองแอล.เอ. และยิ่งฟังเนื้อเพลง SURFIN’ U.S.A. จะรู้จักชื่อเมืองต่างๆ ที่เคยไปสัมผัสมาแล้วเกือบทุกเมืองในเพลง ตอนอยู่เมืองไทยร้องตามแบบนกแก้วนกขุนทองจับคำไม่ค่อยได้ ! วงนี้เป็นวงดนตรีอเมริกันร็อค เริ่มจาก ๓ คนพี่น้อง BRIAN DENNIS และ CARL WILSON ลูกพี่ลูกน้อง MIKE LOVE และเพื่อนชื่อ AL JARDINE มีคุณพ่อ MURRY WILSON เป็นผู้จัดการ เซ็นสัญญาครั้งแรกกับ CAPITAL RECORD ในปี ๑๙๖๒

เป็นที่น่าเสียดายที่ DENNIS จมน้ำเสียชีวิตในปี ๑๙๘๗ และ CARL เสียชีวิตด้วยโรคมะเร็งปอดปี ๑๙๙๘ ต่อมาในปี ๒๐๐๐ เริ่มทัวร์เป็นการฉลองครบรอบ ๕๐ ปี โดยมี BRIAN เป็นหัวหลักที่ยังมีชีวิตอยู่ในจำนวนพี่น้อง ๓ คน ปัจจุบันมีสมาชิกใหม่มาเพิ่มรวมทั้งวง ๗ คน พวกเรานัดกันเป็นเดือน ซื้อบัตรล่วงหน้า พอถึงวันโชว์ทางเรายังไม่สบายอยู่ ตัว ส.ท่าเกษม ยังต้องพก ANTIBIOTIC ติดตัวไปด้วย ต้องทานยาให้ครบ ๑๐ วัน แรงก็ไม่มี เสียงก็ไม่มี เป็นไข้หวัด พอเพลง SURFIN’ U.S.A. ขึ้นเท่านั้น ต้องลุกขึ้นเต้นและร้องตามไปกับแฟนๆ เพลงทั้ง ARENA รวมทั้งพรรคพวกที่ไปด้วย สนุกที่ซู๊ด !

หมายเหตุ : ข้อมูลมาจาก วิกิพีเดียและเวบต่างๆ เช่น Happening Magazine, Montgomery Channel ขอบคุณมา ณ ที่นี่

ลาก่อนสำหรับเสาร์นี้
ส.ท่าเกษม
๑๕ มีนาคม ๒๕๕๗