คุยกันวันเสาร์
ส.ท่าเกษม



ตำนานรัก... “บ้านนรสิงห์” ตอนที่ ๒(ทำเนียบรัฐบาล)

ทำเนียบรัฐบาล เป็นสถานที่ราชการสำคัญที่สุดแห่งหนึ่งของประวัติศาสตร์ประเทศไทย เนื่องจากเป็นสถานที่ทำงานของรัฐบาลไทย นายกรัฐมนตรี รองนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ตลอดจนข้าราชการ และเจ้าหน้าที่ในสังกัดสำนักนายกรัฐมนตรี สถานที่ประชุมคณะรัฐมนตรี สถานที่ต้อนรับบุคคลสำคัญระดับผู้นำชาวต่างประเทศที่มาเยือนเมืองไทย และยังใช้เป็นสถานที่จัดงานรัฐพิธี เช่น งานสโมสรสันติบาต เนื่องในวันเฉลิมพระชนมพรรษาเป็นต้น ตั้งอยู่ ณ เลขที่ ๑ ถนนพิษณุโลก เขตดุสิต กรุงเทพมหานคร มีเนื้อที่ทั้งสิ้น ๒๗ ไร่ ๓ งาน ๔๔ ตารางวา

ราวต้นปี พ.ศ. ๒๔๘๔ ระหว่างสงครามมหาเอเชียบูรพา ญี่ปุ่นได้เจรจาขอซื้อหรือเช่าบ้านนรสิงห์ (ทำเนียบรัฐบาล) พลเอก พลเรือเอก เจ้าพระยารามราฆพ (ม.ล.เฟื้อ พึ่งบุญ) เจ้าของบ้านไม่ต้องการให้สถานที่บ้านพระราชทานต้องตกเป็นของต่างชาติจึงเสนอขายแก่รัฐบาลไทย โดยมีหนังสือถึง นายปรีดี พยมยงค์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ในราคา ๒,๐๐๐,๐๐๐ บาท ในเดือนมีนาคมปีเดียวกัน กระทรวงคลังปฏิเสธ

ต่อมาในเดือนกันยายน จอมพล แปลก พิบูลสงคราม นายกรัฐมนตรีในขณะนั้นเห็นควรให้รัฐบาลซื้อ "บ้านนรสิงห์" ไว้เพื่อเป็นสถานที่รับรองแขกเมือง ซื้อขายกันในราคา ๑,๐๐๐,๐๐๐ บาท เป็นการตัดราคาลงครึ่งหนึ่งที่ท่านเจ้าของบ้านเสนอไป คณะผู้สำเร็จราชการได้อนุมัติภายใต้พระบรมราชานุญาตให้กระทรวงการคลังจ่ายเงินของสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์แก่ท่านเจ้าคุณรามฯ และมอบ "บ้านนรสิงห์" ให้สำนักนายกรัฐมนตรีเป็นผู้ดูแล เป็นที่ตั้งทำเนียบรัฐบาลและเป็นสถานที่รับรองแขกเมืองตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา

วันที่ ๒๙ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๐๖ คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติให้ซื้อทำเนียบรัฐบาลจากสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ด้วยราคา ๑๗,๗๘๐,๘๐๒.๓๖ บาท (จากราคาเดิมที่จ่ายเพียง ๑ ล้านบาทเมื่อ ๒๒ ปีที่แล้ว) แล้วจึงทำการโอนกรรมสิทธิ์ที่สำนักงานที่ดิน จังหวัดพระนคร ในวันที่ ๑ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๑๒

