เปิดเบิ่ง

วิรัช โรจนปัญญา
เปิดเบิ่ง วันที่ 12 สิงหาคม 2560

หูของคนเรามีเอาไว้รับฟังเรื่องราวทุกอย่าง ทั้งเรื่องดีและเรื่องไม่ดี หลังจากรับฟังเรื่องราวต่างๆแล้ว จงอย่าใช้ใบหูคิด และพิจารณาเรื่องนั้นๆ จงใช้สมองคิด เพราะเขาสร้างสมองมาไว้ให้สำหรับคิด

บางครั้งเรื่องราวที่ได้รับฟังมา ถ้าฟังไม่ได้ศัพท์แล้วจับไปกระเดียด ก็มีสิทธิ์เสียผู้เสียคนได้เหมือนกัน

บ่ายวันนี้ ผมได้รับโทรศัพท์จากเพื่อนสนิท ที่โทรมาจากลาสเวกัส พอรับโทรศัพท์ เพื่อนเขาก็ใส่ผมมาเป็นชุดๆ ด้วยอารมณ์ฉุนเฉียว “กงสุลไทย มาทำอย่างนี้ได้อย่างไร ไหนว่าเป็นสถานที่รับใช้และให้ความช่วยเหลือคนไทย ในอเมริกาเป็นอย่างดี ทำไมทำอย่างนี้”

ผมเลยเบรกเขาด้วยคำพูดที่ว่า “คุณใจเย็นๆ แล้วค่อยๆ พูดให้ผมฟังว่าเรื่องราวเป็นมาอย่างไร ถึงได้มีอารมณ์บูด ขนาดนี้ เอาน้ำเย็นมาดื่มสักแก้วก่อนดีไหม แล้วค่อยมาคุยกันต่อ”

เพื่อนปฏิบัติตามคำขอร้องของผมเป็นอย่างดี แล้วเริ่มต้นสาธยายว่า “เมื่อวานนี้(10 สิงหาคม) ผมให้พระและฆราวาส อีก 2 คน นำเงินจำนวน 3,100 ดอลลาร์สหรัฐฯ ไปมอบให้สถานกงสุลไทย ลอส แอนเจลิส เพื่อให้นำส่งไปช่วยเหลือพี่น้องชาวไทย ที่ประสบอุทกภัยน้ำท่วมในภาคอีสาน ปรากฏว่า เจ้าหน้าที่สถานกงสุลไม่ยอมรับบริจาค พระจึงต้องเดินทางกลับมาลาสเวกัส ทุกครั้งที่เวลามีอะไรที่เมืองไทย ผมและชาวไทยในลาสเวกัสก็มักจะรวบรวมเงิน นำส่งไปช่วยที่เมืองไทยเป็นประจำ ซึ่งกงสุลไทยก็รับจัดการให้เป็นอย่างดีทุกครั้ง แต่ครั้งนี้ทำไมไม่ยอมรับก็ไม่ทราบ”

ผมได้ฟังเรื่องราวที่เพื่อนเล่าให้ฟัง แล้วค่อนข้างจะหงุดหงิด จึงได้โทรศัพท์ไปสถานกงสุลไทย เพื่อขอทราบสาเหตุว่าทำไมไม่ยอมรับเงินบริจาค โชคดีที่ผมได้คุยโทรศัพท์กับ คุณกาลวินนา วงศ์สาโรจน์ หรือคุณกรีน เลขานุการ ท่านกงสุลใหญ่ ซึ่งคุณกรีน ก็ได้ติดต่อสอบถามแผนกประชาสัมพันธ์ให้ในทันที

จึงได้ทราบเรื่องราวว่า มีชาย-หญิงคู่หนึ่ง มาขอบริจาคเงินช่วยเหลือน้ำท่วมจำนวน 30 เหรียญ เมื่อวานนี้ และไม่มีพระที่ไหนมาบริจาคเลย เนื่องจากสถานกงสุลไทยเลิกใช้ตู้รับบริจาคเงินแล้ว ทางเจ้าหน้าที่จึงได้ปฏิเสธไป คุณกรีน ยังให้คำแนะนำว่า ต่อไปถ้าจะบริจาคเงินช่วยคนทางประเทศไทย ขอให้ทำเป็นลายลักษณ์อักษร จะดีกว่า โดยให้ระบุว่าจะให้บริจาคไปที่องค์กรไหน เพื่อสถานกงสุลจะได้จัดให้ถูกต้องตามความประสงค์

ผมได้โทรศัพท์กลับไปเล่าเรื่องทั้งหมดให้กับเพื่อนที่ลาสเวกัสฟัง จึงเป็นที่เข้าใจ หลังจากนั้นอีกสักครู่เพื่อนก็โทรศัพท์กลับมาหาผมอีกครั้ง กล่าวคำขอโทษ และขอบคุณ ที่ผมตามเรื่องให้ได้ทันท่วงที ก่อนที่เรื่องนี้จะลุกลามใหญ่โตไปมากกว่านี้ เพราะเขากำลังเตรียมที่จะส่งเงินไปใหม่ให้กับรายการเรื่องเล่าเช้านี้ ที่ยังรับบริจาคเงินช่วยน้ำท่วมอยู่ และก็จะบรรยายพฤติกรรมของสถานกงสุลไทยที่นี่ ให้คนทางเมืองไทยได้ทราบกัน หลังจากคุยกันรู้เรื่องแล้ว ผมก็ค่อยๆมานั่งคิดดูว่าถ้าผมไม่สอบถามจากสถานกงสุลไทย ผมและเพื่อนคงมีเรื่องขุ่นใจกับเจ้าหน้าที่สถานกงสุลไทยไปอีกนาน เรื่องบางเรื่องก็ทำเอาเราเสียผู้เสียคนได้เหมือนกันนะ

“ขอบคุณมากครับคุณกรีน”