อย่าคิดว่ามีแต่เพียงพันธมิตรแห่งการต่อต้านการสืบทอดอำนาจอันประกอบด้วยพรรคเพื่อไทย พรรคอนาคตใหม่และแนวร่วมเท่านั้นที่ดำเนินการต่อสู้
พรรคประชาธิปัตย์ พรรคภูมิใจไทย พรรคชาติไทยพัฒนา ก็ต่อสู้
เพียงแต่กระบวนการและวิธีการต่อสู้ของ พรรคเพื่อไทย พรรคอนาคตใหม่และพันธมิตร คือการตั้งป้อมค่าย ประจันหน้ากัน
ขณะที่พรรคประชาธิปัตย์ พรรคภูมิใจไทย พรรคชาติไทยพัฒนา ไม่ใช่
เหมือนกับพรรคประชาธิปัตย์ พรรคภูมิใจไทย พรรคชาติไทยพัฒนา จะเข้าร่วมกับพรรคพลังประชารัฐ แต่ภายในการเข้าร่วมก็มีการต่อสู้
หากไม่มีการต่อสู้จะมีข่าวออกมาได้อย่างไรว่าพรรคประชาธิปัตย์จะได้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงพาณิชย์ เช่นเดียวกับพรรคภูมิใจไทยจะได้กระทรวงคมนาคม กระทรวงสาธารณสุข
หากไม่มีการต่อสู้เหตุใดจึงปรากฏปฏิกิริยาจากพรรคชาติไทยพัฒนาที่พรรคของตนได้รับการปฏิบัติต่างไปจากพรรคประชาธิปัตย์ พรรคภูมิใจไทย ทั้งหมดสะท้อนว่าการเจรจายังไม่เป็นที่ตกลง
ยิ่งเมื่อพรรคพลังประชารัฐออกมาขู่ว่าอาจจะจัดตั้งรัฐบาล “เสียงข้างน้อย” และไม้เด็ดสุดท้ายก็คือนายกรัฐมนตรีอาจตัดสินใจยุบสภา ยิ่งทำให้การต่อสู้ร้อนแรง
ความร้อนแรงของปัญหาและความขัดแย้งครั้งนี้มีจุดมาจากข้อเสนอจากพรรคประชาธิปัตย์ไม่เพียงแต่เน้น กระทรวงอันเป็นเป้าหมาย หากแต่ยังเรียกร้องในเรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญ
เท่านั้นแหละก็บังเกิดความหงุดหงิดจากคสช.
เห็นได้จากการออกมายืนยันว่า ในที่สุดการจะตกลงให้พรรคการเมืองใดได้กระทรวงใด การจะแก้ไขหรือไม่แก้ไขรัฐธรรมนูญก็ขึ้นอยู่กับคสช.
เท่ากับระบุว่าพรรคพลังประชารัฐเสมอเพียง “เด็กเดินสาร”
คำประกาศอันมาจากคสช. เท่ากับเป็นการบอกว่า ที่ตกลงกันตลอดภายหลังวันที่ 24 มีนาคมเป็นต้นมาแทบไม่มีความหมาย เพราะคำตอบสุดท้ายอยู่ที่คสช.
มาถึงตรงนี้เท่ากับว่าพรรคประชาธิปัตย์ พรรคภูมิใจไทย พรรคชาติไทยพัฒนา ได้เดินมาถึงสถานีสุดท้ายของการตัดสินใจในทางการเมือง
จะร่วม หรือไม่ร่วมกับพรรคพลังประชารัฐ
เพราะในที่สุดแล้วพรรคพลังประชารัฐและแนวร่วมก็มี 126 อยู่ในมือเรียบร้อยแล้ว เมื่อบวกเข้ากับ 250 ส.ว. ก็ได้ 376 เสียงพร้อมหนุน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา
จึงไม่แคร์พรรคประชาธิปัตย์ พรรคภูมิใจไทย พรรคชาติไทยพัฒนา