เปิดเบิ่ง

วิรัช โรจนปัญญา
เปิดเบิ่ง วันที่ 29 ตุลาคม 2559

พระราชอารมณ์ขันล้ำลึก “ในหลวง”

วันคืนของในหลวง รัชกาลที่ 9 ตลอด 70 ปี หมดไปกับการทุ่มเททรงงานหนักเพื่อประชาชน และการเสด็จเยี่ยมเยือนราษฎรทั่วทุกถิ่นตั้งแต่เหนือจดใต้ ไม่มีที่ใดบนผืนแผ่นดินไทยที่เสด็จฯไปไม่ถึง กระนั้น แม้จะทรงตรากตรำและเหน็ดเหนื่อยเพียงใด แต่สิ่งหนึ่งที่ช่วยให้ทรงยืนหยัดยิ้มได้ ก็คือ ทรงมี “พระราชอารมณ์ขัน” กับทุกสิ่งที่พานพบ

เพราะเสียงร่ำลือถึงความดุดันก้าวร้าวของนักหนังสือพิมพ์อเมริกัน ก่อนที่ “พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9” จะเสด็จประพาสสหรัฐอเมริกาเป็นครั้งแรก เมื่อปี 2503 ทางรัฐบาลไทยจึงได้จัดส่งบุคคลผู้หนึ่งไปชี้แจงทำความเข้าใจกับสื่อมะกัน เพื่อปูพื้นให้ทราบถึงพระราชฐานะอันแท้จริงของพระเจ้าแผ่นดินไทยว่า มิใช่เป็นเทพเจ้า แต่ทรงเป็นที่เคารพเทิดทูนของพสกนิกรชาวไทยทุกเชื้อชาติทุกศาสนา

โดยผู้ที่ได้รับความไว้วางใจให้ทำหน้าที่นี้คือ “ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช” ย้ำกับสื่อมะกันว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 ทรงมีพระราชฐานะอยู่เหนือการเมือง จึงไม่บังควรทูลถามเรื่องการเมือง กระนั้น มีสื่อมะกันรายหนึ่งยกมือถามว่า ถ้าจะกราบบังคมทูลถามเรื่องละคร “The King and I” ได้หรือไม่? “ม.ร.ว.คึกฤทธิ์” ตอบว่า “ไม่แปลกอะไร คุณกราบทูลถามได้ ดีเสียอีก...จะได้ทราบว่า คิงมงกุฎจริงๆนั้นหาได้เป็นตัวตลกอย่างในละครเรื่องนั้น แท้จริงทรงรอบรู้วิชาดาราศาสตร์ดีกว่าพวกคุณหลายๆคนเสียอีก และทรงเชี่ยวชาญภาษาบาลีเป็นอันมาก”...งานนี้นักข่าวตะลึงทั้งห้อง มือจดข่าวเป็นระวิง!!

ครั้นถึงคราวเสด็จประพาสอเมริกาจริงๆ และพระราชทานสัมภาษณ์สื่ออเมริกันครั้งแรก พระองค์ทรงสร้างความประทับใจทันที เมื่อมีนักข่าวทูลถามว่า “นี่เป็นการเสด็จเยือนอเมริกาครั้งแรก ทรงรู้สึกอย่างไรบ้าง?” ทรงมีพระราชดำรัสตอบว่า “ก็ตื่นเต้นที่ได้กลับมาเยี่ยมบ้านเกิด เพราะข้าพเจ้าเกิดที่นี่ ที่เมืองบอสตัน” คำตอบนี้ช่วยให้ผู้สื่อข่าวมะกันรู้สึกใกล้ชิดกับพระองค์ขึ้นมาทันที เพราะพระองค์ก็คือคนบอสตัน

ตอนใกล้จบการพระราชทานสัมภาษณ์วันแรก มีนักข่าวทูลถามว่า “จะทรงมีอะไรฝากไปถึงอเมริกันชนทั่วไปบ้าง?” ทรงมีพระ ราชกระแสรับสั่งว่า “คนอเมริกันดูช่างรีบร้อนกันเหลือเกิน ถ้าหากจะ Go Slow จะทำให้มีความสุขยิ่งกว่านี้” เช้าวันรุ่งขึ้นหนังสือพิมพ์ทุกฉบับพาดหัวตัวโต “กษัตริย์จากไทยแลนด์รับสั่งฝากถึงชาวอเมริกันว่า Go Slow แล้วชีวิตพวกเราจะมีความสุขขึ้น”

ก่อนจะกราบบังคมทูลลา นักข่าวหนุ่มทูลถามหยั่งเชิงว่า “ทำไมพระองค์จึงทรงเคร่งขรึมนัก...ไม่ทรงยิ้มเลย?” ในหลวงทรงหันพระพักตร์ไปทางสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ พลางรับสั่งว่า “นั่นไง...ยิ้มของฉัน” คำตอบนี้แสดงให้เห็นถึงพระราชปฏิภาณและพระราชอารมณ์ขันล้ำลึกของกษัตริย์ไทย

“พระราชอารมณ์ขัน” ของในหลวง รัชกาลที่ 9 ทั้งล้ำลึก มีปฏิภาณ และเปี่ยมด้วยความฉลาดหลักแหลมน่าทึ่ง โดยพระราชอารมณ์ขันที่ทรงมีต่อเรื่องแซกโซโฟนของในหลวง เป็นอีกหนึ่งตัวอย่างชัดเจน ในช่วงนั้น มีความพยายามจากสื่อมะกันที่จะขุดขุ้ยเรื่องแซกโซโฟนทองคำของในหลวงในลักษณะเกินจริง จนในหลวงต้องทรงสยบข่าวลือว่า “หนังสือพิมพ์ที่อเมริกาพากันลงว่าเป็นกษัตริย์ที่คลั่งดนตรี...ซึ่งก็ไม่ว่าอะไร แต่ที่ไปลงจนเลยเถิดกันไปว่า แซกโซโฟนที่เป่าอยู่เป็นประจำนี้เป็นแซกโซโฟนที่ทำด้วยทองคำเนื้อแท้บริสุทธิ์...อันนี้ไม่จริงเลย สมมติว่าจริงก็จะหนักมาก ยกไม่ไหวหรอก บางฉบับก็เขียนว่าชอบขับรถซิ่ง...ก็เอาเถอะ ยอมให้ ไม่ถือสาหรอก แต่ไม่เชื่อว่าเรื่องพวกนี้จะเป็นการสร้างสรรค์ หรือเป็นประโยชน์อันใดแก่ประเทศไทย และสหรัฐอเมริกา”

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 ยังทรงมีรับสั่งกับนิตยสาร Look เป็นการทิ้งท้าย หลังเสร็จสิ้นการพระราชทานสัมภาษณ์ว่า “ฉันเป็นกษัตริย์ที่ได้รับเลือกตั้งขึ้นมา ถ้าประชาชนเขาไม่ต้องการฉัน เขาก็ไล่ฉันออกก็ได้...จริงไหม? แล้วฉันก็กลายเป็นคนว่างงาน”...คมกริบบาดลึกทุกถ้อยคำ!!