ส.ท่าเกษมตั้งชื่อหัวข้อว่า "ตำนานรัก...บ้านนรสิงห์" เพราะที่ผ่านมาจะเห็นแต่ "อาถรรพ์" ต่างๆ เมื่อมีบทความเกี่ยวกับทำเนียบรัฐบาลหรือ "บ้านนรสิงห์" อาถรรพ์ แปลว่า อำนาจลึกลับที่เชื่อกันว่าอาจบันดาลให้มีอันเป็นไป บางครั้งจะสะกดด้วย "อาถรรพณ์" ซึ่งมีความหมายเดียวกัน (MYSTERIOUS, MYSTICAL) เห็นทีไรสะดุดทุกที เลยจะเขียนคุยทวนกระแสข่าวที่อ่านแล้วไม่ควรจะเป็นเช่นนั้น ถึงแม้ตัว "ส.ท่าเกษม" จะเกิดไม่ทัน เพราะเกิดหลังจากท่านเจ้าของบ้านย้ายออกจาก "บ้านนรสิงห์" มาอยู่ที่"บ้านท่าเกษม" แล้ว แต่เมื่อจำความได้จะได้ยินแต่เรื่องราวต่างๆ ของ "บ้านนรสิงห์" จากคำบอกเล่าของท่านเจ้าของบ้านผู้เป็นบิดา รวมทั้งผู้ใหญ่หลายๆ ท่านในครอบครัวเรา โดยเฉพาะเรื่องสนุกและสิ่งสวยงามภายในนั้นมาจากความทรงจำของมารดาซึ่งตอนนั้นกำลังเป็นสาววัยรุ่น จนทำให้ ส.ท่าเกษม นึกเสียดายที่เกิดไม่ทัน! แต่ก็ได้สัมผัสกับสิ่งของต่างๆ ที่ขนย้ายจาก "บ้านนรสิงห์" มาประดับใช้สอยที่ "บ้านท่าเกษม" แต่ใช้ได้ไม่หมดจากเนื้อที่บ้าน ๒๗ ไร่กว่ามาใส่ในเนื้อที่บ้านเพียง ๑๓ ไร่ ซึ่งสำหรับตัวเองแล้วบ้านที่เกิดนี้ใหญ่โตมโหฬารเสียเหลือหลาย แต่ก็วิ่งเล่นทุกซอกทุกมุมเพราะความซน โดยเฉพาะเวลาเล่น "โปลิสจับขโมย"

