คุยกันวันเสาร์
ส.ท่าเกษม







มะปราง
หมากปรางนางปอกแล้ว  ใส่โถแก้วแพร้วพรายแสง
ยามชื่นรื่นโรยแรง  ปรางอิ่มอาบซาบนาสา

จาก “เห่ชมผลไม้”
กาพย์เห่ชมเครื่องคาวหวาน พระราชนิพนธ์ โดย พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย (รัชกาลที่ ๒)

๏ ผลชิดแช่อิ่มโอ้   เอมใจ
หอมชื่นกลืนหวานใน   อกชู้
รื่นรื่นรสรมย์ใด   ฤๅดุจ นี้แม
หวานเลิศเหลือรู้รู้   แต่เนื้อนงพาล ๚
๏ ผลชิดแช่อิ่มอบ   หอมตรลบล้ำเหลือหวาน
รสไหนไม่เปรียบปาน   หวานเหลือแล้วแก้วกลอยใจ
๏ ตาลเฉาะเหมาะใจจริง   รสเย็นยิ่งยิ่งเย็นใจ
คิดความยามพิสมัย   หมายเหมือนจริงยิ่งอยากเห็น
๏ ผลจากเจ้าลอยแก้ว   บอกความแล้วจากจำเป็น
จากช้ำน้ำตากระเด็น   เป็นทุกข์ท่าหน้านวลแตง
๏ หมากปรางนางปอกแล้ว   ใส่โถแก้วแพร้วพรายแสง
ยามชื่นรื่นโรยแรง   ปรางอิ่มอาบซาบนาสา
๏ หวนห่วงม่วงหมอนทอง   อีกอกร่องรสโอชา
คิดความยามนิทรา   อุราแนบแอบอกอร
๏ ลิ้นจี่มีครุ่นครุ่น   เรียกส้มฉุนใช้นามกร
หวนถวิลลิ้นลมงอน   ชะอ้อนถ้อยร้อยกระบวน
๏ พลับจีนจักด้วยมีด   ทำประณีตน้ำตาลกวน
คิดโอษฐ์อ่อนยิ้มยวน   ยลยิ่งพลับยับยับพรรณ
๏ น้อยหน่านำเมล็ดออก   ปล้อนเปลือกปอกเป็นอัศจรรย
มือใครไหนจักทัน   เทียบเทียมที่ฝีมือนาง
๏ ผลเกดพิเศษสด   โอชารสล้ำเลิศปาง
คำนึงถึงเอวบาง   สางเกศเส้นขนเม่นสอย
๏ ทับทิมพริ้มตาตรู   ใส่จานดูดุจเม็ดพลอย
สุกแสงแดงจักย้อย   อย่างแหวนก้อยแก้วตาชาย
๏ ทุเรียนเจียนตองปู   เนื้อดีดูเหลือเรืองพราย
เหมือนศรีฉวีกาย   สายสวาทพี่ที่คู่คิด
๏ ลางสาดแสวงเนื้อหอม   ผลงอมงอมรสหวานสนิท
กลืนพลางทางเพ่งพิศ   คิดยามสารทยาตรามา
๏ ผลเงาะไม่งามแงะ   มล่อนเมล็ดและเหลือปัญญา
หวนเห็นเช่นรจนา   จ๋าเจ้าเงาะเพราะเห็นงาม
๏ สละสำแลงผล   คิดลำต้นแน่นหนาหนาม
ท่าทิ่มปิ้มปืนกาม   นามสละมละเมตตา ๚

