รักวัวให้ผูก รักลูกให้ตี
คำพังเพยคำนี้เคยได้ยินมาตั้งแต่เด็กจนแก่ ได้ยินจนคุ้นหูคุ้นตา เพราะคนไทยนิยมพูดและนิยมใช้คำพังเพยบทนี้กันมาก ซึ่งดูเป็นสิ่งที่ถูกต้องตามระบบการดำรงชีวิตของคนไทย ตั้งแต่สมัยโบราณมาจนถึงปัจจุบันนี้
เมืองไทยมักจะมีอะไรแปลกๆ แหวกแนวอยู่เสมอ จนบางเรื่องบางอย่างไม่รู้ว่าจะเอามาถกเถียงกันหาสวรรค์วิมานอะไร สัปดาห์ที่แล้วผมจำไม่ได้ว่าใครหนอเป็นคนคิดเปลี่ยนคำพังเพยคำนี้ มาเป็น "รักวัวให้ผูก รักลูกให้กอด"
หนังสือพิมพ์ วิทยุ และโทรทัศน์ลงข่างวิจารณ์กันอย่างเอาเป็นเอาตาย มีการถกกันถึงคำๆ นี้ว่าเหมาะสมกว่าคำเก่า มากน้อยเพียงใด
เถียงกันแบบเอาเป็นเอาตายอยู่หลายวัน เชิญทั้งนักวิชาการ แม่บ้าน นักจิตวิทยา ฯลฯ มาถกเถียงกันอยู่เป็นนาน
ลงเอยด้วยการที่ว่า ใครชอบคำไหน ก็ใช้คำนั้น
ที่ผมเอาเรื่องนี้มาเป็นหัวข้อสำหรับคอลัมน์ในวันนี้ เพราะผมรู้สึกแปลกใจ เรื่องเล็กน้อยแค่นี้ทำไมมันลุกลามใหญ่โต เป็นข้อถกเถียงประจำสัปดาห์กันเลย ถ้าใครชนะแล้วเราจะได้ประโยชน์อะไร หรือถ้าแพ้จะต้องเสียอะไรให้กับอีกฝ่ายหรือ
เปล่าทั้งเพ !!!
ทำท่าเหมือนกับจะเอามาออกเป็นตัวบทกฎหมายบังคับให้ประชาชนใช้กันยังงั้นแหละ
ไม่รู้จะมาถกเถียงกันไปทำไม ใครใคร่ทำอย่างไรก็ทำอย่างนั้น อย่าได้ไปทำผิดประเภทเกินเลยไปกว่านั้นก็พอ ผมหมายถึงให้ถูกต้องตามศีลธรรม และถูกต้องตามกฎหมาย
ใครอยากจะตีลูกเพื่อเป็นการอบรมสั่งสอนและให้หลาบจำ ต่อไปจะได้ไม่ทำผิดให้ต้องถูกตีอีก (ถ้าลูกกลัว)
หรือการโอบกอดแสดงความรักต่อลูกก็เป็นการให้ความอบอุ่นแก่เด็ก พร้อมทั้งสั่งสอนให้ทำในสิ่งที่ดีตลอดมา
ผมเคยกอดลูกเมื่อตอนเขายังเด็กๆ ที่เราจะต้องอุ้ม พอลูกโตขึ้นก็ไม่เคยไปกอดไปแสดงความรักอะไร เป็นเหตุให้พ่อกับลูกไม่เคยกอดกันอีกเลย พอถึงเวลาอยากจะกอดลูก ก็ดูมันขัดเขินไปซะหมด
พอมีหลานก็เริ่มล้างแค้นกันละ ด้วยการกอดหลานตั้งแต่แรกเกิดจนโตจะเป็นสาวแล้ว ก่อนไปโรงเรียนหรือกลับจากโรงเรียน หลานสาว 2 คนจะมาสวัสดีพร้อมทั้งเข้ามากอดคุณปู่คุณย่าทุกครั้ง
เออ...เพิ่งจะมารู้สึกตัวเอาตอนแก่นี้เอง