คุยกันเป็นเรื่องๆ ดีกว่า เดี๋ยวไม่จบกันเสียที คุณผู้อ่านบางท่านอาจจะเริ่มหงุดหงิดแล้วที่ไม่ถึงเรื่องของ "ตำนานรัก" เสียที นี่ก็ "ตอน ๒" เข้าไปแล้ว กรุณาใจเย็นๆ "ตำนานรัก" นั้นเป็นเรื่องของความละเอียดอ่อนต้องใช้เวลา บิดาของ ส.ท่าเกษม นั้นเหมือนเช่นผู้ชายไทยโบราณ ท่านมีภรรยาหลายคน และท่านก็รักภรรยาของท่านทุกๆ คน ที่พิเศษกว่าครอบครัวอื่นคงจะเป็นในเรื่องที่ท่านให้เกียรติ รับผิดชอบ เลี้ยงดูอย่างดีเท่าเทียมกัน แต่เนื่องจากภรรยาของท่านรู้จักกันมาตั้งแต่เข้าไปหัดรำละครกับเจ้าคุณพระประยูรวงศ์ (คุณแพ บุนนาค) หรือเจ้าคุณจอมมารดาแพ พระสนมเอกในรัชกาลที่ ๕ ใน "สวนสุพรรณ" เมื่อเป็นเช่นนี้ภรรยาท่านเจ้าคุณรามฯ จึงมีความเคารพนับถือกันมาแล้ว ก่อนที่จะมาอยู่ "บ้านนรสิงห์" ส่วนบุตรธิดาเกิดและถูกเลี้ยงดูมาภายในบ้านบริเวณเดียวกันจึงไม่มีเขาไม่มีเรา เปรียบเสมือนพี่น้องที่ตามคลานกันออกมา ทั้งนี้ทั้งนั้นคงจะเป็นเพราะบิดาเป็นนักปกครองที่ดี ท่านปกครองสมาชิกของครอบครัวด้วยความรัก ความเมตตากรุณา ความยุติธรรม โดยเฉพาะความรักความเอ็นดูที่ท่านมีต่อคุณหญิงประจวบ (สุขุม) ภรรยาคนแรกที่หย่าร้างกันหลังจากมีบุตรธิดาด้วยกัน ๒ คน อย่างไรก็ตามลองอ่านข้อความต่างๆ ที่ ส.ท่าเกษม นำมาลงเป็นบางตอนจาก น.ส.พ.ในเมืองไทย ก่อนที่จะคุยถึง "ตำนานรัก" และ "น้ำอบไทย" ของท่านเจ้าคุณรามฯ เมื่ออ่านแล้วคงจะเปลี่ยนใจเรื่อง "อาถรรพ์" ส.ท่าเกษมเชื่อว่า...อะไรทั้งสิ้นอยู่กับจิตใจและความประพฤติของผู้เข้าไปใช้สถานที่มากกว่า ถ้าติดตามข่าวทำเนียบรัฐบาล คงจะทราบถึงการปรับเปลี่ยน "ฮวงจุ้ย" และย้าย "ศาลพระภูมิ" เพื่อความเป็นสิริมงคล เหมือนกับเป็นประเพณีไปแล้ว เพราะเมื่อรัฐบาลเปลี่ยนขั้ว-เปลี่ยนผู้นำ ความเชื่อทาง "โหราศาสตร์" จึงเปลี่ยนตาม เป็นการแก้เคล็ด เสริมดวง เพื่อเพิ่มความมั่นคงทางจิตใจ ขอขอบคุณข้อมูลที่ได้มาจากเวปไซทต่างๆ คงจะรวบรวมขอบคุณเป็นทางการอีกครั้งในตอนจบ

บ้านนรสิงห์ ( ทำเนียบรัฐบาล ) ชาวอิตาเลียน ซึ่งเป็นผู้ออกแบบสร้างพระที่นั่งอนันตสมาคมเป็นผู้สร้าง แต่ยังไม่แล้วเสร็จพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าฯ เสด็จสวรรคต ทำให้การก่อสร้างหยุดชะงัก

เรื่องประวัติการก่อสร้างเป็นที่รู้กันแล้ว แต่เรื่องที่หลายๆคนไม่เคยรับรู้เลยคือ ความน่าสะพรึงกลัว ของสถานที่แห่งนี้ มีเรื่องเล่ากล่าวขานกันมานานของ “ความเงียบ” ที่แฝงอยู่ในความ “เก่าแก่” ทุกพื้นที่บริเวณภายในรั้ว ในจำนวนอาคารทั้งหมดนี้ ตึกที่สำคัญที่สุด เห็นจะเป็น “ตึกไทยคู่ฟ้า” แต่เดิมมีชื่อว่า “ตึกไกรสร” ด้วยสถาปัตยกรรมเป็น “เวนิเชี่ยนโกธิค” ซึ่งมีรูปแบบอย่างมาจากอาคารวังริมน้ำของเจ้าผู้ครองนครเวนิส

มีเรื่องเล่ากันว่า ตึกนารีสโมสร ในช่วงแรกๆ จอมพล ป.พิบูลสงคราม เมื่อครั้งดำรงตำแหน่ง นายกรัฐมนตรีของประเทศ ได้เคยใช้ห้องหนึ่งภายในตึกเป็นห้องนอนด้วย เนื่องจากท่านต้องทำงานจนมืดค่ำ แต่ไม่เท่านั้น ข้าราชการบางคนที่ทำงานอยู่ภายในทำเนียบที่ต้องอยู่เวรดึกก็ได้พบเห็นสิ่งลี้ลับ อาทิ เห็นเงาที่คาดว่าเป็นผู้ชายแต่งกายนุ่งโจงกระเบน สวมเสื้อคอปิด แขนยาว ซึ่งเป็นรูปแบบการแต่งกายของขุนนางในสมัยรัชการที่ ๖ บ้างก็ว่าช่วงเวลาตีหนึ่งกว่าๆเคยเห็นถึงขนาดร่างเด็กชายไว้ผมจุก นุ่งจงกระเบน กวักมือเรียกให้มาเล่นด้วยกัน ทำเอาขนลุกซู่ ที่รองลงมาก็เป็นเพียงการได้ยิน เสียงคนเดิน เสียงปิดประตู ก็อกแก็กต่างๆ................

