กลายเป็นเรื่องราวฮือฮาไปทั่วโลก สำหรับกรณีที่ นายนาจิบ ราซัก อดีตนายกรัฐมนตรีมาเลเซีย ถูกเจ้าหน้าที่ต่อต้านการทุจริตเข้าควบคุมตัวที่บ้านพัก ในกรุงกัวลาลัมเปอร์ เพื่อดำเนินคดีในข้อหาทุจริตและยักยอกเงินกองทุน 1MDB หลังมีข้อมูลว่าตั้งแต่เดือนส.ค. 2011 – มี.ค. 2015 มีการโอนเงินจากบริษัทแห่งหนึ่งที่อยู่ในกองทุน 1MDB เข้าบัญชีส่วนตัวของนายราจิบจำนวน 42 ล้านริงกิตมาเลเซีย หรือประมาณ 344 ล้านบาท
โดยก่อนหน้านี้มีเสียงร่ำลือและข้อสงสัยเกี่ยวกับการบริหารเงินกองทุน ดังกล่าว แต่ในฐานะ นายกฯ นายนาจิบ พยายามที่จะหลีกเลี่ยงการตรวจสอบโดยใช้อำนาจของตัวเองอย่างเต็มที่ ไม่ว่าจะเป็นการข่มขู่ หรือโน้มน้าวพยานปากสำคัญ หรือกระทั่งการเข้าไปแทรกแซงหน่วยงานที่ตรวจสอบ รวมทั้งปลดอัยการสูงสุดที่เตรียมจะตั้งข้อหา ปลดรองนายกฯ ที่วิพากษ์วิจารณ์ จนมีบางคนต้องลี้ภัยไปต่างประเทศ
จนกระทั่งมีการเลือกตั้งทั่วไป ดร.มหาเธร์ โมฮัมหมัด แกนนำแนวร่วม ปากาตัน ฮาราปัน ประกาศเป็นพันธสัญญาระหว่างหาเสียงว่าเรื่องกองทุน 1MDB จะต้องถูกคลี่คลายให้กระจ่าง นำมาซึ่งการได้รับชัยชนะอย่างถล่มทลาย ผลักให้พรรครัฐบาลพ่ายแพ้ครั้งแรกในรอบ 60 ปี
ต่อด้วยการเข้ายึดทรัพย์ของอดีตนายกฯ ที่มีทรัพย์สินมหึมากว่า 9 พันล้านบาท มีทั้งเงินสดสกุลต่างๆ 26 สกุล กว่า 116.7 ล้านริงกิต ที่เจ้าหน้าที่ต้องใช้เวลาถึง 3 วันจึงจะนับเสร็จ เครื่องประดับ 1.2 หมื่นชิ้น มูลค่ากว่า 800 ล้านริงกิต
กระเป๋าถือแบรนด์เนม 567 ใบ มูลค่า 51.3 ล้านริงกิต นาฬิกาหรู 423 เรือน มีทั้งโรเล็กซ์ ริชาร์ด มิลล์ มูลค่ากว่า 78 ล้าน ริงกิต
แน่นอนว่ากระบวนการสอบสวนต้องดำเนินการต่อไป แต่ทรัพย์สินที่มีมหาศาลเกินกว่าที่บุคคลธรรมดาคนหนึ่งจะมีได้ในชาติๆ หนึ่งย่อมสร้างความกังขาอย่างแน่นอน ถือเป็นเรื่องราวจากประเทศข้างเคียง ที่บุคคลที่มีอำนาจสูงสุดในประเทศ เป็นถึงอดีตนายกฯที่กุมอำนาจมาช้านาน กลับกลายเป็นผู้ต้องหาติดคุกติดตะรางในพริบตา
เป็นจุดจบของทรราช ที่ไม่ใช่ครั้งสุดท้ายแน่ๆ