กาพย์เห่เรือชมเครื่องคาวหวานและงานนักขัตฤกษ์ เป็นกาพย์เห่เรือที่พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย (รัชกาลที่ ๒) ทรงพระราชนิพนธ์ไว้ ซึ่งพรรณนาเกี่ยวกับอาหารคาวหวานในวัง โดยใช้การบรรยายเนื้อหาเยี่ยงนิราศ คือการรำพึงรำพันถึงสมเด็จพระศรีสุริเยนทราบรมราชินี โดยนำเอาชื่ออาหาร ลักษณะ ส่วนประกอบ หรือความสัมพันธ์มาเชื่อมโยงเข้ากับการรำพึงรำพันนั้น นอกจากนี้ กาพย์เห่ชมเครื่องคาวหวาน ยังเป็นวรรณคดีที่มุ่งเน้นความงดงามไพเราะของวรรณคดีเหนือสิ่งอื่นใด มีการใช้โวหารและภาษาที่สละสลวย ตลอดจนการอุปมาเพื่อสื่อถึงรสชาติและฝีมือในการปรุงอาหารของนางอันเป็นที่รัก และการนำชื่ออาหารซึ่งสื่อถึงความในพระราชหฤทัยของพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยในความสุขจากการใกล้ชิดหรือโศกเศร้าจากการพรากจากนางอันเป็นที่รักได้อย่างกลมกลืน ชื่ออาหารหลายชนิดในกาพย์เห่ชมเครื่องคาวหวาน เป็นอาหารโบราณที่หารับประทานได้ยาก เนื่องจากมีวิธีการปรุงที่ยาก และต้องใช้ความประณีตในการทำเป็นอย่างมาก เช่นหรุ่ม ล่าเตียง เป็นต้น ซึ่งจากวรรณคดีเรื่องนี้ก็ทำให้มีผู้นำอาหารโบราณหลายชนิดมารื้อฟื้นฝึกปรุงใหม่กันอีกด้วยงานศิลปะดั้งเดิมของไทยนั้นมีอยู่มากมายหลายอย่างหลายแขนง การแกะสลักก็เป็นงานศิลปะอย่างหนึ่งที่ถือเป็นมรดกมีค่าที่สืบทอดกันมาช้านาน เป็นงานฝีมือที่ต้องใช้ความถนัด สมาธิ ความสามารถเฉพาะตัว และความละเอียดอ่อนมาก การแกะสลักผักและผลไม้ เป็นการแสดงออกทางวัฒนธรรมที่เป็นเอกลักษณ์ประจำของชาติไทยเลยทีเดียว ซึ่งไม่มีชาติใดสามารถเทียบเทียมได้ แต่สิ่งที่น่าเป็นห่วงที่สุดในปัจจุบันนี้คงจะเป็นเรื่องของการอนุรักษ์ ศิลปะแขนงนี้ที่มีแนวโน้มจะสูญหายไปและลดน้อยลงไปเรื่อยๆ

การแกะสลักผักและผลไม้เดิมเป็นวิชาที่เรียนขั้นสูงของ กุลสตรีในรั้วในวัง ที่ต้องมีการฝึกฝนและเรียนรู้จนเกิดความชำนาญ บรรพบุรุษของไทยเราได้มีการแกะสลักกัน มานานแล้ว แต่จะเริ่มกันมาตั้งแต่สมัยใดนั้น ไม่มีใครรู้แน่ชัด เนื่องจากไม่มีหลักฐานแน่ชัด จนถึงในสมัยสุโขทัยเป็นราชธานี ในสมัยของสมเด็จพระร่วงเจ้า ได้มีนางสนมคนหนึ่งชื่อ นางนพมาศ หรือท้าวศรีจุฬาลักษณ์ ได้แต่งหนังสือเล่มหนึ่งชื่อว่า ตำรับท้าวศรีจุฬาลักษณ์ขึ้น และในหนังสือเล่มนี้ ได้พูดถึงพิธีต่าง ๆ ไว้ และพิธีหนึ่ง เรียกว่า พระราชพิธีจองเปรียงในวันเพ็ญเดือนสิบสอง เป็นพิธีโคมลอย นางนพมาศได้คิดตกแต่งโคมลอยที่งดงามประหลาดกว่าโคมของพระสนมคนอื่นทั้งปวง และได้เลือกดอกไม้สีต่าง ๆ ประดับให้เป็นลวดลายแล้วจึงนำเอาผลไม้ มาแกะสลักเป็นนกและหงส์ให้เกาะเกสรดอกไม้อยู่ตามกลีบดอก เป็นระเบียบสวยงามไปด้วยสีสันสดสวย ชวนน่ามองยิ่งนัก รวมทั้งเสียบธูปเทียน จึงได้มีหลักฐานการแกะสลักมาตั้งแต่สมัยนั้น