ทั้งนี้ไม่มีหลักฐานยืนยันที่บันทึกไว้ได้แน่ชัดว่า ร่างของผู้ชายและเด็กที่พบเห็นนั้นเป็นใคร? และช่วงที่กลุ่มพันธมิตรชุมนุมทำไมถึงต้องทำไสยศาสตร์ แต่ที่แน่ๆเป็นที่ยอมรับของข้าราชการทั้งทำเนียบรัฐบาลและผู้สื่อข่าวจากหลายสำนัก พูดเป็นเสียงเดียวกันว่าสถานที่แห่งนี้ไม่ขออยู่ค้างคืนแน่นอน ไม่เชื่ออย่าลบหลู่

ขอบคุณ โพสต์ทูเดย์
โดย พิสุทธิ์ (ไม่ใช่ "พิสุทธิอาภรณ์" !)

เมื่อวันที่ ๑๙ ก.ค. ผู้สื่อข่าวรายงานจากทำเนียบรัฐบาลว่า ตลอดทั้งวันเจ้าหน้าที่กรมยุทธโยธาทหารบกได้ทำการปรับปรุง รื้อภายในตัวอาคาร "ตึกนารีสโมสร" ทำเนียบรัฐบาล หลังจากที่ในห้องทำงานของโฆษกสำนักนายกรัฐมนตรี และห้องรองโฆษกฯ ได้มีการรื้อโครงสร้างออกทั้งหมดเป็นที่เรียบร้อยแล้ว โดยตลอดทั้งวันมีเจ้าหน้าที่สำนักงานโฆษก สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ยังคงขนย้ายสิ่งของ อุปกรณ์ อาทิ คอมพิวเตอร์ โต๊ะ ตู้ อย่างต่อเนื่อง

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ขณะที่เจ้าหน้าที่สำนักโฆษกฯ กำลังเก็บอุปกรณ์ เพื่อขนย้ายสิ่งของอยู่บริเวณห้องด้านหลังศูนย์แถลงข่าว หรือ "ตึกพระอาทิตย์" ก็ได้ตะโกนร้องเรียกเพื่อนที่อยู่ด้านนอกเข้ามาช่วย ด้วยอาการสีหน้าแสดงออกถึงการตกใจ เนื่องจากว่าขณะที่เก็บของอยู่นั้น จู่ ๆ ไปได้กลิ่นน้ำอบไทยโบราณคละคลุ้งไปทั่วบริเวณที่กำลังเก็บของ

ซึ่งจากการสอบถามเพื่อนที่เข้าไปช่วยเหลือก็กล่าวเช่นกันว่าได้กลิ่นน้ำอบไทยเหมือนกัน สร้างความหวาดผวาขนหัวลุกให้กับเจ้าหน้าที่เป็นอย่างมาก ทั้งนี้เจ้าหน้าที่สำนักโฆษกฯ ได้รีบสอบถามกับเจ้าหน้าที่กรมยุทธโยธาทหารบก ที่กำลังทำการรื้อภายในอาคารตึกนารีสโมสรว่าได้จุดธุปขอขมาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ภายใน "ตึกนารีสโมสร" หรือยัง

