ย้อนจุดจบเผด็จการ
ไม่ใช่เรื่องเล็กๆ สำหรับการเคลื่อนไหวของประชาชนผู้แสดงเจตจำนงว่า ‘อยากเลือกตั้ง’ ที่นัดชุมนุมใหญ่ที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย
เรียกร้องให้รัฐบาลจัดการเลือกตั้งภายในวันที่ 10 มี.ค. เพื่อไม่เปิดโอกาสให้ศาลรัฐธรรมนูญตีความว่าอาจจะเป็นโมฆะ จากเงื่อนไขการเลือกตั้งแล้วเสร็จภายใน 150 วันหลังจากประกาศพ.ร.ป.เลือกตั้ง
ถือเป็นการเคลื่อนไหวต่อเนื่องหลังจากรวมตัวแสดงพลังที่สี่แยกราชประสงค์ เมื่อวันที่ 13 ม.ค.ที่ผ่านมา
หากนับจากที่แล้วๆ มา ถือได้ว่ามีจำนวนผู้ร่วมชุมนุมแสดงพลังเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
ไม่รวมกับการแสดงออกจากนิสิตนักศึกษา ทั้งธรรมศาสตร์ ม.ขอนแก่น ม.บูรพา ม.ศิลปากร และที่อื่นๆ ที่มีทั้งแถลงการณ์และการแสดงจุดยืนไม่ให้เลื่อนเลือกตั้งออกไป
ซึ่งนับจะทวีความเข้มข้นมากขึ้นเรื่อยๆ
ทั้งหมดเป็นการแสดงที่มีจุดร่วมเดียวกันอย่างชัดเจน และเป็นจุดร่วมที่เกิดจากเจตนารมณ์อย่างแท้จริง
ยากมากที่จะมองว่าเป็นการจ้างวาน หรือรับงานมาสร้างความปั่นป่วนให้กับสังคม
เพราะสิ่งที่ประชาชน และนิสิตนักศึกษาเหล่านี้เรียกร้อง ก็มีที่มาจาก‘คำสัญญา’ของผู้นำรัฐบาลเองทั้งนั้น แม้จะเป็น‘คำสัญญา’ชนิดที่เลื่อนไปเรื่อยอย่างที่เกิดขึ้นก็ตาม
ดังนั้น หากรัฐบาลเดือดเนื้อร้อนใจกับการชุมนุมและการแสดงออกของประชาชน สิ่งที่พึงกระทำก็คือทำตามสัญญาที่เคยพูดเอาไว้
ประกาศวันเลือกตั้งออกมาให้ชัด แสดงให้เห็นถึงความจริงใจ ให้เห็นถึงการกระทำไม่ใช่แค่พูดอย่างเดียวจริงๆ แล้ว หากพิจารณาผลโพลต่างๆ ที่ออกมากันมากมาย ก็ย้ำชัดว่าฟากฝั่งที่กุมอำนาจอยู่ในปัจจุบันมีภาษีดีกว่าอย่างชัดเจน
เมื่อเป็นเช่นนั้นจะไปหวั่นไหวอะไร เว้นเสียแต่ว่าผลโพลทั้งหลายเป็นของกำมะลอ หรือเป็นลักษณะเดียวกับ คำสัญญาที่ผ่านมา
แต่ไม่ว่ายังไง ก็ต้องทำใจรับสภาพ แล้วเดินหน้าต่อ
จะดึงๆ ยื้อๆ แล้วมองว่าเป็นการเคลื่อนไหวของคนแค่หยิบมือเดียว
ก็พอจะเห็นอดีตของผู้นำเผด็จการในยุคก่อนๆ มาแล้วว่ามีจุดจบอย่างไร
หรืออยากจะเสี่ยงกับพลังของประชาชน
ก็คงจะห้ามไม่ได้จริงๆ!??