การปอกมะปรางริ้ว

๑. เลือกมะปรางที่ไม่สุกและไม่ห่ามเกินไป สำคัญคือต้องไม่ช้ำแม้แต่น้อย

๒. มีดต้องคมมากๆ เท่าที่เห็นผู้ใหญ่ท่านจะใช้มีดทองเนื่องจากปอกแล้วผลไม้ไม่ดำ เวลาปอกต้องเอามีดจุ่มน้ำแล้วลับกับไหมหรือแพรที่ปูบนตัก เพื่อไม่ให้มะปรางติดยางดำ และเดินมีดได้สนิท สามารถกรีดริ้วต่างๆได้สวยงาม นอกจากนี้มีดทองที่ใช้ปอกแล้วยังมีมีดคว้านเมล็ดที่ปลายแหลมเล็กและคมมากว่ามีดคว้านทั่วไป แต่ปัจจุบันไม่เห็นแล้ว ชุดมีดของผู้ใหญ่แต่ละท่านจะเป็นของเฉพาะตัว มีการสั่งทำเฉพาะ เมื่อสิ้นบุญจึงเป็นมรดกให้ลูกหลาน

การปอกมะปรางริ้ว มือขวาจะถือมีดนิ่งๆ หันคมไปทางขวา ส่วนมือซ้ายจะถือมะปรางแล้วค่อยๆหมุนข้อมือให้มะปรางผ่านคมมีดเป็นลายต่างๆ โดยขยับมะปรางน้อยที่สุด

๓. น้ำล้างผลมะปรางที่ปอกแล้วควรใช้น้ำลอยดอกไม้สดผสมเกลือนิดหนึ่งจะดีกว่าน้ำเปล่าธรรมดา

๔. ล้างแล้วคลุมด้วยผ้าขาวบางชุบน้ำเพื่อกันไม่ให้ผลมะปรางแห้ง เมื่อได้มะปรางตามจำนวนที่ต้องการ นำไปชุบน้ำเชื่อมเข้มข้นเพื่อให้เห็นริ้วชัดสวย และจัดเรียงในโถแก้วประดับดอกมะลิหอมกรุ่น

ระหว่างที่ ส.ท่าเกษม ไปพักผ่อนกับครอบครัวเมื่ออาทิตย์ที่แล้ว มีเวลาว่างเลยเปิดดูเฟซบุ๊ค รูปแรกเป็นสวนดอกไม้ในไร่องุ่นกราน-มอนเต้ ดอกไม้แต่ละชนิดมีสีสดใส หน้าตาสวยไม่ค่อยจะเคยเห็นที่ไหนมาก่อน ดูไปดูมาตอนท้ายเห็นต้นไม้มีใบสีเขียวคล้ายใบมะม่วง แต่ลูกที่ห้อยอยู่ตามกิ่งก้านเป็นสีเหลืองสดลูกดกโตเหมือนไข่เป็ด ไม่มีคำบรรยายใต้ภาพ เลยถามไปว่า “ต้นมะปรางใช่ไหม ?” คุณวิสุทธิ์ เจ้าของไวน์ กราน-มอนเต้ ราชาไร่องุ่นเขาใหญ่ตอบมาว่า “ใช่ ต้นมะปราง !” ส.ท่าเกษม เลยได้ความคิดว่า เสาร์นี้จะเขียนถึง “มะปราง” เพราะถ้าจะพูดไปแล้วพวกเรามีความผูกพันกับผลไม้ “มะปราง” มากทีเดียว !