โดยเจ้าหน้าที่กรมยุทธฯระบุว่า ทางทีมงานยังไม่ได้ไหว้ขอขมาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ภายใน "ตึกนารีสโมสร" จากนั้นเจ้าหน้าที่กรมยุทธฯ และเจ้าหน้าที่สำนักโฆษกฯ จึงได้ทำการจุดธูปไหว้ขอขมาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ก่อนที่จะทำการรื้อถอน เพื่อปรับปรุง "ตึกนารีสโมสร" ต่อไป

ผู้สื่อข่าวรายงานอีกว่าสำหรับประวัติ "ตึกนารีสโมสร" นั้น มีเรื่องเล่าต่อ ๆ กันมาในหมู่ข้าราชการและเจ้าหน้าที่ทำเนียบรัฐบาลถึงความอาถรรพ์ของ "ตึกนารีสโมสร" ซึ่งจากการสอบถามข้าราการเก่าแก่ที่ทำงานประจำทำเนียบรัฐบาลมานาน ระบุว่าเคยมีข้าราชการทำเนียบทำงานในช่วงดึกได้มองมาที่กระจกด้านหลัง "ตึกนารีสโมสร" ก็เห็นเป็นเงาสะท้อนในกระจกเห็นเป็นร่างผู้ชาย สูงใหญ่กำยำมีหนวด แต่งกายนุ่งผ้าแดงไม่สวมเสื้อยืนอยู่ภายใน รวมถึงยังมีการพบเห็น ชายร่างใหญ่เช่นกันแต่งกายสะอาดสะอ้านสวมชุดทรงพระราชทานสีขาว (ราชปะแตน) และนุ่งผ้าอยู่บน "ตึกพระอาทิตย์" ด้านหลังห้องแถลงข่าวรัฐบาล และได้ยินเสียงคนเดินลากโซ่ตรวน และเสียงคนกำลังควบม้าด้วย

(Daily News)

เกิดเหตุการณ์ระทึกขวัญขึ้นระหว่างการเข้ารื้อ "ตึกนารีสโมสร" และปรับภูมิทัศน์ภายในทำเนียบรัฐบาลเป็นวันแรก โดยเจ้าหน้าที่ได้กลิ่นน้ำอบไทยลอยคละคลุ้ง จนต้องจุดธูปเทียนขอขมาก่อนจะปฏิบัติงานต่อได้

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อวานนี้ (๑๙ ก.ค.) เจ้าหน้าที่กรมยุทธโยธาทหารบกเริ่มเข้าปฏิบัติงานในการปรับปรุง "ตึกนารีสโมสร" อาคาร สถานที่ และภูมิทัศน์ภายในทำเนียบรัฐบาลเป็นวันแรก โดยหัวหน้างานได้กำชับเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานทุกคนรื้อ "ตึกนารีสโมสร" ด้วยความระมัดระวัง เนื่องจากไม่ต้องการให้กระทบต่อโครงสร้างหลักเดิมของตัวอาคาร ซึ่งเมื่อเริ่มรื้อพื้นที่ภายในห้องทำงานโฆษกสำนักนายกรัฐมนตรี พบว่ามีปลวกกินเป็นจำนวนมาก เพราะโครงสร้างส่วนใหญ่เป็นไม้และมีอายุการใช้งานมายาวนาน ทำให้ต้องเร่งกำจัดปลวกทั้งตัวอาคาร และในสัปดาห์หน้าจะเริ่มดำเนินการในขั้นตอนต่อไป อาทิ ดูเรื่องการทาสีภายในใหม่ รวมทั้งตกแต่งภายใน

สำหรับห้องทำงานของโฆษกและรองโฆษกรัฐบาลนั้น จะย้ายไปอยู่ที่ชั้น ๒ ของตึกบัญชาการ ๒ โดยทั้งตึกบัญชาการ ๒ ทั้งหมดจะถูกปรับปรุงเป็นสถานที่ทำงานของเจ้าหน้าที่สำนักโฆษก สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีด้วย ทั้งนี้ในส่วนของ ตึกไทยคู่ฟ้า ตึกสันติไมตรี ยังไม่มีเจ้าหน้าที่เข้าไปปรับปรุงตัวอาคารแต่อย่างใด อย่างไรก็ตาม ขณะที่เจ้าหน้าที่สำนักโฆษกฯ กำลังเก็บอุปกรณ์เพื่อขนย้ายสิ่งของอยู่นั้น ปรากฏว่าได้เกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันขึ้น เมื่อเจ้าหน้าที่กำลังเก็บของบริเวณห้องด้านหลังศูนย์แถลงหรือตึกพระอาทิตย์ ได้ตะโกนร้องเรียกให้เพื่อนที่อยู่บริเวณด้านนอกเข้ามาช่วยเหลือ พร้อมบอกเพื่อนที่เข้ามาช่วยเหลือด้วยสีหน้าตื่นตระหนกว่า

ขณะที่เก็บของอยู่นั้น ได้กลิ่นน้ำอบไทยคละคลุ้งไปทั่วบริเวณ ซึ่งจากการสอบถามเพื่อนที่เข้าไปช่วยเหลือก็ระบุว่าได้รับกลิ่นดังกล่าวเช่นเดียวกัน ทำให้ทีมงานทั้งหมดได้ทำการจุดธูปไหว้ขอขมาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ก่อนที่จะทำการรื้อถอนเพื่อปรับปรุง "ตึกนารีสโมสร" ต่อไป

(นำเสนอข่าวโดย....ทีมงาน Sanook.com)

เมื่อวันที่ ๒๔ กรกฎาคม ผู้สื่อข่าวรายงานบรรยากาศจากทำเนียบรัฐบาลว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจสันติบาล ประจำทำเนียบรัฐบาล ได้แจกเอกสารประชาสัมพันธ์ เส้นทางการจราจรให้กับข้าราชการ เจ้าหน้าที่ สื่อมวลชน และผู้มาติดต่อราชการ โดยระบุว่า สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี (สลน.) จะมีโครงการปรับปรุงอาคารตึกไทยคู่ฟ้า ตึกสันติไมตรี ตึกนารีสโมสร ตึกบัญชาการ 1 และ 2 ตั้งแต่วันเสาร์ที่ 26 ก.ค.เป็นต้นไป รวมระยะเวลา 2 เดือน นับจากนี้ เพื่อให้การปฎิบัติงานเป็นไปด้วยความรวดเร็วจึงขอความร่วมมือในการกำหนดเส้นทางการเดินรถใหม่ภายในทำเนียบรัฐบาลเป็นการชั่วคราว...............

ผู้สื่อข่าวรายงานว่าวันที่ ๒๖ ก.ค.นี้ผู้รับเหมาก่อสร้างจะนำคนงานเข้ามาดำเนินการซ่อมแซ่มปรับปรุงอาคารทั้งหมด ตลอด ๒๔ ชั่วโมง ประมาณ ๓,๐๐๐ คน ผลัดเวรตามกะทำงาน เพื่องานแล้วเสร็จ และส่งมอบภายใน ๑๕ ก.ย.นี้ ทั้งนี้ พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว รองหัวหน้า คสช. ในฐานะหัวหน้าฝ่ายกิจการพิเศษ เปิดเผยว่า แม้ทำเนียบรัฐบาลจะอยู่ในช่วงปรับปรุง แต่จะยังคงใช้ห้องทำงานเดิมชั้น 1 ตึกบัญชาการ 1 ส่วนที่ทำงานของสื่อมวลชน จะมีการปรับปรุงอาคารให้ดีขึ้นด้วยเช่นกัน.

(Thai Post)

ลาก่อนสำหรับเสาร์นี้
ส.ท่าเกษม
๒ สิงหาคม ๒๕๕๗