ยามเด็กนั่งเรือจากบ้าน “ท่าเกษม” ล่องไปตามลำแม่น้ำเจ้าพระยากับบิดาและครอบครัวจนถึง “ท่าอิฐ” จังหวัดนนทบุรี ซึ่งเป็นบ้านสวนติดริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยาเช่นกัน บิดาชอบมาพักผ่อนที่นี่ สงบ ร่มรื่น เย็นสบาย ทุกครั้งพอเรือเทียบสะพาน ใจจะวิ่งไปถึงสวนทางด้านหลังของบ้านทั้งๆที่ตัวยังอยู่ในเรือ บิดาขึ้นฝั่งก่อนแล้วพวกเราจึงขึ้นตามหลัง เมื่อไม่มีภาระอะไร...ไม่ต้องรับผิดชอบอะไรทั้งสิ้น พอจับกลุ่มได้จะรีบมุ่งตรงไปสวนผลไม้ปลูกรวมกันหลายชนิด มีทั้งมะม่วง มะปราง มะพร้าว ลูกตาล ฯลฯ ๒ ชนิดหลังนี้อยู่ในทุ่งนา เวลาออกทุ่งนาไม่มีใครกล้าแต่งสีแดงเพราะกลัวถูกควายขวิด !

ที่มีความผูกพันกับ “มะปราง” เพราะบางครั้งช่วงที่พวกเราไป “ท่าอิฐ” ผลมะปรางยังดิบเป็นสีเขียวอยู่ มะปรางจะออกผลผลิตประมาณเดือนพฤศจิกายนของทุกปี และสามารถเก็บผลได้ประมาณกลางเดือนมกราคม สำหรับพวกเด็กๆ จะชอบ มะปรางดิบมากกว่า มะปรางสุก เพราะอร่อยมากทั้งหวานทั้งกรอบและมัน กัดรับประทานกันทั้งเปลือกเลย ยางมะปรางเยอะเหมือนยางมะม่วง เหนียวหนึบเนื่องจากยังดิบอยู่ ที่สนุกมากคือตอนขโมยเก็บแล้วถูกเอ็ด บางทีกำลังเก็บเพลินอยู่ได้ยินเสียง “ตานุ่ม” ผู้ใหญ่ที่ดูแลสวน พวกเราจะวิ่งหนีกันคนละทิศคนละทาง บิดาชอบรับประทานมะปราง ที่บ้าน”ท่าอิฐ” มีมะปรางพันธุ์ดีไม่แพ้มะปรางจาก จังหวัดนครนายก “ตานุ่ม” แกหวงเพื่อเก็บไว้ให้บิดาของพวกเราและที่เหลือยังเก็บขายได้อีก มะปรางเป็นผลไม้ที่มีราคาแพง ทราบมาว่าในปัจจุบันกิโลหนึ่งราคาสูงถึง ๓๐๐ บาทก็มี

แม่ครัวพ่อครัวที่ปรุงอาหารให้บิดาเป็นคนเก่าคนแก่มาจากในวัง ผักผลไม้ทุกชนิดต้องผ่านการแกะสลักด้วยฝีมืออันประณีตและละเอียดอ่อนดูสวยงาม ทางแผนกของคาวมี แม่ทองสุก คุมอยู่และแผนกของหวาน แม่บาง จะปอกริ้วคว้านเมล็ดมะปรางใส่สำรับของหวานเตรียมให้บิดา ส.ท่าเกษม ชอบไปนั่งอยู่ข้างๆ รอรับส่วนแบ่งคือเมล็ดมะปรางที่คว้านทิ้งแต่ยังพอมีเนื้อติดอยู่บ้างเล็กน้อย และชอบร่วมรับประทานอาหารกับบิดาถ้าโอกาสอำนวยเพราะชอบอาหารคาวหวานจากฝีมือคนชาววัง ทุกวันนี้ยังคงติดรสหวานของอาหารชาววังอยู่ โดยเฉพาะผัดไทแต่ไม่ถึงกับหวานเจี๊ยบแบบแม่ครัวทำน้ำตาลหก!

พอโตขึ้นจึงได้มีโอกาสหัดปอกมะปรางริ้วและคว้านเมล็ดด้วยมีดทองที่ผู้ใหญ่หวงมาก หลังจากใช้แล้วทุกครั้งจะทำความสะอาดเก็บรักษาไว้อย่างดีห่อเก็บด้วยผ้าสักหลาดทั้งชุด มีดทองทุกๆ ด้ามจะลับจนคมกริบเตรียมพร้อมที่จะใช้งานในครั้งต่อไป


ลาก่อนสำหรับเสาร์นี้
ส.ท่าเกษม
๒๖ มีนาคม ๒๕๕๙